ในมือของชายหนุ่มสวมเสื้อโค้ตสีน้ำตาลปกตั้ง ใส่แว่นตากันแดดกรอบใหญ่ถือเค้กชิ้นเล็กๆ เอาไว้ ส่วนอีกมือก็โอบช่อดอกลิลลี่ขาว แม้ว่าคนที่เดินผ่านไปจะเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัด แต่ทุกคนต่างก็ััได้ถึงความเท่ของผู้ชายคนนี้ จากนั้นก็เกิดความสงสัยขึ้นว่า ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นดำนั้นจะหล่อเหลามากแค่ไหน
ชายหนุ่มเดินไปถึงหน้าห้องพักผู้ป่วย นำช่อดอกไม้วางไว้ที่ข้อศอกของแขนอีกข้าง จากนั้นก็ยกมือขึ้นเคาะประตู
“เชิญเข้ามาครับ” ฉินซีที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างเพื่ออาศัยแสงอาทิตย์ในการอ่านบทพูดขึ้นโดยไม่เงยหน้า
“ฉินซี ฉันเอาเค้กมาให้ด้วยนะ จะทานสักหน่อยไหม?” ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นพร้อมกับแกะกล่องเค้กออก กลิ่นหอมเย้ายวนใจล่องลอยมา
ฉินซีทำได้เพียงวางบทลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นทั้งรอยยิ้ม “อาจารย์จง ขอบคุณสำหรับเค้กครับ” เขาลุกขึ้นเดินมาโดยไม่ได้สังเกตเห็นช่อดอกลิลลี่เลยสักนิด จากนั้นเขาก็หั่นเค้กให้ตัวเองอย่างไม่เกรงใจและนำส้อมมาจิ้มกิน
จงซิงอู๋อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ดูเหมือนว่าหลังจากนี้คุณเฉินจะเอาดอกไม้มาให้นายไม่ได้แล้วสินะ” เขาดูออกแล้วว่าฉินซีไม่ได้สนใจดอกไม้เลยสักนิด
“มันเกี่ยวอะไรกับคุณเฉินครับ แม้ว่าคุณเฉินจะมอบดอกไม้ให้ใคร คนคนนั้นก็คงไม่ใช่ผมหรอก” ฉินซีส่ายหน้าไปมาอย่างสงบนิ่ง มุมปากของเขาเลอะครีมเล็กน้อย ความเยือกเย็นในยามปกติถูกทำลายไปจนหมด
ใบหน้าของจงซิงอู๋ปรากฏความตกตะลึง เขาเห็นเฉินเจวี๋ยปกป้องฉินซีมากขนาดนั้น หรือว่าทั้งสองจะไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นจริงๆ? ไม่หรอก... บางทีฉินซีอาจจะไม่กล้าบอกความจริงกับเขาเท่านั้น อย่างไรในวงการบันเทิงก็ควรจะระวังทุกคนไว้
เมื่อคิดเื่นี้ขึ้นมาได้ จงซิงอู๋ก็ไม่ใส่ใจอะไรแล้ว เขาลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าฉินซี ก่อนจะถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แม้ว่า่นี้ฉันจะยุ่งจนไม่ได้มาเยี่ยมนายที่โรงพยาบาลให้ทันเวลา แต่ว่าเื่ข่าวของนาย คุณเฉินก็ให้ฉันคอยติดตามอยู่ตลอดนะ”
จงซิงอู๋ฉลาดมาก เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับฉินซี ที่เขาใกล้ชิดเป็กันเองกับฉินซีแบบนี้ก็เป็เพราะเฉินเจวี๋ยเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เสแสร้งหรือหาข้ออ้างไร้สาระอย่างพวก ‘ความจริงตัวเองสนใจฉินซีมาก เพียงแต่ติดธุระมาไม่ได้’ อะไรแบบนั้น เขาพูดออกมาตรงๆ ว่าแอบติดตามฉินซีตามคำสั่งของเฉินเจวี๋ยเท่านั้น
แน่นอนว่าความจริงแบบนี้จะต้องทำให้คนฉลาดอย่างฉินซีรู้สึกดีกว่าคำพูดจอมปลอมแน่ เมื่อผ่านเื่ครั้งนี้ไป จงซิงอู๋ก็ได้เห็นชัดแล้วว่า คนที่เฉินเจวี๋ยถูกใจ เดิมทีก็ไม่ใช่พวกไม้ประดับ และไม่ได้เพียงการแสดงดี สำคัญที่สุดคือต้องสมองดีด้วย แม้จะเจอกับทางตัน ก็จะต้องพลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างเด็ดขาด นี่แสดงให้เห็นถึงอะไร? มันแสดงให้เห็นว่าฉินซีฉลาดสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือไง!
คนแบบนี้ แม้ตอนนี้จะยังเป็เพียงหน้าใหม่ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่มีเฉินเจวี๋ยเป็ที่พึ่ง เส้นทางในอนาคตของเขาจะต้องไร้ขีดจำกัดแน่!
ฉินซีชอบที่จงซิงอู๋พูดจาตรงไปตรงมาแบบนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจึงชัดเจนขึ้นอีก “ไม่เป็ไรครับ แค่อาจารย์จงมาได้ ผมก็ดีใจมากแล้ว”
“วันนี้ฉันจะอยู่ดูเื่สนุกๆ กับนายด้วย” อยู่ๆ จงซิงอู๋ก็พูดออกมา
ในใจทั้งสองต่างก็รู้ว่า ‘เื่สนุก’ นั่นคืออะไร ดังนั้นจึงหันมาสบตายิ้มให้กัน จงซิงอู๋หั่นเค้กให้ตัวเอง ก่อนจะทานมันไปพร้อมกับฉินซี
“เื่สนุกที่อาจารย์จงจะได้ดูในวันนี้ มันต้องสุดยอดมากแน่ๆ ครับ” มือที่จับส้อมของฉินซีนิ่งไปเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นยิ้ม ไม่รู้ว่าปลายจมูกของเขาเลอะครีมไปั้แ่เมื่อไร แต่มองไปแล้วก็ดูน่ารักเหมือนเด็กน้อยอย่างน่าประหลาด
ในใจของจงซิงอู๋รู้สึกเสียดายขึ้นมา เสียดายที่คุณเฉินไม่ได้มาเห็นด้านนี้ของฉินซี
และ ‘เื่สนุก’ ที่ฉินซีพูดถึงก็ไม่ปล่อยให้พวกเขารอนาน
ขณะที่กระแสการวิพากษ์วิจารณ์กำลังมาแรง บริษัทจัดการของเหลียนเหล่ยก็วุ่นวายไปหมด ในระหว่างที่กำลังจะแถลงการณ์ก็ไม่รู้ว่ามีใครปล่อยข่าวออกมาอีกว่า ตอนนั้นในรายการวาไรตี้ เหลียนเหล่ยผลักฉินซีตกลงมาจากเวที มีทีมงานเื้ัคนหนึ่งบอกว่าไม่อยากเห็นเหลียนเหล่ยกลับดำเป็ขาวอีกแล้ว จึงปล่อยวิดีโอที่ถูกตัดต่อออกมา ทั้งยังจงใจขยายรายละเอียดให้ด้วย
ในตอนนั้น มันก็ได้ทำลายฟางเส้นสุดท้ายของชื่อเสียงของเหลียนเหล่ยไป แฟนคลับเองไม่อาจปกป้องต่อไปได้ พวกเขาเริ่มสงสัยแล้วว่า ความจริงดาราสาวที่พวกเขาชื่นชมเป็คนแบบไหนกันแน่?
“วันนี้ไปเยี่ยม @ฉินซี ที่โรงพยาบาลครับ เขาได้รับาเ็หนัก แต่ก็ยังพยายามถ่ายรายการต่อจนเสร็จ ความจริงแล้วฉินซีเป็นักแสดงที่ตั้งใจทำงานมากคนหนึ่งเลยนะครับ แม้จะเป็เพียงหน้าใหม่ แต่มีใครบ้างที่ไม่เคยเป็นักแสดงหน้าใหม่มาก่อน?”
หลังจากนั้นเขาก็ลงภาพทางเข้าโรงพยาบาลควบคู่ไปด้วย แม้จะไม่ได้ถ่ายให้เห็นชื่อโรงพยาบาล แต่ด้วยความสามารถในการขุดค้นของเหล่าปาปารัสซี่ ไม่นานพวกเขาก็หาโรงพยาบาลนี้พบ
จงซิงอู๋ก็แค่อยากอาศัยโอกาสช่วยฉินซีสักหน่อย เขาเดาว่าตอนนี้ฉินซีน่าจะ้าแรงผลักดันของสื่อ
เมื่อฉินซีทานเค้กเสร็จเรียบร้อย ก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง และนำจานวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะหมุนตัวนั่งหันไปทางหน้าต่าง เขายกบทขึ้นมาอ่านอีกครั้ง จงซิงอู๋ลูบจมูกของตัวเองด้วยความอึดอัด คิดไม่ถึงเลยว่าเทพเ้าก็จะมี่เวลาที่ถูกละเลยด้วย
จงซิงอู๋ขอผู้จัดการลามาอย่างหาได้ยาก วันนี้เขาไม่ได้มีตารางอื่นใด เขามองซ้ายทีขวาที ก่อนที่สุดท้ายจะลากเก้าอี้ไปนั่งข้างหน้าต่าง เมื่อก้มหน้ามองก็เห็นบทในมือของฉินซีพอดี ในแววตาของเขาปรากฏความตกตะลึงขึ้นมา “นี่คือละครใหม่ที่คุณเฉินจัดหามาให้เหรอ?”
“ครับ แต่่นี้ผมสร้างเื่เยอะขนาดนี้ ไม่รู้ว่าที่กองถ่ายจะยังอยากได้ผมอยู่ไหม” ฉินซียกบทในมือขึ้น แม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่ใบหน้าของเขากลับไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
จงซิงอู๋อดจะขยับตัวเข้าไปถามไม่ได้ “ไม่ร้อนใจบ้างเลยเหรอ?”
“ร้อนใจไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรนี่ครับ” ฉินซีกะพริบตาปริบๆ
จงซิงอู๋หลุดหัวเราะออกมา “นายพูดถูก ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่เป็ของนาย สุดท้ายก็ต้องเป็ของนายอยู่ดี ฉันว่าทางกองถ่ายไม่มีทางปล่อยนายไปหรอก มีกระแสข่าวร้อนแรงขนาดนี้ เมื่อถึงเวลาเข้าไปในกองถ่ายของพวกเขา ก็ย่อมจะเป็โอกาสดีสำหรับการโปรโมต! ดังนั้นสำหรับกองถ่ายแล้ว นี่ก็มีแต่ผลดีทั้งนั้น”
ใบหน้าของฉินซีปรากฏรอยยิ้มบางๆ หลังจากนั้นรอยยิ้มก็ค่อยๆ ขยับกว้างขึ้น
เมื่อจงซิงอู๋เห็นเขายิ้มกว้างออกมาอย่างสดใส ก็อดเบนสายตามองตามออกไปนอกหน้าต่างไม่ได้ ที่แท้ด้านนอกโรงพยาบาลเริ่มมีรถทยอยมาจอด เมื่อประตูรถเปิดออก พวกนักข่าวถือไมค์ถือกล้องจำนวนไม่น้อยก็ทะลักออกมา หลังจากนั้นก็มีกลุ่มแฟนคลับของฉินซีอดจะมาหาเขาด้วยความเป็ห่วงไม่ได้ จู่ๆ คนจำนวนมากก็ทะลักเข้ามา ทำให้ผู้คนออกมามุงดูไม่น้อย
“อาจารย์จง คุณเดาว่าพวกเขาจะใช้เวลาเท่าไรในการเบียดกันขึ้นมาครับ?” มุมปากของฉินซีปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย ราวกับเด็กน้อยช่างก่อเื่
“พวกปาปารัสซี่เหล่านี้เชี่ยวชาญมาก พวกแฟนคลับเอง ถ้าบ้าคลั่งขึ้นมาก็น่ากลัว คนในโรงพยาบาลขวางพวกเขาไม่ได้หรอก ไม่กี่นาทีก็น่าจะเข้ามาได้แล้ว อีกไม่นานเดี๋ยวนอกประตูห้องพักผู้ป่วยของนายก็คงคึกคักน่าดู”
“คึกคิกก็ดีน่ะสิครับ” ฉินซีก้มหน้าลงอ่านบทต่อ อ่า... ยังมีบทอีกย่อหน้าที่ค่อนข้างพูดยาก เขายังต้องแบ่งออกอีก จากนั้นก็ทำความเข้าใจจำลงไป อย่างไรอีกไม่กี่นาทีก็คงจำได้พอดี
จงซิงอู๋มองนาฬิกาจับเวลาข้างกาย ที่แท้ไม่ถึง 3 นาทีก็มีพวกปาปารัสซี่กลุ่มแรกเข้ามาถึงหน้าห้องพักผู้ป่วยแล้ว พยาบาลรีบวิ่งเข้ามาถามพวกเขาอย่างรีบร้อน “พวกคุณเป็ใครคะ? ที่นี่ไม่สามารถบุกเข้ามามั่วๆ ได้นะ! กรุณาอย่ารบกวนการพักผ่อนของพวกคนป่วยนะคะ!
“พวกเรามีใบอนุญาตจากผู้อำนวยการของโรงพยาบาล เรามาสัมภาษณ์คนที่อยู่ในห้อง” เพียงชั่วครู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยก็อัดแน่น และยังมีคนมือไวยกกล้องขึ้นมาหันไปทางหน้าต่าง ฉินซีในชุดผู้ป่วยนั่งอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง เผยแผ่นหลังบอบบางให้ทุกคนได้เห็น เขาก้มหน้าลงในมือยังคงถือบท แสงจากด้านนอกหน้าต่างลอดเข้ามาทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับมองดูภาพวาดที่สวยงามประณีต
หลังจากเงียบไปหลายวินาที ในที่สุดก็มีคนกระแอมไอ และออกเสียงถามขึ้น “สวัสดีครับ คุณคือฉินซีหรือเปล่า? พวกเราอยากสัมภาษณ์คุณสักหน่อยครับ”
ฉินซีวางบทในมือลงช้าๆ จงซิงอู๋นับว่าไหวพริบดี จึงเดินไปรับบทเล่มนั้นมาอย่างเป็ธรรมชาติ รอจนเขารับมาแล้วถึงรู้สึกว่าท่าทางของตัวเองดูราวกับเป็พ่อบ้านเคียงกายคุณชายเสียอย่างนั้น นั่นทำให้จงซิงอู๋รู้สึกอับอายเล็กน้อย เขาลุกขึ้นตามฉินซี ก่อนจะแสดงท่าทีของเทพเ้าออกมาเพื่อแก้เขินท่าทางเมื่อครู่
ในตอนนั้นเมื่อเหล่าปาปารัสซี่เห็นจงซิงอู๋ พวกเขาก็ฮือฮาราวกับเหยียบรังแตนและพุ่งตัวเข้ามาอย่างวุ่นวาย ก่อนจะรัวคำถามเข้ามาไม่หยุด “การที่เทพเ้าจงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ หรือว่าก่อนหน้านี้จะหลอกลวงแฟนคลับและมีความสัมพันธ์กับฉินซีจริงครับ?”
“เทพเ้าจงอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วคะ?”
“เทพเ้าจง...”
ท่าทางของเทพเ้าจงดูเป็กันเองกับกลุ่มคนตรงหน้าดี เขาโบกมือนิ่งๆ ก่อนจะพูดออกมา “รบกวนทุกคนเบาเสียงลงหน่อยนะครับ ที่นี่คือโรงพยาบาล ถ้า้าสัมภาษณ์ก็ค่อยๆ เข้ามาทีละคน ผมไม่อยากให้ทุกคนสร้างความลำบากให้ผู้ป่วยนะครับ”
หลังจากพวกปาปารัสซี่มองหน้ากันแล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงจำใจเบาเสียงลงถาม “ตอนนี้พวกเราเข้าไปได้ไหม?”
“เข้ามาเถอะครับ” ฉินซีพูดขึ้น
พวกปาปารัสซี่ต่างก็รู้ดีว่าจงซิงอู๋เป็คนพูดจาด้วยง่าย ถ้าจะสัมภาษณ์ก็ได้หมด แต่เขาก็มีขีดความอดทนเป็ของตัวเอง หากว่ามีใครไปััมันเข้า หลังจากนั้นก็อย่าคิดจะสัมภาษณ์เขาอีกเลย
พวกเขาต่อแถวกันเข้ามา ในตอนนั้นก็มีแฟนคลับที่เป็ห่วงฉินซีเข้ามาอีก แต่ว่าแฟนคลับที่สามารถอดทนมาถึงตอนนี้โดยไม่กลายเป็แอนตี้แฟนไปก่อนได้นั้น ต่างก็มีการตัดสินใจที่แน่วแน่และวิสัยทัศน์ที่ไม่เลว พวกเธอจึงไม่ได้ทำเื่วุ่นวายอะไร และพากันนั่งรออยู่ด้านนอกเงียบๆ เพียงแต่กลุ่มพวกเธอมีขนาดใหญ่เล็กน้อย เมื่อมาแออัดอยู่ในโรงพยาบาล ก็ค่อนข้างดึงดูดสายตาคนรอบข้างอยู่ ในตอนนั้นได้แต่ดีใจที่ห้องพักผู้ป่วยของฉินซีอยู่ที่มุมเงียบมุมหนึ่ง ทำให้อย่างน้อยพวกคนมากมายขนาดนี้ก็ไม่ได้ขัดขวางผู้ป่วยที่มารักษา
บรรดาสื่อต่างพากันแออัดอยู่ในห้องพักผู้ป่วยเล็กๆ แต่ก็ไม่มีใครบ่นออกมา พวกเขารู้ดีว่าวันนี้จะเป็การสัมภาษณ์ที่ทำให้พวกเขาสนุกจนพอใจแน่
“ที่ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ออกมาแถลงเื่ที่เหลียนเหล่ยกับผู้จัดการของเธอตำหนิว่าผมไม่เคารพรุ่นพี่ นั่นเป็เพราะผมไม่อาจอธิบายได้ ผมอยู่ที่โรงพยาบาลมาตลอด ข้อศอกกับซี่โครงต่างก็เคลื่อนผิดตำแหน่งไป ตอนนั้นผมาเ็ไม่เบาเลยครับ หลังจากมาถึงโรงพยาบาลแล้ว หมอก็ไม่ให้ผมขยับตัวตามใจชอบ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้กระดูกเคลื่อนอีกครั้ง เชื่อว่าทุกคนคงมีความรู้ด้านการแพทย์กันอยู่บ้าง น่าจะรู้ว่าถ้าซี่โครงเคลื่อนผิดที่ไปจะทำให้หายใจลำบาก หรือแม้แต่จะก่ออันตรายต่ออวัยวะภายใน… ก่อนหน้านี้ตอนที่มีเพื่อนเข้ามาเยี่ยม เขาก็ให้ผมดูคอมเมนต์บางส่วนบนอินเทอร์เน็ต ตอนนั้นผมเสียใจมากจริงๆ ครับ แต่ก็ทำได้เพียงรักษาตัวต่อไป
ดังนั้นไม่ใช่เพราะผมละอายความผิด แต่เพราะว่าไม่สามารถแสดงตัวออกไปได้จริงๆ ผมต้องขอบคุณแฟนคลับที่คอยปกป้องอยู่ข้างๆ เสมอมา การยืนหยัดของพวกเขาทำให้ผมซึ้งใจมาก ขอบคุณที่เชื่อใจผมนะครับ หลังจากนี้ผมจะไม่ทำให้พวกคุณผิดหวังครับ”
ฉินซีสามารถนำข้อดีของทักษะการแสดงมาใช้ได้เป็อย่างดี ในตอนที่ดวงตาทั้งสองบนใบหน้างดงามเริ่มบวมแดงขึ้นมา คลอไปด้วยน้ำตา และแสดงสีหน้าซาบซึ้งจนอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ออกมา จะมีใครไม่ถูกทำเอาใจสั่นบ้าง?
ก่อนหน้านี้ที่ข่าวฉาวของเหลียนเหล่ยถูกเปิดโปง มันก็กลายเป็ตัวแพร่กระจายที่ดีมากแล้ว ดังนั้นหากในตอนนี้จะทำให้ทุกคนเชื่อว่าเขาไม่รู้อะไร เขาเป็ผู้ถูกกระทำ นั่นก็เป็เื่ที่เป็ไปอย่างง่ายดาย
คำพูดนี้ของฉินซีถูกถ่ายทอดสดออกไป...
เด็กสาวที่ใจอ่อนไหวเริ่มจะต้องเช็ดน้ำตาเพราะฉินซีกันแล้ว
ฝั่งที่อ่อนแอมักจะได้รับความสงสารและเห็นใจจากผู้คนได้ง่าย
ในตอนนั้นเอง เฉินเจวี๋ยเพิ่งจะประชุมงานสำคัญเสร็จ เขานั่งอยู่บนโซฟาของโรงแรมพร้อมกับนวดขมับของตัวเองไปด้วยความหงุดหงิดใจ เลขาสาวเดินเข้ามาข้างกาย ก่อนจะค้อมตัวลงเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เ้านายคะ ตั๋วเครื่องบินจองเรียบร้อยแล้วค่ะ ไฟลท์หนึ่งทุ่มตรง เราจะบินกลับประเทศกันค่ะ”
“อืม” เฉิยเจวี๋ยตอบรับกลับไปเรียบๆ เขาหยิบโน้ตบุ๊คด้านข้างขึ้นมา เลื่อนนิ้วไปเปิดข่าวซุบซิบบันเทิงใหม่ล่าสุดในประเทศขึ้น จากนั้นความเหนื่อยล้าและความหงุดหงิดใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ หายไป ไม่เพียงเท่านั้น เลขาสาวถึงกับสังเกตเห็นมุมปากของเฉินเจวี๋ยที่กำลังค่อยๆ คลี่ยิ้ม นั่นทำเอาเลขาสาวประหลาดใจไม่น้อย
หัวใจของเลขาสาวเต้นระรัวขึ้นมา เพราะไม่เคยเห็นเฉินเจวี๋ยเป็แบบนี้มาก่อน เธอจึงอดจะอยากรู้ไม่ได้ว่าเ้านายของตัวเองกำลังดูอะไรอยู่
มุมปากของเฉินเจวี๋ยค่อยๆ แข็งไปราวกับเห็นอะไรที่ทำให้เขาไม่พอใจเข้า
เขาลุกยืนขึ้น “ไปเก็บของเตรียมไปสนามบิน”
“ไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอคะ?” เลขาสาวใขึ้นมาเล็กน้อย ในใจของเธอบ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่ใช่ว่าจะบินตอนทุ่มครึ่งหรอกเหรอ?
“ไปแก้ตั๋วเครื่องบินให้ได้ไฟล์ทที่เร็วที่สุด”
เลขาสาวตอบทั้งที่เบิกตากว้าง “...”
“ค่ะ”