“…ถ้าแบบนั้น ฉินซี คุณบอกพวกเราเกี่ยวกับวิดีโอที่คุณและเจี่ยงถิงเฟิงลงไม้ลงมือกับผู้จัดการของเหลียนเหล่ยที่โถงทางเดินเื้ัรายการหน่อยได้ไหมครับ? เื้ัของวิดีโอนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า?” เมื่อนักข่าวถามคำถามนี้ เขาก็รู้สึกว่าใจของตัวเองเต้นระรัวขึ้น เขารู้สึกได้ทันทีว่าเื้ัของคำถามนี้จะต้องมีข่าวที่ควรค่าแก่การขุดค้นอยู่แน่
“คลิปวิดีโอนั้นน่าจะถูกตัดต่อมานะครับ บังเอิญว่าผมมีฉบับเต็มอยู่พอดี” ฉินซีพูดพร้อมกับเผยยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็นำโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา “ผมเปิดให้พวกคุณดูตอนนี้ได้เลยครับ เดิมทีวันนั้นผมเปิดกล้องถ่ายวิดีโอขึ้นมาเพราะตั้งใจจะถ่ายคลิปพิเศษกับเจี่ยงถิงเฟิงน่ะครับ แต่ใครจะรู้ว่า… มันจะบังเอิญมีประโยชน์ขึ้นมา” ใบหน้าของฉินซีทำราวกับว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆ
[ฉันได้ยินว่านายยังไม่มีผู้จัดการเป็ของตัวเองใช่ไหม? อ้อ ควรจะบอกว่าไม่มีบริษัทจัดการน่าจะดีกว่าใช่ไหมล่ะ? ฉันจะแนะนำให้นะ เป็คนหน้าใหม่น่ะ ควรจะถ่อมตัวเสียหน่อยถึงจะดี ถึงเวลาจะได้ไม่เกิดปัญหาไม่มีบริษัทไหนกล้ารับคนหน้าใหม่อย่างนาย] เมื่อประโยคนี้ดังขึ้น สีหน้าของเหล่านักข่าวก็กลายเป็ประหลาดใจไปตามๆ กัน
คนที่อยู่ในวงการบันเทิงต่างก็รู้ว่า มันคือการที่พวกรุ่นพี่ที่เข้ามาในวงการก่อนมาบอกให้พวกรุ่นน้องที่เข้ามาใหม่ทำตัวว่าง่ายหน่อย
หลังจากนั้นก็ดูต่อไป
ฉินซีทำตัวนิ่งๆ แต่ผู้จัดการของเหลียนเหล่ยกลับยิ่งก้าวร้าวขึ้นเรื่อยๆ
[ทำไมนายถึงยังไม่เข้าใจอีก? นายเป็ใคร? ก็แค่คนที่เพิ่งจะเดบิวต์ และดันโชคดีอาศัยจังหวะที่ผู้กำกับกำลังหุนหันแย่งบทบาทของเหลียนเหล่ยไปเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นล่ะ? นายไม่มีผู้จัดการ ไม่มีบริษัท ไม่มีเงิน ไม่มีความสัมพันธ์กับใคร นายไม่มีทางได้รับละครเื่ต่อไปแน่! นายคิดว่าตัวเองสุดยอดมากเหรอ? แค่นี้ก็กล้าเป็ศัตรูกับเหลียนเหล่ยแล้ว? เหลียนเหล่ยเป็ใคร? เธอโด่งดังมาั้แ่หลายปีก่อนแล้ว! และตอนที่เธอมีชื่อเสียงขึ้นมา ก็เพิ่งจะอายุ 18 ปีเท่านั้นเอง!]
ผู้หญิงคนนั้นกำลังดูถูกฉินซีและยกยอเหลียนเหล่ย นักข่าวทุกคนต่างก็ฟังความหมายในคำพูดนั้นออก
[พี่เจี่ยง พาผมไปโรงพยาบาลเถอะครับ] นักข่าวทุกคนมองไปยังฉินซีที่ตั้งใจจะเดินออกไปในวิดีโอ และก็ได้เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นยื่นมือเข้าไปผลักฉินซีจนเกือบจะล้มลง แค่นี้ก็รู้ชัดแล้วว่าใครคือคนที่ลงไม้ลงมือ
[ทำอะไรของเธอ? บ้าไปแล้วหรือไง? ประสาท! เธอนี่นิสัยเหมือนเ้านายของเธอไม่มีผิด! คิดว่าตัวเองเป็ดาราโด่งดังยิ่งใหญ่ในวงการบันเทิงหรือยังไง?]
[ไม่ได้! พวกนายจะไปโรงพยาบาลไม่ได้! ห้ามไป!] เมื่อประโยคนี้หลุดออกจากปากผู้จัดการของเหลียนเหล่ย ดวงตาของเหล่านักข่าวก็เปล่งประกายขึ้นมา พวกเขาต่างรู้ว่าตรงนี้คือส่วนสำคัญ!
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเหลียนเหล่ยจะก้าวร้าวได้ถึงขั้นนี้!
[ไม่ได้ จะไปโรงพยาบาลไม่ได้ พวกนายกลับบ้านไปทำแผลเองก็ได้นี่ จะทำให้เป็เื่ใหญ่ทำไม!]
[ไร้การอบรมสั่งสอน]
ผู้หญิงคนนั้นพูดคำว่า ‘ไร้การอบรมสั่งสอน’ ออกมาอีกหลายประโยค ทำให้เหล่านักข่าวต่างพากันตื่นเต้น ทั้งเพราะรู้สึกว่าฉินซีถูกรังแกจนน่าสงสาร และเพราะได้ข้อมูลข่าวน่าสนใจแบบนี้กลับไป ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้เงินเดือนเพิ่มกันแล้ว
พวกนักข่าวยังอยากจะถามอะไรกันต่อ
แต่แม้ว่าจงซิงอู๋จะนิสัยดีมากแค่ไหน ตอนนี้สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็บึ้งตึงไปเสียแล้ว เขายื่นมือออกมากันนักข่าว “สัมภาษณ์กันมานานขนาดนี้แล้ว ทุกคนอาจจะไม่รู้สึกเหนื่อย แต่ก็น่าจะเข้าใจคนป่วยกันใช่ไหมครับ?” น้ำเสียงของจงซิงอู๋แน่วแน่ไม่เหลือหนทางให้เจรจา
เหล่านักข่าวหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะเก็บอุปกรณ์สัมภาษณ์ลงไปด้วยสีหน้าอึดอัด “ถ้าแบบนั้น… ถ้าแบบนั้นพวกเราแยกย้ายกันก่อนเถอะ”
เมื่อเห็นจงซิงอู๋ออกปากขึ้นมา และคิดว่าวันนี้พวกเขาก็ได้สัมภาษณ์อะไรมาไม่น้อยแล้ว พวกเขาจึงไม่รั้งอยู่ต่ออีก จากนั้นก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดคิ้วของจงซิงอู๋ก็คลายออก เขาหมุนตัวไปมอง ก่อนจะเห็นว่าฉินซีกำลังยกแก้วน้ำอุ่นค่อยๆ ดื่มลงไป จงซิงอู๋รู้สึกไร้กำลังด้วยความรู้สึกเหมือนกับฮ่องเต้ไม่ร้อนรน แต่ขุนนางกลับร้อนรนแทนขึ้นมา “นายนี่อารมณ์ดีเหลือเกินนะ”
ฉินซีแลบลิ้นเลียน้ำที่เกาะอยู่บนริมฝีปาก ก่อนจะเผยรอยยิ้มอย่างไม่ร้อนรน “ผมจำได้ว่าเมื่อ 7 ปีก่อน อาจารย์จงถูกรุ่นพี่ในสังกัดเดียวกันลอบโจมตี เปิดโปงว่าอาจารย์จงสร้างกระแส ตีสองหน้า ตอนที่นักข่าวเข้ามาสัมภาษณ์ อารมณ์แบบอาจารย์จงต่างหากถึงจะเรียกว่าดี ในตอนนั้นอาจารย์จงสงบนิ่งกว่าผมอีก พูดออกมาเพียงไม่กี่คำก็จัดการไล่นักข่าวพวกนั้นไปได้หมดแล้ว ทั้งยังทำให้คนหาจุดบกพร่องไม่ได้อีก”
เมื่อได้ยินฉินซีพูดถึงเื่ในอดีตของตัวเองออกมา จงซิงอู๋ก็นิ่งไป เขาก้มหน้าลงมองสีหน้าของฉินซี ก่อนที่มุมปากของเขาจะยกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “นายเพิ่งจะเข้าวงการมานานแค่ไหนเชียว? เมื่อ 7 ปีก่อน นายเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง? คิดไม่ถึงว่านายจะรู้เื่พวกนี้ด้วย”
ตอนที่จงซิงอู๋เพิ่งจะเข้ามาในวงการบันเทิง วงการบันเทิงในจีนแผ่นดินใหญ่ยังไม่รุ่งเรืองนัก ตอนนั้นวงการบันเทิงของฮ่องกงกำลังรุ่งเรืองที่สุด เดิมทีจงซิงอู๋เดบิวต์ในแผ่นดินใหญ่ ต่อมาถ่ายละครเพลงและละครประวัติศาสตร์ไป แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายนัก หลังจากนั้นเขาก็ไปทำงานอยู่ที่ฮ่องกง 2 ปี ลำบากมาก็ไม่น้อย แต่นั่นก็กลายเป็รากฐานอันมั่นคงให้กับความโด่งดังของเขาในภายหลัง ตอนที่เขาอยู่ฮ่องกง เขามีรุ่นพี่สาวอยู่คนหนึ่ง รุ่นพี่คนนั้นเดบิวต์ที่ฮ่องกง แต่ไม่ว่าอย่างไรกลับไม่สามารถเทียบกับเขาได้ ต่อมาจึงคิดทำลายเขา แต่เขาก็สามารถโต้กลับไปได้อย่างง่ายดาย
นี่ถือเป็เื่ที่ตัวจงซิงอู๋ค่อนข้างภาคภูมิใจเื่หนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อถูกฉินซีพูดถึง เขาจะเกิดความรู้สึกภูมิใจราวกับถูกเด็กรุ่นหลังเคารพบูชา
ตอนนี้เมื่อจงซิงอู๋มองหน้าฉินซี เขาก็อดรู้สึกเสียดายขึ้นมาน้อยๆ ไม่ได้
เขาเป็เกย์โดยกำเนิด ฉินซีหน้าตาค่อนข้างตรงสเปคเขา ทั้งยังฉลาดและมีทักษะการแสดงที่ดี ถ้ามีคนรักแบบนี้สักคนก็คงโชคดีมาก เพียงแต่คนคนนี้ได้ถูกคุณเฉินจับจองไปแล้ว...
“ผมเคยได้ยินเื่ของอาจารย์จงมาตั้งนานแล้วครับ แล้วผมก็จำเอาไว้ในใจตลอด” ฉินซีอธิบายออกมาเรียบๆ แน่นอนว่าความจริงไม่ใช่แบบนั้น ในชาติก่อนเขามีเพื่อนในวงการคนหนึ่ง และบังเอิญว่าเพื่อนคนนั้นเป็แฟนคลับของจงซิงอู๋ ครั้งหนึ่งเคยติดตามจงซิงอู๋อยู่เป็เวลานาน ดังนั้นเขาจึงได้รับอิทธิพลและได้ฟังเื่ของจงซิงอู๋มาไม่น้อย
พอฉินซีพูดจบ ที่ประตูห้องพักผู้ป่วยก็มีศีรษะของเด็กสาวคนหนึ่งยื่นเข้ามา เธอถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “เทพบุตรคะ ฉันเป็แฟนคลับของคุณ พวก… พวกเราขอเข้าไปเยี่ยมหน่อยได้ไหมคะ?”
จงซิงอู๋ตั้งใจจะห้ามไว้ แต่ฉินซีกลับยื่นมือเข้ามาขัดการกระทำของเขา “พวกคุณเข้ามาเถอะครับ” ฉินซีรู้ดี เขายังเป็เพียงคนหน้าใหม่ ต้องใกล้ชิดกับแฟนคลับเสียหน่อย นักแสดงที่ค่อนข้างติดดินและเป็กันเอง มักจะได้รับความรักจากแฟนคลับเสมอ
เมื่อเขาพูดแบบนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กสาวก็เปล่งประกายวิบวับ จากนั้นก็มีเด็กสาวกลุ่มหนึ่งตามเข้ามา มีทั้งสูงและเตี้ย มีทั้งหน้าตาดีและธรรมดา ทว่าพวกเธอทั้งหมดต่างก็มองมาที่ฉินซีด้วยความตื่นเต้น ในตอนนั้นเอง ภายในหัวของฉินซีก็มีเสียง ‘ติ๊ง’ ดังขึ้นพอดี
“ระดับแฟนคลับกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!”
“ติ๊ง… จำนวนแฟนคลับถึง 30,000 คนแล้ว”
“ติ๊ง… ...50,000”
“…60,000”
“…100,000”
“…120,000”
“ติ๊ง… จำนวนแฟนคลับได้ถึงขีดจำกัดของระดับสอง ขอแสดงความยินดีกับเ้าของร่าง คุณได้เลื่อนระดับแล้ว ระบบกำลังทำการเปิดระบบใหม่...”
ฉินซีถูกเสียงเตือนทำเอามึนงงไปหมด ในหูของเขาได้ยินเพียงเสียง ‘ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง’ ตอนพูดคุยกับเด็กสาวเ่าั้ เขาจึงไม่ทันได้ตอบกลับไป เนื่องจากความร้อนรนเล็กๆ และอาการปวดหัวทำให้สีหน้าของฉินซีเริ่มกลายเป็ซีดเซียว บริเวณหน้าผากเองก็มีหยาดเหงื่อไหลรินออกมาเช่นกัน ริมฝีปากแดงในตอนนี้ตัดกับผิวสีขาวซีดของเขา เหล่าแฟนคลับต่างก็ปวดใจกันไม่น้อย
“เทพบุตร คุณเจ็บแผลหรือเปล่าคะ? พักผ่อนสักพักเถอะค่ะ พวกเราแค่อยากมาเยี่ยมคุณ พวกเราไม่รบกวนเวลาพักผ่อนแล้วค่ะ” พวกเด็กสาวต่างก็ค่อนข้างเข้าใจ แม้พวกเธอจะยังอยากอยู่กับเทพบุตรที่ชื่นชอบให้นานขึ้นอีกสักพัก แต่พวกเธอก็ไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของเทพบุตร
พวกเด็กสาวพากันนำของขวัญที่นำมาให้วางเอาไว้ในห้องพักผู้ป่วย ก่อนจะแยกย้ายกันไป
จงซิงอู๋อยู่ในห้องพักผู้ป่วยมาตลอด เขากระแอมไอออกมาเล็กน้อย ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ใครจะคิดว่าเขาจะหันไปเจอกับคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงประตูเข้า นั่นถึงกับทำให้เราเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงหลง “คุณเฉิน? นี่คุณไม่ได้จะกลับมาในอีกสองวันเหรอ?”
เฉินเจวี๋ยในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสบายๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย ทั้งด้านหลังยังมีพนักงานสาวคนหนึ่งเดินตามมาด้วย พนักงานสาวหันมายิ้มให้ฉินซี หลังจากนั้นก็นำถุงในมือวางลงบนโต๊ะตรงหัวเตียง “สวัสดีค่ะ นี่เป็ของที่คุณเฉินนำมาให้คุณ”
“ขอบคุณครับ” ฉินซีรู้สึกว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่านี่จะเป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนอื่นอยู่ข้างกายเฉินเจวี๋ย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกราวกับถูกคนแปลกหน้าเข้ามารุกรานตรงกลางระหว่างเพื่อน
ไม่รู้ว่าเฉินเจวี๋ยรู้ความคิดของเขาหรือไม่ เฉินเจวี๋ยโบกมือสั่งให้พนักงานสาวคนนั้นออกไป
ในใจของฉินซีรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยอย่างน่าประหลาด
เขาคิดว่า อืม... บางทีตัวเองอาจจะเป็พวกหวงของจนเสียนิสัยไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็ชาติก่อนหรือชาตินี้ เขาก็ค่อนข้างหวงคนสนิท เพื่อนและครอบครัวของตัวเอง
เมื่อจงซิงอู๋เห็นว่าเฉินเจวี๋ยมาแล้ว เขาก็อึดอัดขึ้นมา และคิดว่าตัวเองไม่ควรอยู่เป็ก้างขวางคอต่อไปอีก ดังนั้นเขาจึงส่งสายตาแฝงความหมายไปให้ฉินซีพร้อมกับทักทายเฉินเจวี๋ย และเดินจากไป
ในตอนนั้นภายในห้องพักผู้ป่วยจึงเหลือเพียงฉินซีและเฉินเจวี๋ย
“่นี้คุณเฉินยุ่งมากเหรอครับ?”
“ปัญหาของนายจัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ?”
ทั้งสองมองไปยังฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็พูดออกมาพร้อมกัน
สีหน้าราบเรียบของเฉินเจวี๋ยสงบนิ่งมาก ทำให้มองไม่เห็นความอึดอัดเลยแม้แต่น้อย ฉินซีเป็พวกนิสัยดึงดัน ทำอะไรไปตามที่ตัวเอง้า เขาจึงไม่ได้มีสีหน้าอึดอัดเช่นกัน ทั้งสองสบตากันนิ่งๆ ก่อนที่ฉินซีจะเปิดปากตอบ “ยังครับ ต้องค่อยๆ ไป”
สีหน้าของเฉินเจวี๋ยไร้ซึ่งอารมณ์ “ค่อยๆ ไปนี่ต้องค่อยๆ จนตัวเองเข้าโรงพยาบาลเลยเหรอ?”
คำพูดของเขาทำเอาฉินซีอึดอัดเล็กน้อย นั่นเป็เพราะเขาสะเพร่าเกินไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเหลียนเหล่ยจะกล้าลงมือกับตัวเองอย่างเปิดเผยแบบนั้น หลังจากนั้นเขาก็ได้แต่นำเื่นี้มาใช้ประโยชน์โต้กลับไปอย่างชาญฉลาด และผลก็เป็ไปตามที่คาด มันสามารถทำลายภาพลักษณ์ของเหลียนเหล่ยได้จริงๆ
เมื่อเห็นความอึดอัดบนใบหน้าของฉินซี เฉินเจวี๋ยก็ไม่ได้ทำอะไรซ้ำลงไปอีก เขาเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไป “่นี้ฉันอยู่ที่ต่างประเทศมาตลอด คิดไม่ถึงว่านายจะทำให้ความคิดเห็นสาธารณะในวงการบันเทิงในประเทศวุ่นวายไปหมดแบบนี้ มันทำให้ฉันต้องหันมาตั้งใจดูเลย”
ครั้งนี้ฉินซีเผยยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ “ขอบคุณสำหรับคำชมของคุณเฉินครับ”
เฉินเจวี๋ยเองก็ต้องยอมรับว่า เพราะเื่ในครั้งนี้ เขาจึงยิ่งพึงพอใจในตัวฉินซีขึ้นไปอีก ในวงการบันเทิงมีคนที่มีทักษะการแสดงดีอยู่มากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถทำให้เขาสนใจได้แบบนี้? ฉินซีบังเอิญเหมาะเจาะพอดี ถูกที่ ถูกทาง ถูกเวลาไปหมด ทั้งยังมีนิสัยตรงสเปคของเขามาก ดังนั้นเขาถึงได้ให้ความสำคัญกับฉินซี
“ตอนนี้ฉันก็กลับมาแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะให้คนในบริษัทมาเซ็นสัญญากับนาย” เฉินเจวี๋ยพูดออกมาเรียบๆ เดิมทีเขาจัดการเื่นี้ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าบริษัทที่เขารับซื้อมากำลังอยู่ใน่จัดการใหม่ เมื่อยุ่งวุ่นวายขึ้นมา คนพวกนั้นก็ลืมคนหน้าใหม่ที่ไม่ได้เห็นค่าอะไรนักอย่างฉินซีไปเสียสนิท อีกทั้งหลังจากนั้นฉินซีก็มีข่าวเสียหายออกมา คนในบริษัทจึงยิ่งไม่อยากจะไปเซ็นสัญญากับฉินซีมากขึ้นไปอีก จนกระทั่งวันนี้ เมื่อการสัมภาษณ์ของฉินซีถูกถ่ายทอดสด คนในบริษัทถึงได้รีบร้อนโทรศัพท์มาขอโทษเฉินเจวี๋ย
เฉินเจวี๋ยเองก็ไม่เกรงใจ เขาจัดการปลดงานอีกฝ่าย จัดการเงินเดือนให้ จากนั้นก็ให้เขาออกไปทันที
พนักงานที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของเ้านายแบบนั้นจะเก็บเอาไว้ทำอะไรอีก? ก่อนหน้านี้ที่บริษัทย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ก็เป็เพราะมีอะไรแบบนี้อยู่ในบริษัทมากเกินไปนั่นแหละ
ตอนนี้เฉินเจวี๋ยมาตรวจสอบและเร่งด้วยตัวเอง เื่นี้จึงถูกปักลงบนกระดานเป็ที่เรียบร้อย
เพียงแต่สีหน้าของฉินซีกลับไม่สู้ดีนัก เขาคิดไปถึงบริษัทกวงิฟิล์ม ยังไม่รู้ว่าทางฝั่งนั้นจะเป็อย่างไรบ้าง?
ในระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น พูดถึงผี ผีก็มา
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของฉินซีก็ดังขึ้น เมื่อมองหน้าจอโทรศัพท์ ้าก็ปรากฏชื่อคุณหวังตันจากบริษัทกวงิฟิล์มขึ้นมา
ฉินซีถอนหายใจช้าๆ อย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็เงยหน้ามองเฉินเจวี๋ย และพูดออกมาอย่างรู้สึกไม่ดีนัก “ผมขอรับสายหน่อยนะครับ”
เฉินเจวี๋ยพยักหน้าตอบรับ