ซุนซื่ออ้าปากค้างด้วยความตะลึง นางไม่คิดว่าเกาต้าซานจะแจ้งเื่นี้แก่เหล่าไท่ไท่ เพราะเหอตังกุยคือคนแซ่อื่นที่เพิ่งมาใหม่ ทั้งยังต่ำต้อยขี้ขลาด แม้แต่บ่าวรับใช้ในจวนยังดูถูกนาง เหตุใดจู่ ๆ ก็พูดเพื่อนางเสียอย่างนั้น?
ติงหรงเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน ก่อนจะคุกเข่าโขกศีรษะยอมรับผิดต่อเหล่าไท่ไท่ “เหล่าไท่จวิน เื่ไม่ได้ส่งเกี้ยวไปนั้น นายหญิงรองไม่รู้เห็นนะเ้าคะ ล้วนเป็ความผิดข้าน้อยที่ทำโดยพลการ ในใจคิดเพียงต้องรีบไปรับคุณหนูสามกลับมา จึงเรียกเกาต้าซานเร่งเดินทางไปด้วยกัน ก่อนออกเดินทางเป็เวลาอาหารค่ำพอดี มิกล้ารบกวนนายหญิงรองที่กำลังรับประทานอาหาร ข้าน้อยจึงไม่ได้รับป้ายคำสั่ง ไม่สามารถใช้เกี้ยวของจวนได้ เป็ความผิดบ่าวที่คิดไม่รอบคอบ ทำให้คุณหนูสามไม่ได้รับความเป็ธรรม หากในตอนนั้นคุณหนูสามรังเกียจที่เกี้ยวไม่ดีก็สามารถเอ่ยได้ บ่าวจะนำเงินของตนไปจ้างเกี้ยวที่ตีนเขาให้สมฐานะของนางอย่างแน่นอนเ้าค่ะ ทว่าเหตุการณ์ตอนนั้นกลับตาลปัตร แม้แต่หน้าก็ไม่ยอมโผล่มาให้เห็น กลับสั่งให้พวกข้าน้อยกลับจวน”
ซุนซื่อเอ่ยเสริม “ติงหรงเป็คนมีฐานะ มีหรือจะไม่ให้ความยุติธรรมกับเด็กผู้หนึ่ง? แม้พวกเราจะไม่ได้เอ่ยคำทำนายของซินแส แต่เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวอี้ไม่อยากกลับตระกูลหลัว ไม่แน่ว่านางอาจเกลียดชังพวกเราที่ไม่จัดงานศพของนางในจวน กลับส่งนางไปยังวัดที่ห่างไกลความเจริญเช่นวัดสุ่ยซัง”
เมื่อเห็นเหล่าไท่ไท่เม้มปากแน่น ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ซุนซื่อนึกว่าตนพูดแทงใจนางจึงอธิบายต่อ “เหล่าจูจง ความหมายของข้าคือเมื่อเสี่ยวอี้อยากใช้ชีวิตในวัดนาน ๆ พวกเราก็ถือโอกาสนี้ไปรับนางช้าสักปีครึ่ง ให้นางอยู่วัดขัดเกลานิสัยหยาบกระด้างที่ถูกบ่มเพาะขณะอาศัยในหมู่บ้านเกษตร นางจะได้อ่อนโยนกว่านี้ เมื่อแต่งงานออกเรือนก็จะได้ไม่เป็ที่ติฉินนินทาเช่นชวนสยง แต่งงานครั้งใดล้วนต้องเลิกรากับสามีทุกครั้ง คุณชายใหญ่... ท่านเป็ตัวแทนครอบครัวลูกชายคนโต เหมยเฉี่ยว... เ้าเป็ตัวแทนครอบครัวสาม ในเมื่อเหล่าจูจงบอกว่าข้าอคติกับเสี่ยวอี้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่แสดงความคิดเห็น พวกเ้าในฐานะครอบครัวสาขาแรกและสาขาสามแสดงความเห็นเถิด แล้วค่อยเอ่ยแนะนำเหล่าจูจง”
กล่าวถึงตรงนี้ ในใจของซุนซื่อสะใจยิ่ง เพราะตัวแทนทั้งสามคนที่นางเสนอจะต้องเห็นด้วยกับนางแน่นอน ด้านจ้าวซื่อกับต่งซื่อของครอบครัวใหญ่ แม้จะไม่สนิทกับตน แต่คุณชายเฉียนก็เคารพตนยิ่งนัก ทุกครั้งที่พบหน้ามักจะยิ้มแย้มเสมอ ส่วนเหมยเหนียงของครอบครัวสาม นางไม่ได้รับความโปรดปรานจากนายท่านสามนัก สองปีก่อนขณะนายท่านสามไปทำการค้าเกี่ยวกับเขากวางและกระดูกเสือที่ทางเหนือ หนึ่งชายาและสองอนุที่เขาพาไปด้วยกลับไม่มีนาง นางอยู่ในจวนไม่มีที่พึ่งพาอาศัย ย่อมไม่กล้าล่วงเกินตนที่มีฐานะเป็ผู้ดูแลจวนเป็แน่
จริงดังคาด เหมยเหนียงััได้ว่าสายตาของซุนซื่อจับจ้องใบหน้าของตน นางจึงรีบแสดงจุดยืนทันที “ที่สะใภ้รองกล่าวมีเหตุผลไม่น้อย ข้าเห็นด้วยอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราไม่ได้จะไม่ไปรับคุณหนูสาม เพียงให้แม่ชีเป็ผู้อบรมสั่งสอนนิสัยหยาบกระด้างไม่เชื่อฟังของนางแทนพวกเรา ข้าได้ยินว่าแม่ชีเ่าั้มีวิธีอบรมในแบบของตน คนที่ได้รับการสั่งสอนล้วนเชื่อฟังเหมือนแมวเด็กอย่างไรอย่างนั้น แม้ตอนนี้คุณหนูสามจะยังไม่เข้าใจในความหวังดี แต่เมื่อนางออกเรือนก็จะรู้ว่าพวกเราทำเพื่อนาง เวลานั้นนางต้องกลับมาขอบคุณพวกเราแน่นอนเ้าค่ะ”
พูดจาเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ซุนซื่อเอ่ยชื่นชมในใจ คำแก้ตัวของนางดีกว่าตนเสียด้วยซ้ำ ในเมื่ออนุเหมยรู้กาลเทศะ เงินเดือนของเหอตังกุยยกให้เป็รายเดือนของนางก็แล้วกัน จากนั้นซุนซื่อก็ตวัดสายตาเฉียบคมและมีเสน่ห์เหลือบมองหลัวไป๋เฉียน นางเอ่ยในใจ เมื่อครู่การแสดงของเ้ายังดีไม่พอ ตอนนี้เ้าน่าจะรู้ว่าควรพูดอย่างไร
หลัวไป๋เฉียนไหนเลยจะอยากเห็นด้วยกับคำพูดของซุนซื่อ เพื่อขายความจริงใจให้นางผู้เดียว อย่างไรก็เพียงมีเื่ลำบากใจเพิ่มอีกเื่เท่านั้น ครั้งนี้จึงล่วงเกินซุนซื่อไปก่อน ค่อยหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ภายหลัง เมื่อหลัวไป๋เฉียนคิดได้ดังนั้นจึงฝืนใจเอ่ย “อย่างไรน้องสามก็เป็ลูกสาวเพียงคนเดียวของป้าเล็ก ให้นางตกระกำลำบากอยู่ด้านนอก ข้าทนดูไม่ได้จริง ๆ แม่นมในตระกูลของเราก็มีไม่น้อยที่เคยฝึกฝนมารยาทหญิงงาม หากจะให้สอนน้องสามย่อมไม่ลำบากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามองว่าน้องสามเป็เด็กดีเหมือนแมวน้อยตัวหนึ่ง หากอบรมสั่งสอนสักหน่อยก็คงจะกลายเป็หนูน้อยขอรับ”
เหล่าไท่ไท่ได้ยินดังนั้นก็อารมณ์ดี พลางหัวเราะ “เหอ ๆ ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของหลานจิ้งยิ่งนัก เสี่ยวอี้เฉลียวฉลาด น่าเอ็นดูกว่ามารดาของนางหลายส่วน ไหนเลยจะต้องถึงขั้นให้แม่ชีสั่งสอน”
ซุนซื่อโมโหยิ่งนัก พลางเอ่ยเสริม “ข้าไม่ได้บอกว่าเสี่ยวอี้ไม่ดี ข้าหมายความว่าเื่ที่นางไม่ยอมกลับจวนนั้นทำไม่ถูก สมควรลงโทษ ถือเป็การสั่งสอนพี่น้องคนอื่น ๆ มิให้เอาเยี่ยงอย่าง ในเมื่อความคิดเห็นของครอบครัวใหญ่และครอบครัวสามต่างกัน ข้าเองก็ไม่เหมาะจะแสดงความคิดเห็น มิสู้อีกสองเดือนค่อยไปรับนางกลับมาเพื่อให้นางเข้าใจเหตุผล นั่นคือตระกูลหลัวเป็ผู้มีพระคุณของนาง ไม่ว่าจะให้มากหรือให้น้อยก็ล้วนเป็ความปรารถนาดี นางควรเรียนรู้ที่จะซาบซึ้งบุญคุณคน มิใช่เนรคุณ”
เหล่าไท่ไท่ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ นางโบกมือแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนเ้าจะยังเสียใจกับการสูญเสียน้องชาย อีกทั้งยังทำงานหนักอย่างยากลำบากในแต่ละวัน ดังนั้นข้าจะไม่ถือสา ไม่ว่าเื่อะไรก็ต้องให้ข้าทุกข์ใจทุกที เดิมทีเสี่ยวอี้เป็เด็กอาภัพ เ้าในฐานะป้าสะใภ้จะไม่สามารถรักนางให้มากกว่านี้ได้เลยหรือ? อีกอย่าง เหตุผลที่เสี่ยวอี้ฝากให้เกาต้าซานมาบอกข้าว่านางจะอยู่ที่วัดจนถึงวันที่สิบเจ็ดนั้น ข้าไม่เคยคิดจะพูดมัน เพราะกลัวพวกเ้าจะตื่นตระหนก แต่ในเมื่อเสี่ยวเหมยไม่ยอมปล่อยเื่นี้ไป เช่นนั้นข้าจะอธิบายเหตุผลให้พวกเ้าฟัง”
หลัวไป๋เฉียนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุผลอันใดหรือขอรับ?”
เหล่าไท่ไท่ปรายตามองซุนซื่อ อนุเหมยและติงหรงที่อยู่ในห้อง ก่อนจะเอ่ยเนิบนาบ “พวกเ้าจำวันที่สิบเจ็ด เดือนเก้าได้หรือไม่ว่าเป็วันอะไร?” ทั้งสามมองหน้ากันด้วยความสงสัย เหล่าไท่ไท่จึงหันมองหลัวไป๋เฉียนพลางเอ่ย “หลานเฉียน แล้วเ้าล่ะ รู้หรือไม่?” หลัวไป๋เฉียนส่ายศีรษะ วันที่สิบเจ็ด เดือนเก้าของทุกปีมิใช่วันธรรมดาหรอกหรือ วันเกิดใครก็ไม่ใช่ ปีนี้มันมีความพิเศษอันใดกัน?
เหล่าไท่ไท่ส่ายศีรษะ ก่อนจะเอ่ย “วันที่สิบเจ็ด เดือนเก้าในปีนี้เป็วันเจี๋ยอิ๋น เดือนเจี๋ยซวี ปีเจี๋ยซวี เสี่ยวอี้ฝันว่าเทพเ้าชี้แนะให้นางอาบน้ำ จุดธูปไหว้ฟ้า ไหว้เทพเ้าสามบริสุทธิ์[1] เพื่อภาวนาขอพรให้ผู้าุโสุขภาพแข็งแรง อยู่เย็นเป็สุข อีกทั้งวันนี้ยังมีความหมายสำคัญยิ่งต่อตระกูลหลัวของเรา ติงหรง เมื่อครู่เ้าบอกว่าไม่ลืมกำพืดของตัวเอง เช่นนั้นก็น่าจะลองคิดแทนนายหญิงของเ้าดูว่าวันที่สิบเจ็ด เดือนเก้าเป็วันอะไร ใครคิดออกก็บอกข้า ข้าจะให้รางวัลแก่ผู้นั้น”
หลายคนในห้องต่างงุนงง ไม่รู้ว่าเหล่าไท่ไท่มีแผนการอันใดในใจกันแน่
เหล่าไท่ไท่ประคองเอวลงจากตั่งไม้ สือหลิวรีบพยุงนางทันที ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องปีกข้าง เหล่าไท่ไท่เอ่ยตามหลังว่า “เหมยเฉี่ยวบอกแล้วว่าวัดแห่งนั้นยากจนข้นแค้น ไม่มีใครอยากกินเจและสวดมนต์อยู่ในวัดบนูเาแห้ง แต่เสี่ยวอี้เป็คนกตัญญู นางยอมลำบากเพื่อภาวนาขอพรต่อทวยเทพให้ตระกูลหลัวสงบสุขร่มเย็น ข้าไม่ใช่มารดาของชวนสยง ไม่ใช่ยายของเสี่ยวอี้ เมื่อก่อนพวกเ้ามักจะตำหนิข้าบ่อย ๆ ว่าข้ารักแต่พวกนางสองแม่ลูก ทว่ามีใครคนใดบ้างที่ทำให้ข้ากังวลใจน้อยลง? ข้าให้ความสำคัญกับเด็กดีที่รู้ความและกตัญญู สะใภ้รอง เ้าจงถ่ายทอดคำสั่งออกไป วันที่สิบแปด เดือนเก้าตอนเช้าตรู่ให้หญิงรับใช้แปดคนไปรับคุณหนูอี้กลับจวนตระกูลหลัว และให้นางอยู่ที่เรือนซีคั่วฝั่งตะวันตกเช่นเดิม”
นายหญิงรองก้มหน้ารับคำสั่ง สือหลิวพยุงเหล่าไท่ไท่เข้าไปในห้องปีกข้าง กานเฉ่าและเติงเฉ่าก็ตามหลังไปเช่นกัน เมื่อผ้าม่านไข่มุกปิดลง ทุกคนต่างทำความเคารพทางผ้าม่านไข่มุกนั้น ก่อนจะถอยหลังเดินออกจากเรือน
หลัวไป๋เฉียนออกมาด้วยความสงสัย ยังคงคิดว่าวันที่สิบเจ็ด เดือนเก้านั้นมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหลัวอย่างไร
ซุนซื่อเดินผ่านข้างกายเขา ก่อนจะหยุดฝีเท้าลง นางเอ่ยทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเ็า “เฮอะ ข้าลืมไปว่าบิดาคุณชายเป็พี่น้องร่วมครรภ์กับแม่ของเสี่ยวอี้ เ้ากับเสี่ยวอี้เป็ลูกพี่ลูกน้องกันจึงสนิทสนมใกล้ชิดมากกว่าคนนอก ช่างน่าอิจฉาเสียจริง”
เมื่อซุนซื่อเดินผ่านสวนดอกชบา นางเด็ดดอกชบาไว้ในกำมือก่อนจะขยี้ พลางเอ่ยอย่างเดือดดาล “ช่างเป็การสร้างเรือนไว้บนน้ำแข็งจริง ๆ ไว้ใจไม่ได้ ไม่มีบุรุษหน้าไหนดีเลยสักคน”
ติงหรงเอ่ยคล้อยตาม “หากบุรุษพึ่งพิงได้ หมูคงปีนต้นไม้แล้วเ้าค่ะ นายหญิงจะโกรธคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ได้พึ่งพาท่านในจวนหลังนี้ไปไยเ้าคะ หากนางคนนั้นกลับมาแล้วจะอย่างไร นายหญิงก็มีวิธีจัดการนางอยู่ดี รับรองว่านางอยู่อย่างยากลำบากแน่นอน”
ซุนซื่อกัดฟันกรอด “ข้าไม่อยากเห็นหน้านาง เพราะใบหน้าของนางมีเงาของเหอจิ้งเซียนปรากฏอยู่”
......
“เสี่ยวอี้ เ้าใกล้กลับตระกูลหลัวแล้ว นำของกลับเยอะเพียงนี้ไม่เหนื่อยหรือ? บ้านของเ้าไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่หรืออย่างไร เหตุใดจึงต้องซื้อผ้าไปทำชุดเองเช่นนี้?” เจินจิ้งต้องหอบผ้าสีดำสองพับในอ้อมกอด นางจึงอดบ่นไม่ได้
“เจินจิ้ง เ้ายังไม่รู้อะไร เมื่อข้ากลับตระกูลหลัว เสื้อผ้าและอาหารการกินของข้าล้วนถูกคนริบเข้ากระเป๋าตัวเอง แม้อาหารที่กินในวัดจะเทียบไม่ได้ แต่การอยู่ที่วัดก็ไม่มีอันตราย เหตุนี้ข้าจึงต้องรีบเตรียมการให้เรียบร้อย” มือซ้ายของเหอตังกุยถือไหเหล้า มือขวาถือถุงสมุนไพรห่อใหญ่ ทั้งสองสิ่งหนักกว่าในมือเจินจิ้งหลายเท่า ทว่านางกลับยังคงเดินได้รวดเร็วเหมือนเคย
กำลังภายในนั้นเป็ของดี วิ่งแล้วไม่เหนื่อยล้า ออกแรงทำงานอย่างไรก็ไม่มีทางเหนื่อย นางอดแปลกใจไม่ได้ กำลังภายในของตนอยู่ระดับใดกันแน่ ออกแรงอย่างไรจึงจะถึงขีดจำกัด? วันอื่นค่อยลองใช้พลังฉู่ปาหวังดีกว่า ลองแบกหม้อใบใหญ่ดูว่าจะแบกได้หรือไม่
เจินจิ้งเอียงศีรษะ “ใครกันที่ริบอาหารและเสื้อผ้าของเ้า? อยู่บ้านตัวเองแท้ ๆ เหตุใดจึงอันตรายเช่นนี้?”
เหอตังกุยมองไข่เค็มหน้าร้านขายของชำร้านหนึ่ง ก่อนจะพูดกับเจินจิ้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เหตุผลนั้นยากเกินกว่าที่เ้าจะเข้าใจ เมื่อข้ากลับไปแล้ว เ้ารู้ไว้เพียงว่าครอบครัวของข้าล้วนเป็คนชั่วร้าย จงจำไว้ อยู่ในจวนตระกูลหลัว อย่าคุยกับคนแปลกหน้า อย่าเชื่อคำที่คนอื่นพูด มีเพียงคำพูดของข้าเท่านั้นที่เชื่อถือได้ คำพูดของคนอื่นเป็ดั่งลมระลอกหนึ่ง อย่ากินอาหารที่ไม่รู้ที่มาเด็ดขาด หากคนอื่นเรียกเ้าให้ไปกับเขา เ้าต้องรายงานข้าก่อน หากใครแตะต้องตัวเ้าก็ร้องะโดัง ๆ ทำให้อีกฝ่ายใจนวิ่งหนีไป...”
เจินจิ้งได้ยินดังนั้นก็อ้าปากกว้างจนแทบจะยัดไข่ไก่ลงไปได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยความใ “คิดไม่ถึงว่าบ้านของเ้าจะอันตรายเพียงนี้ เช่นนั้นข้าต้องเร่งเตรียมการแต่เนิ่น ๆ เสียแล้ว”
เหอตังกุยเอ่ยถามอย่างประหลาดใจด้วยรอยยิ้ม “เด็กสาวเช่นเ้ามีสิ่งใดให้เตรียมการกัน?”
เจินจิ้งส่ายหัวด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าก็มีความลับที่ไม่อาจเปิดเผยได้เช่นกัน” ในใจของนางแทบรอให้เหอตังกุยซักไซ้อย่างอยากรู้อยากเห็นมิได้
“อ๊ะ เจอแล้ว” เหอตังกุยชี้นิ้ว “ดูสิ ด้านหน้าของพวกเราคือร้านเงิน ที่นั่นสามารถเช่าตู้เก็บสิ่งของชั่วคราวได้ พวกเรานำของไปฝากกันเถอะ ตอนเย็นค่อยจ้างรถม้าไปส่งที่หน้าประตูวัด ประหยัดเวลาและประหยัดแรงได้เยอะ ข้าจะฝากตั๋วเงินพอดี เหลือตั๋วเงินไว้ใช้พอได้โอ้อวดสักสองสามใบให้คนจดจำพวกเรา เมื่อครู่ก็มีสองสามคนที่ไม่แม้แต่จะเดินเล่นหรือซื้อของในตลาด แต่พวกเขากลับเดินตามเราตลอดทาง”
“จริงหรือ? อยู่ที่ใดเล่า?” เจินจิ้งมองรอบด้านอย่างตื่นตระหนก จับข้อศอกเหอตังกุยแน่นพลางเอ่ยเดา “เสี่ยวอี้ หรือจะเป็ลูกน้องที่เฒ่าแก่จิ้งร้านขายโลงศพส่งมา? เขาต้องโกรธพวกเราที่ได้กำไรจากเขาไม่น้อยแน่ เมื่อเห็นว่าผู้คุ้มกันของพวกเราจากไปจึงคิดจะขโมยเงินคืน”
“ไม่ต้องกังวล การซื้อขายของข้ากับเฒ่าแก่จิ้งนั้นเป็สิ่งของที่มีราคาและมีค่า เป็การยื่นหมายื่นแมว แม้ข้าจะใช้ลูกไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ได้กำลังจากเขา ทว่าทางการค้าขายนั้น ข้ารับประกันว่าเขาไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน ตราบใดที่เขาตบแต่งโลงไม้จันทน์หอมอย่างดีแล้วนำไปขายร้านรับซื้อดี ๆ ในเมืองหยางโจว ต้องได้กำไรอย่างน้อยสามสี่ตำลึง” เหอตังกุยมองเจินจิ้งยกผ้าขึ้นสูงราวจะต่อสู้ จึงอดแนะนำด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ข้าว่าสามคนด้านหลังนั้นไม่ใช่หัวขโมยธรรมดาแน่ เมื่อเห็นว่าเราจับจ่ายใช้สอยคล่องมือ พวกนั้นก็เหมือนงูบนดิน ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายบ้านเมืองต้าิก็เข้มงวด ไม่มีใครกล้าปล้นบนถนนใหญ่เช่นนี้ เ้าเด็กโง่รีบเอาผ้าลง ฟังข้าให้ดี ใช้ผ้าต่อสู้กับคนไม่มีทางสร้างความเ็ปได้ หากคนเลวเข้ามาจริง ๆ เ้าควรใช้เท้าเตะมันเสีย แบบนี้...”
เหอตังกุยเตะหินก้อนเล็กแถวนั้นด้วยปลายเท้า มันลอยตรงไปยังต้นไม่ใหญ่ที่ห่างไปหลายสิบจั้ง
“ตึง” เสียงอื้ออึงดังขึ้น หินก้อนนั้นกระแทกไม้หัก แต่มันไม่ได้ฝังเข้าไปในลำต้น เหลือเพียงหลุมลึกบนนั้น ด้วยเพราะก้อนหินลอยต่ำ เสียงไม้หักจึงไม่ดังมาก มีคนเดินถนนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ยิน
-------------------------------------------------------------------
[1] เทพเ้าสามบริสุทธิ์ หมายถึงเทพเ้าสามองค์ซึ่งเป็ผู้ปกครองสูงสุดแห่งจักรวาลทั้งหมด ถือเป็สัญลักษณ์แห่งปัจจัยหลักที่สำคัญของชีวิต 3 อย่าง คือลมหายใจ หัวใจและจิติญญา