ฉินซีวางสายไป น้ำเสียงของหวังตันสะท้อนก้องในหัวของเขา เธอถามเขาว่า คิดไตร่ตรองเรียบร้อยแล้วหรือยังคะ? เธอบอกว่ากวงิฟิล์มไม่ได้สนใจข่าวที่เกี่ยวกับตัวฉินซีใน่นี้ ถ้าเป็เื่โกหก มันก็ไม่อาจเป็ความจริง ดังนั้นเดิมทีข่าวปลอมเ่าั้ก็ไม่มีทางทำให้กวงิฟิล์มละทิ้งคนหน้าใหม่ที่มีศักยภาพอย่างเขาไปอยู่แล้ว ทว่าหากมันเป็ความจริงก็ไม่อาจเป็เื่โกหกได้เช่นกัน หากทักษะการแสดงของเขาดีพอ ก็สามารถพัฒนาก้าวไปในกวงิฟิล์มได้อีก จากนั้นบริษัทก็จะได้นักแสดงที่ดีขึ้นมาอีกคน
ถ้าจะบอกว่าเขาไม่หวั่นไหวก็คงโกหก
กวงิฟิล์มยังหยิบยื่นโอกาสมาให้เขาในเวลาแบบนี้ ถือว่าหาได้ยากมากทีเดียว...
เมื่อเห็นว่าพอฉินซีรับสายโทรศัพท์เสร็จแล้วเหม่อลอยอยู่นาน คิ้วของเฉินเจวี๋ยก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หลังจากนั้นก็คลายออกอย่างรวดเร็ว “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เฉินเจวี๋ยมองโทรศัพท์ที่ฉินซียังคงถือเอาไว้ในมือ
ฉินซีรีบวางโทรศัพท์มือถือลง แล้วเผยรอยยิ้มรู้สึกผิดออกมา เขาตัดสินใจจะสารภาพกับเฉินเจวี๋ยั้แ่ตอนนี้ เพื่อบอกว่าตัวเองอยากไปบริษัทกวงิฟิล์ม เฉินเจวี๋ยช่วยเขามามาก เขาไม่สามารถยึกยักไม่ตอบไปตลอดแบบนี้ได้ และคงไม่สามารถหลอกเฉินเจวี๋ยได้ ดังนั้นสู้บอกไปตรงๆ จากนั้นค่อยหาโอกาสตอบแทนเฉินเจวี๋ยจะดีกว่า
เมื่อรวมความรู้สึกของชาติก่อนและชาตินี้เข้าด้วยกัน ฉินซีก็เกิดความรู้สึกเหมือนติดหนี้อีกฝ่ายมากมายจนไม่รู้สึกอะไรแล้วขึ้นมา
“ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ แต่มีเื่หนึ่งที่ผมอยากบอกคุณเฉินมาตลอด” ท่าทางของฉินซีดูผ่อนคลายลงไม่น้อย ทำให้คนมองรู้สึกสบายใจขึ้นมา
เฉินเจวี๋ยเอนตัวพิงพนักพิงหลังของเก้าอี้ สีหน้าของเขากลายเป็เฉื่อยชายิ่งขึ้น “อืม ว่ามาสิ”
บรรยากาศระหว่างทั้งสองผ่อนคลายเป็กันเองขึ้น ถ้ามีคนอื่นมองเข้ามาก็คงรู้สึกว่าทั้งสองเหมือนเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน
“ก่อนหน้านี้ บริษัทกวงิฟิล์มติดต่อมาหาผม” คนฉลาดมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือเมื่อพูดออกมาเพียงครึ่งหนึ่ง ทุกคนก็สามารถเข้าใจได้แล้ว
เฉินเจวี๋ยค่อยๆ นั่งตัวตรง ค่อยๆ เบิกตามองอีกฝ่าย พร้อมเอ่ยถามฉินซี “นายอยากไปบริษัทกวงิฟิล์มสินะ?”
ฉินซีพยักหน้าตอบอย่างตรงไปตรงมา “ตอนที่ผมยังไม่ได้เข้ามาในวงการบันเทิง ผมก็มองที่นั่นเป็เหมือนแดน์แล้วครับ” ฉินซีพูดไปพร้อมกับเผยรอยยิ้มเจื่อนๆ ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดแบบนี้จริงๆ แม้ว่าจะเป็เื่ของเมื่อชาติก่อนก็ตาม
“ผมอยากเข้าบริษัทกวงิฟิล์มมาตลอด แต่ก็ไม่กล้าคาดหวังมากเกินไป คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะได้รับการโอกาส หลังจากนั้นพอมีเื่วุ่นวายมากมายเกิดขึ้น ตอนแรกผมคิดว่ากวงิฟิล์มคงไม่กล้าเซ็นสัญญาด้วยแล้ว คิดไม่ถึงว่าเมื่อสักครู่จะติดต่อมาหาผมอีก”
“เพราะแบบนั้น ก็เลยรู้สึกซาบซึ้ง?” เฉินเจวี๋ยพูดต่อ
ฉินซีพยักหน้าตอบรับ
จู่ๆ เฉินเจวี๋ยก็ถามเขาขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ “ถ้าแบบนั้น แล้วฉันที่อยากจะเซ็นสัญญากับนายมาตลอดโดยไม่เคยเปลี่ยนแปลงล่ะ ทำไมไม่เห็นนายจะซาบซึ้งใจบ้าง?”
ฉินซีหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของเฉินเจวี๋ย และสบสายตาเ็าของอีกฝ่าย จากนั้นก็พูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “คุณเฉินต่างออกไปครับ การตอบแทนหนี้บุญคุณและน้ำใจช่วยเหลือของคุณเฉินจะต้องไม่ใช่วิธีการนี้”
เฉินเจวี๋ยเองก็ไม่รู้ว่าเป็อะไรไป เขาพลันรู้สึกขบขัน กระทั่งมุมปากก็ค่อยๆ หยักขึ้นเป็รอยยิ้ม ทว่าไม่นานก็กลับไปราบเรียบเช่นเดิมราวกับรอยยิ้มเมื่อครู่เป็เพียงสิ่งที่คนอื่นคิดไปเอง เขาถามฉินซีว่า “ถ้าแบบนั้นนายจะใช้วิธีการไหนในการตอบแทนฉัน?”
หัวใจของฉินซีพลันเต้นแรง สัญชาตญาณของเขาบอกว่า ท่าทางของเฉินเจวี๋ยในยามนี้รู้สึกได้ถึงความอันตราย เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก ลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะพูดขึ้น “ความจริงผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีอะไรที่สามารถตอบแทนคุณเฉินได้ อย่างไรสิ่งที่ผมมี คุณเฉินก็น่าจะมีหมดแล้ว”
“อย่างนั้นเหรอ? ฉันคิดว่านายมีบางอย่างที่ฉันน่าจะไม่มีนะ” เฉินเจวี๋ยพูดออกมาเรียบๆ
ฉินซีหลุดถามออกไปด้วยความสงสัย “อะไรเหรอครับ?”
เฉินเจวี๋ยกวาดสายตามองอีกฝ่ายั้แ่หัวจรดปลายเท้า “ฉันรับ[1] ไม่ได้แบบนาย”
ในตอนนั้นใบหน้าของฉินซีกลายเป็แดงก่ำ ดวงตาเบิกกว้าง สายตาที่มองไปยังเฉินเจวี๋ยร้อนระอุราวกับจะกินคนเข้าไป ทว่านั่นไม่ใช่ความเขินอาย มันคือความโมโห
เฉินเจวี๋ยก้มหน้าลงเล็กน้อย “ความจริงฉันแปลกใจมากเลยนะ คนที่เข้ามาในวงการบันเทิงต่างก็อยากหาที่พึ่งให้ตัวเองกันทั้งนั้น แต่ทำไมนายถึงไม่อยากได้อะไรเลยสักอย่าง?”
ฉินซีส่ายหน้า “ใครบอกว่าไม่อยากได้กันล่ะครับ? ผมเองก็อยากได้ที่พึ่งนะ” จู่ฉินซีก็นึกไปถึงจี่อวี้เซวียนเมื่อชาติก่อน และผู้ช่วยที่เคยนำสัญญารับเลี้ยงดูมาให้เขาเซ็นอย่าง ‘เฟ่ยเฉิงเจ๋อ’ เขาส่ายหน้าอีกครั้งโดยไม่รู้ว่าส่ายให้กับเฉินเจวี๋ย หรือส่ายให้กับตัวเอง
“เพียงแต่ผมไม่อยากได้ที่พึ่งแบบนั้น”
“ที่พึ่งแบบนั้นไม่ได้ทำให้สบายใจได้มากกว่าเหรอ? หากว่าเป็ความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว อยากจะเลิกก็เลิกได้เลยไม่ใช่เหรอ?” เฉินเจวี๋ยถามขึ้นอีก น้ำเสียงของเขาดูไม่ได้ใส่ใจอะไร ราวกับอยู่ดีๆ ก็นึกสงสัยในคำถามนี้ขึ้นมาเท่านั้น
ฉินซีถามกลับไปอย่างจริงจัง “คุณเฉินเองก็เข้าใจในวงการนี้ แล้วทำไมถึงไม่รู้ว่าสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ที่สุด ก็คือความสัมพันธ์แบบนี้ล่ะครับ? ถ้าเป็ความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ ขอเพียงคุณยังมีประโยชน์ต่ออีกฝ่าย คุณก็ย่อมไม่มีวันถูกละทิ้ง”
เฉินเจวี๋ยพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว”
แต่ฉินซีกลับไม่รู้ว่าเฉินเจวี๋ยเข้าใจเื่อะไร
“ถึงอย่างไรใจของนายก็ตัดสินใจไปแล้ว จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ฉันไม่บังคับให้นายมาบริษัทของฉันหรอก” เฉินเจวี๋ยพูดเสียงเรียบ
ฉินซียิ้มออกมาด้วยความสบายใจ เขาพูดยกยอออกมาจนทำให้ยากที่คนจะเกิดความโกรธเกลียดขึ้นกับเขา “คุณเฉินมีอาจารย์จงแค่คนเดียวก็พอแล้วครับ คนที่ชอบทำอะไรวุ่นวายขึ้นมาบ่อยๆ แบบผม ปล่อยให้ไปทำลายกวงิฟิล์มเถอะ”
มุมปากของเฉินเจวี๋ยโค้งขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของเขาอ่อนโยนลงอย่างน่าประหลาด “นายทำลายกวงิฟิล์มไม่ได้หรอก แต่ว่ากวงิฟิล์มจะทำลายนายไหมนั่นก็อีกเื่...”
ฉินซีขมวดคิ้วเข้าหากัน “ทำไมคุณเฉินพูดแบบนี้ล่ะครับ?”
“ตอนนี้ถึงฉันจะพูดให้นายฟัง นายก็ไม่มีทางเข้าใจหรอก ลองไปเจอเอาเองที่กวงิฟิล์มเถอะ ถึงตอนนั้นนายก็จะรู้เองว่าที่นั่นเข้ากับนายหรือไม่” เฉินเจวี๋ยไม่หลุดพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย ฉินซีเองก็ไม่รู้ว่าเฉินเจวี๋ยกำลังพูดหยอกล้อเขา หรืออยากจะให้ตัวเขาไปเผชิญกับความลำบากจริงๆ จะได้ผ่อนคลายความไม่พอใจของเฉินเจวี๋ยลง
บางครั้งฉินซีก็เป็คนดื้อดึงคนหนึ่ง เขาพยักหน้าลงพูด “ครับ ผมจะไปลองเจอดูสักครั้ง” น้ำเสียงไม่ได้แฝงความกังวลเลยแม้แต่น้อย
ภายในแววตาของเฉินเจวี๋ยเผยแววประหลาดใจออกมา ไม่นานเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “ตอนที่ฉันอยู่ต่างประเทศก็ติดตามเื่ของนายไม่น้อย นายบอกฉันทีว่านายจัดการผู้หญิงคนนั้นยังไง”
ฉินซีไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไร เขารู้ว่าเฉินเจวี๋ยลืมชื่อของเหลียนเหล่ยไปอีกแล้ว ดูเหมือนว่าในสายตาของเฉินเจวี๋ย เหลียนเหล่ยก็คงเป็แค่มดแมลงเท่านั้น เดิมทีก็ไม่ได้มีค่าพอให้เขาแบ่งใจไปจดจำชื่อของเธอ
“เดิมทีผมไม่อยากสร้างความลำบากใจอะไรกับเธอหรอกครับ แต่ว่าเหลียนเหล่ยใจคอคับแคบ เมื่อเห็นว่าครั้งแรกลงมือทำให้ผมพังพินาศไม่ได้ ต่อมาพอไปร่วมรายการ เธอก็ตั้งใจสร้างความวุ่นวายให้ผม ผมถูกน้ำราดลงมาทั้งถัง เปียกปอนไปทั้งตัว หลังจากนั้นก็ดันไปชนะเธอเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เธอต้องเปียกโชกไปทั้งตัว แต่ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ ยังไงคนที่ตัดเชือกจนทำให้เธอเปียกน้ำก็ไม่ใช่ผม แต่ใครจะรู้ว่าเหลียนเหล่ยก็ยังจะเอามันมาลงที่ผม บางทีเธออาจคิดว่าคนหน้าใหม่อย่างผมไปล่วงเกินเกียรติและอำนาจของรุ่นพี่อย่างเธอเข้า” ฉินซีพูดพร้อมกับยักไหล่ ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ
ความโมโหและเกลียดชังในตอนนั้นค่อยๆ ถูกกดลงไประหว่างการจัดการเหลียนเหล่ยแล้ว ตอนนี้เขาจึงสงบลงมาได้
“หลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปเล่นเกมอีกเกม ตอนนั้นเธอจงใจผลักผมตกลงมาจากเวที อ้อ แล้วผมก็กลายเป็แบบตอนนี้นี่แหละครับ” ฉินซีเผยรอยยิ้มสดใสพร้อมกับขยับแขนที่ถูกใส่เฝือกเอาไว้เล็กน้อย
สีหน้าของเฉินเจวี๋ยพลันหมองลง ก่อนจะยื่นมือเข้ามากดแขนของฉินซีลงที่เตียง
เฉินเจวี๋ยเป็ผู้ชายที่ดูไม่ได้มีกล้ามเนื้อมากนัก มีรูปร่างสูงโปร่ง ทั้งยังดูผอมเนื่องจากการทำงานหนัก ฉินซีคิดไม่ถึงว่ากำลังของเขาจะมากขนาดนี้ หลังจากถูกอีกฝ่ายกดแขนของตัวเองลง ฉินซีก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลย
ฉินซีเหยียดยิ้มเล็กน้อย และไม่กล้าขยับตัวมั่วซั่วอีก
ความจริงเฉินเจวี๋ยหวังดีกับเขา เฉินเจวี๋ยไม่อยากให้กระดูกของเขาเคลื่อนผิดที่ไปอีก เพียงเพราะเขา้าโชว์อาการาเ็ให้ดู สำหรับนักแสดงที่ต้องรับงานละครแล้ว เขาไม่ควรจะาเ็นานแบบนี้!
“คุณเฉินน่าจะรู้นิสัยของผมดี ตอนนั้นผมโมโหมาก แต่ก็ไม่สามารถะเิอารมณ์ตรงนั้นได้ ก็เลยได้แต่ลอบคิดแผนตอบโต้เอาไว้ พอรายการจบลง ผมเห็นว่าผู้จัดการของเหลียนเหล่ยเข้ามาขวางผมเอาไว้ แค่นั้นผมก็รู้แล้วว่าท่าจะไม่ดีแน่ ผมก็เลยเอาโทรศัพท์ออกมาเตรียมอัดวิดีโอไว้” เมื่อชาติก่อนเขาไม่รู้เื่อะไรแบบนี้ ดังนั้นพอเข้ามาในวงการบันเทิงแล้วก็ต้องลำบากไปมาก หลังจากนั้นเขาก็เกิดความเคยชินขึ้นมาว่าเวลาพูดคุยอะไรกับใครจะต้องอัดวิดีโอหรืออัดเสียงไว้
อย่างน้อยเขาก็มีการเตรียมพร้อม และไม่มีทางปล่อยให้คนบดขยี้และทำอะไรไม่ได้หลังจากถูกกระทำ
“วิดีโออะไร? เอามาให้ฉันดูหน่อย” เฉินเจวี๋ยไม่แปลกใจกับการกระทำของฉินซี เมื่อคิดไปถึงครั้งแรกที่ได้พบกับฉินซี ฉินซีก็ไม่ได้เหลือช่องทางไว้ให้ตัวเองด้วยการอัดวิดีโอกลุ่มคนของเทียนหม่าหยูเล่อเอาไว้หรอกเหรอ? แถมสุดท้ายยังอัปโหลดลงอินเทอร์เน็ตจนเทียนหม่าหยูเล่อต้องลำบากไปไม่น้อยอีก
เฉินเจวี๋ยอดแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ ฉินซีไปเรียนรู้เื่เหล่านี้โดยไม่มีใครสอนมาจากไหน ทำไมถึงรู้จักระแวงเื่พวกนี้? ตามพื้นเพของเขาแล้ว เขาควรจะเพิ่งก้าวออกมาจากหอคอยงาช้าง และทำอะไรไปด้วยความไร้เดียงสาถึงจะถูก แต่ทำไมตอนนี้ท่าทางของเขากลับเหมือนเคยถูกใครทำร้ายมาก่อน ทั้งยังเป็การทำร้ายอย่างรุนแรงจนจำฝังใจขนาดนี้อีก
ในใจของเฉินเจวี๋ยปกคลุมไปด้วยหมอกหนา และเพราะแบบนั้นจึงเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาบ้าง
ฉินซีส่งโทรศัพท์มือถือให้เฉินเจวี๋ยอย่างไม่ปิดบัง อย่างไรก่อนหน้านี้ตอนที่เขาจัดการเทียนหม่าหยูเล่อ เฉินเจวี๋ยก็เคยเห็นวิดีโอนั้นมาก่อนแล้ว ตอนนี้เขาจึงไม่จำเป็ต้องกลัวอะไร
เฉินเจวี๋ยเปิดวิดีโอดูไปได้สักพัก คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน และสุดท้ายใบหน้าของเขาก็ราวกับปกคลุมไปด้วยไอเย็นะเื
“ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือโด่งดังอะไรในวงการบันเทิงเสียเท่าไร แต่ผู้จัดการของเธอกลับทำตัวยิ่งใหญ่กว่าสำนักงานจัดการนักแสดงที่แท้จริงเสียอีก” เฉินเจวี๋ยเหยียดยิ้ม
ฉินซีฉวยโทรศัพท์มือถือกลับมา ก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆ “สงสัยว่าจะไม่เคยพบเจอโลกมามากนักล่ะมั้งครับ ก็เลยคิดว่าตัวเองเป็ที่หนึ่งของโลก ไม่มีใครกล้ามาทำให้พวกเธอไม่พอใจ
เฉินเจวี๋ยนิ่งไปหลายวินาที ก่อนจะพูดกับอีกฝ่าย “ฉินซี นายลงมือเบาเกินไปหรือเปล่า?”
ฉินซีถึงกับตะลึงงัน “แบบนี้ยังเบาไปอีกเหรอครับ?” หลังจากเหลียนเหล่ยถูกทำให้ล้มลงแบบนี้ ก็สามารถเรียกได้ว่าชื่อเสียงป่นปี้ไปหมดแล้ว และอาจจะต้องแตกแยกกับนายทุนของเธออีก ก่อนหน้านี้หลงเซิ่งเปิดตัวมาโดยการพึ่งพาช่องทางด้านมืดบางอย่าง ยังไม่แน่ว่าหลังจากนี้เขาจะจัดการเหลียนเหล่ยอย่างไร ดูจากนิสัยของหลงเซิ่งแล้ว เหลียนเหล่ยก็คงไม่ได้ดีเด่อะไร
สำหรับคนที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและประโยชน์ของตัวเองอย่างเหลียนเหล่ย การทำลายชื่อเสียงของเธอ ไม่ถือเป็การแก้แค้นที่ดีที่สุดแล้วหรอกเหรอ? ฉินซีเริ่มไม่เข้าใจขึ้นมา
เขาคิดว่าตัวเองลงมือได้โเี้ไม่เห็นใจใครแล้วนะ!
แต่เฉินเจวี๋ยกลับส่ายหน้า “ฉินซี นายดูถูกความสามารถในการฟื้นจากความตายของคนในวงการบันเทิงมากเกินไปแล้ว นายคิดว่าในวงการบันเทิงจะมีนักแสดงสักกี่คนที่ใสสะอาด? ต่อให้หนีภาษี ตบตีแฟนคลับ เล่นพนัน เสพยา ขายตัว มั่วเซ็กส์ หรือแม้แต่ข่าวที่ฉาวกว่านี้… มาพัวพันกับตัวพวกเขา ขอเพียงคนพวกนี้หายไปจากสายตาของผู้คนสักพัก รอจนกลับมาอีกครั้งก็ย่อมต้องมีแฟนคลับจำนวนมากที่คิดถึง และยกโทษให้พวกเขาที่ ‘สำนึกผิด’ แล้ว แถมแฟนคลับของพวกเขายังจะสามารถพูดได้อีกว่า คนที่ทำผิดแล้วรู้จักแก้ไขนั้น… ช่างเป็บุคคลผู้น่ายกย่อง”
ในใจของฉินซีถึงกับสั่นไหว
เฉินเจวี๋ยพูดถูก แม้เหลียนเหล่ยจะผิดใจกับหลงเซิ่ง แต่ด้วยใบหน้านั้น แค่เปลี่ยนสถานที่ไป เธอก็ยังสามารถหานายทุนที่ยินดีจะรับเลี้ยงดูเธอได้อีก ไม่แน่ว่าในเวลาไม่ถึงปี เธอก็อาจกลับมาในวงการบันเทิงได้อีกครั้ง จากนั้นก็ก้าวขึ้นสูงไปตามการยกยอของนายทุน ความผิดของเธอก็จะค่อยๆ จางหายไป จากนั้นเธอก็จะมีแฟนคลับสมองมีปัญหาอีกกอง...
ฉินซีบีบฝ่ามือแน่น เขารู้สึกโมโหที่ตัวเองกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งแล้วก็ยังมองอะไรไม่กระจ่างเท่าคนอื่น
เมื่อเห็นฉินซีไม่พูดอะไรเป็เวลานาน เฉินเจวี๋ยก็คิดว่าฉินซียังรับความจริงในวงการบันเทิงไม่ได้ เขาคิดไป ก่อนที่สุดท้ายจะยื่นมือตบลงที่บ่าของฉินซี “นายยังไม่ร้ายกาจพอก็ไม่เป็ไร”
ฉินซีเงยหน้ามองเขาอย่างไม่รู้ตัว
สีหน้าของเฉินเจวี๋ยยังคงไร้ความรู้สึก เขายังคงเป็ชายหนุ่มที่เกิดมามีชาติตระกูลและสง่าเยือกเย็น เหมือนในความคิดของฉินซีเช่นเดิม “แค่ฉันร้ายกาจพอก็พอแล้ว”
ฉินซีได้ยินเขาพูดออกมาแบบนี้
……
[1] รับ ในที่นี้หมายถึงเป็ฝ่ายรับ