สายตาที่เจินจิ้งมองพิจารณาเหอตังกุยนั้นเหมือนตอนนางรู้จักเหอตังกุยครั้งแรก เป็เวลานานกว่าเจินจิ้งจะหาเสียงของตนเจอ “ที่... ที่แท้เ้าก็คือจอมยุทธ์หญิง”
เหอตังกุยมองหลุมเล็กสีดำบนลำต้นด้วยความประหลาดใจ ์รู้ว่านางเพียงเตะเล่นเท่านั้น
เจินจิ้งแย่งไหเหล้าและห่อยาจากมือเหอตังกุย กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ท่านจอมยุทธ์ ข้าจะรับผิดชอบนำของไปฝากเอง ท่านก็รับผิดชอบคุ้มครองข้า ไล่คนชั่วช้าออกไปให้หมด”
มือของเหอตังกุยแกว่งไกวเบาสบายมากขึ้น นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็ต้องไล่ พวกเขาเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ก็วิ่งหนีไปเสียแล้ว ทั้งยังวิ่งเร็วมากอีกด้วย” หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะวิ่งชนแผงขายผลไม้ริมถนน เหอตังกุยเพ่งสมาธิเงี่ยหูฟังพลันได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรี “สาลี่ข้าสกปรกหมดแล้ว เ้าต้องชดใช้ ห้ามหนีไปไหนทั้งนั้น”
เจินจิ้งมองรอบด้าน ถนนเส้นนี้คนไม่พลุกพล่านนัก อีกทั้งยังไม่มีใครวิ่งด้วย นางเอ่ยถามเหอตังกุยอย่างงุนงง “คนทั้งสามที่เ้าพูดถึงอยู่ที่ไหน เหตุใดข้าจึงมองไม่เห็น?”
เหอตังกุยชี้ตรอกเล็กมุมถนนพลางเอ่ย “เมื่อครู่พวกเขายื่นหัวออกมาแอบมองพวกเราอยู่ในตรอกนั้น ตอนนี้น่ะหรือ คงวิ่งหนีไปได้สอง่ถนนแล้ว เอาล่ะ ช่างพวกเขาเถิด พวกเราไปฝากของก่อนแล้วค่อยนำเงินไปฝาก” กล่าวจบก็เดินผ่านร้านเงินต้าหง มุ่งตรงไปยังร้านเงินจี๋เป่า
เจินจิ้งเห็นดังนั้นก็ไม่สบายใจเล็กน้อย จึงกระซิบถามเสียงเบา “ข้าว่าร้านเงินต้าหงใหญ่กว่าร้านนี้ พวกเราไม่ฝากที่ร้านเงินต้าหงหรือ?”
เหอตังกุยอธิบาย “แม้ร้านเงินต้าหงจะใหญ่โตและเป็ร้านเงินแห่งเดียวในเมืองตู้เอ๋อร์ ทว่าข้ากลับไม่เคยเห็นร้านย่อยของร้านต้าหงที่เมืองหยางโจวเลย เมื่อถึงเวลาถอนเงินก็ต้องกลับมาที่เมืองตู้เอ๋อร์ เช่นนั้นจะไม่ยุ่งยากหรือ? แม้ร้านย่อยของร้านเงินจี๋เป่าในเมืองตู้เอ๋อร์จะเล็ก แต่ร้านหลักในเมืองหยางโจวนั้นค่อนข้างใหญ่และน่าเชื่อถือมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือเงินที่พวกเราฝากล้วนเป็ “ตั๋วเงิน” มีเพียงใบยืนยันตัวตนก็สามารถถอนเงินสดได้ทั้งในเมืองหยางโจวและเมืองหลวง”
เจินจิ้งได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงทันที พลางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเ้าเข้าใจไปเสียทุกอย่าง? เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ดั่ง “หนี่ว์ฟู่หม่าจ้วงเหยียน” ในละครงิ้วอย่างไรอย่างนั้น แม้ข้าจะอายุห้าสิบปีก็ไม่สามารถเข้าใจเื่ราวต่าง ๆ ได้มากมายเพียงนั้น”
เหอตังกุยส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “จะไปนับว่าเก่งกาจอันใด คนที่มีเงินสดสำรองฝากไว้ที่ร้านเงินต่างก็รู้เื่เหล่านี้ทั้งนั้น เอาล่ะ เ้านำของไปฝาก ข้านำเงินไปฝาก หากเสร็จธุระแล้ว พบกันที่ต้นหลิวหน้าประตู” กล่าวจบก็ตรงไปยังโต๊ะคิดเงินเพื่อจัดการทำเื่ฝากเงิน ทว่าอายุผู้ฝากนั้นน้อยเกินไป การตรวจสอบเอกสารยืนยันตัวตนจึงใช้เวลาไม่น้อย
ในที่สุดก็เสร็จสมบูรณ์ เงินสองร้อยสี่สิบตำลึงฝากไว้ในบัญชีภายใต้ชื่อของนาง ตั๋วเงินและเงินแท่งที่เหลือถูกเปลี่ยนเป็เงินเหรียญ เหรียญทั้งหมดถูกร้อยใส่เชือกได้สองก้วนและเพิ่มเหรียญทองแดงอีกสองตำลึง มีเงินจำนวนนี้เป็ต้นทุน เมื่อกลับเมืองหยางโจวก็สามารถวางแผนทำกิจการได้อย่างราบรื่น เงินก็จะไหลมาเทมาไม่ขาดสาย นางเข้าใจดีว่าความโลภนั้นเป็สิ่งที่ไม่น่าฟัง ทว่ามันกลับเป็เื่ดี ไม่ว่าอยู่แห่งใด หากไม่จริงจังก็จะเป็ได้เพียงบุคคลนิรนามเท่านั้น
เมื่อออกจากร้านเงิน ใต้ต้นหลิวกลับว่างเปล่าไร้คนรอ เจินจิ้งควรจะมาถึงก่อนนางตั้งนานแล้ว เหอตังกุยร้อนใจยิ่งนัก เจินจิ้งเชื่อฟังนางโดยตลอด เป็ไปไม่ได้ที่จะไม่ยืนรอ
เหอตังกุยจึงเข้าไปดูในที่ฝากของก็เห็นผ้าสีดำสองพับตั้งอยู่ ทว่าเมื่อกวาดตามองในร้านกลับไม่มีวี่แววของเจินจิ้ง ขณะกำลังจะวิ่งออกไปตามหา หูพลันได้ยินเสียงเจินจิ้งหัวเราะพลางกล่าวว่า “นางเก่งกาจดั่งหนี่ว์ฟู่หม่าจ้วงเหยียน... เมื่อครู่นางเตะก้อนหินก้อนหนึ่ง ท่านทายดูซิว่าหินก้อนนั้นมีสภาพเยี่ยงไร...”
เหอตังกุยเพ่งสมาธิแยกแยะเสียงที่ดังลอยมาจากอีกด้าน นางห้อตะบึงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านไปสอง่ถนนก็พบเงาร่างเล็ก ๆ ผอม ๆ ของเจินจิ้งยืนข้างสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่ง
เจินจิ้งพูดคุยกับสตรีผู้นั้นด้วยใบหน้าเบิกบานปานกระด้ง เมื่อนางช้อนตามองก็เห็นเหอตังกุยอยู่ไกล ๆ จึงโบกไม้โบกมือ ก่อนจะร้องะโ “เสี่ยวอี้ นี่แม่ของข้า” เมื่อเหอตังกุยเดินมาใกล้ นางจึงเอ่ยขอโทษ “ข้าขอโทษที่ไม่ได้รอเ้าหน้าร้านเงิน เมื่อครู่ข้าเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งคล้ายแม่ข้ายิ่งนักจึงวิ่งตามมา เป็แม่ของข้าจริง ๆ ”
เหอตังกุยมองสตรีวัยกลางคนตรงหน้า ใบหน้าของนางละม้ายคล้ายเจินจิ้งหลายส่วน เหอตังกุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีเ้าค่ะท่านป้า ข้าคือสหายคนสนิทของเจินจิ้ง ตอนนี้พักอยู่ในวัดสุ่ยซังเช่นกัน อีกสองวันคนที่บ้านก็จะมารับข้ากลับจวน ข้าจึงอยากพาเจินจิ้งไปด้วย ให้นางรับหน้าที่สาวใช้ยกน้ำชา ท่านแม่ชีไท่ซีผู้ดูแลวัดสุ่ยซังตกลงแล้ว ท่านป้าคิดเห็นอย่างไรเ้าคะ?”
สตรีวัยกลางคนได้ยินเื่นี้จากเจินจิ้งแล้ว นางจึงรีบเอ่ย “บ้านของข้าค้างค่าเช่าดอกเบี้ยสูงกับวัดสุ่ยซัง ตอนนี้ก็สามสิบสองตำลึงแล้ว มิกล้าให้คุณหนูเหอช่วยไถ่ตัวนางหรอกเ้าค่ะ ข้ากลับบ้านไปยืมเงินญาติพี่น้องก็ได้ ไถ่ตัวแล้วค่อยส่งนางไปทำงานในจวนตระกูลใหญ่”
เหอตังกุยเอ่ยแทรก “ท่านป้าไม่ต้องกังวลเ้าค่ะ แม่ชีไท่ซีเป็คนดีไม่น้อย นางยอมคิดดอกเบี้ยที่ครอบครัวท่านติดค้างตามอัตราดอกเบี้ยธรรมดาทั่วไปในท้องตลาด หลักฐานการกู้เงินดอกเบี้ยสูงนั้นถูกเผาทำลายหมดแล้ว ตอนนี้ค่าไถ่ตัวเจินจิ้งอยู่ที่ห้าตำลึงเท่านั้น ข้าจะจ่ายก่อนชั่วคราว ในอนาคตค่อยหักจากเบี้ยหวัดรายเดือนของนาง อีกอย่าง ตามกฎตระกูลจะต้องจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าหนึ่งปีให้แก่สาวใช้ใหม่” นางจะไม่โกหกโดยไม่มีอะไรยืนยัน เมื่อกล่าวจบก็หยิบเงินออกจากถุงราวสิบตำลึง ยัดใส่มือหยาบกระด้างของสตรีวัยกลางคนผู้นั้น กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจินจิ้งอยู่ที่บ้านของข้าไม่จำเป็ต้องใช้เงิน ท่านช่วยนางเก็บเงินนี้ไว้เถิด เดิมทีพวกเราคิดจะไปเยี่ยมท่านที่หมู่บ้านหมี่ซวี คิดไม่ถึงว่าจะพบท่านที่เมืองตู้เอ๋อร์ ประหยัดเวลาเดินทางได้พอดีเ้าค่ะ”
สตรีวัยกลางคนรีบคืนเงินให้เหอตังกุยทันที ก่อนจะส่ายศีรษะพลางเอ่ย “จู่ ๆ คุณหนูเหอก็ช่วยครอบครัวข้าชดใช้หนี้ พวกข้าจะรับเงินอีกได้อย่างไร กำไรผลผลิตของครอบครัวข้าในหนึ่งปียังไม่ถึงสองตำลึงด้วยซ้ำ ค่าจ้างหนึ่งปีของเด็กสาวโง่เขลาผู้หนึ่งจะถึงสิบตำลึงได้อย่างไร ข้ารู้ว่าคุณหนูเหอมีเมตตาอยากช่วยเหลือ เพียงท่านไถ่ตัวลูกสาวข้าออกจากวัด เท่านี้ก็ถือเป็ผู้มีพระคุณของครอบครัวเราแล้ว หากข้ารับเงินท่าน เกรงว่ากลับบ้านไปจะต้องถูกพ่อของนางก่นด่าเป็แน่”
เหอตังกุยหยิบผ้าสีน้ำเงินออกมาห่อเงินพร้อมผูกปม นางยัดห่อผ้าใส่มือหญิงวัยกลางคนอีกครั้ง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้าอาจยังไม่รู้ สิ่งของในเมืองหยางโจวราคาสูงยิ่งนัก เมื่อสิ่งของมีราคาแพง ค่าจ้างบ่าวรับใช้ก็แพงเช่นกัน สิบตำลึงต่อหนึ่งปีนั้นเป็ค่าจ้างพื้นฐานของสาวใช้ขั้นสามตระกูลข้า ข้าไม่ได้ให้ท่านมากมายอะไร ต่อไปหากเจินจิ้งทำงานดีก็สามารถเพิ่มค่าจ้างอีกได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังพานางกลับเมืองหยางโจวด้วย พวกท่านสองแม่ลูกจะได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง หากท่านไม่รับเงิน เจินจิ้งจะไปหยางโจวอย่างสบายใจได้อย่างไร? ถือเสียว่าทำเพื่อความสบายใจของนาง ท่านอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย หากพวกเราผลักเงินไปมาบนถนนเช่นนี้ มีหรือจะไม่ล่อตาล่อใจหัวขโมยจนก่อเกิดปัญหาภายหลัง ท่านป้ารับไปเถิดเ้าค่ะ”
สตรีวัยกลางคนผู้นั้นรับห่อผ้าสีน้ำเงินใส่เข้าไปในอกอย่างลังเล ก่อนมองเจินจิ้งพลางเอ่ยด้วยความไม่สบายใจ “คุณหนูเหอ นิวเอ๋อร์ลูกสาวข้าถูกส่งไปชดใช้หนี้ที่วัดสุ่ยซังั้แ่อายุหกขวบครึ่ง นางควรได้เรียนรู้สิ่งที่สตรีพึงมี แต่ข้าในฐานะแม่กลับไม่มีโอกาสสอนนาง ได้โปรดอย่ารังเกียจความโง่เขลาของนางนะเ้าคะ ก่อนนางจะไปอยู่วัดก็ทำเตียงเปียกทุกคืน ไม่รู้ว่าตอนนี้ยัง...”
เจินจิ้งอับอายมาก นางเขย่งเท้าเอื้อมมือปิดปากมารดาทันที เหอตังกุยจึงเอ่ยปลอบใจให้นางคลายกังวล ขอเพียงยกเจินจิ้งให้ตนอย่างเต็มใจ ตนจะดูแลเจินจิ้งอย่างดี ครั้นกล่าวจบ เหงื่อบนหน้าผากของนางก็ผุดซึมอย่างอดมิได้ เหตุใดพูดไปพูดมาจึงคล้ายจะขอเจินจิ้งแต่งงานเช่นนี้
เพราะแม่ของเจินจิ้งรีบมาขายเถาแตงโมในตลาดแต่เช้าตรู่ ตอนนี้จึงขายหมดแล้ว อีกทั้งนางยังมี “เงินก้อนใหญ่” อยู่กับตัว ด้วยเหตุนี้หลังจากอำลาเจินจิ้งและเหอตังกุยแล้ว นางจึงรีบกลับบ้านเพื่อบอกข่าวดีทันที
เหอตังกุยและเจินจิ้งเดินเล่นในตลาดต่อ เมื่อพบของที่มีประโยชน์ก็ซื้อมาจำนวนหนึ่ง เมื่อเดินผ่านร้านขายเครื่องเงิน เหอตังกุยก็ชะงักฝีเท้าทันที ทว่าไม่ได้เดินเข้าไปด้านใน เดิมทีนางคิดจะซื้อเข็มเงินเพื่อฝังเข็มจัดระเบียบลมปราณเจินชี่ แต่ต้องขอบคุณเ้าหน้าน้ำแข็งที่ทำให้ลมปราณเจินชี่ของนางกลับสู่จุดตันเถียนและก่อตัวเป็กำลังภายใน ในเวลานี้เข็มเงินจึงไม่จำเป็ อย่างไรเมื่อนางกลับถึงเมืองหยางโจวแล้วก็สามารถไปที่ร้าน “เชียนชุ่ยเหรินเจีย” เพื่อสั่งทำเข็มเงินอวี้ฮวาแสนประณีตได้
ทั้งสองเดินไปครึ่งตลาดแล้ว เจินจิ้งเหลือบมองเหอตังกุยก็พบว่าสีหน้าของนางยังปกติเช่นเดิม ไม่ได้เก็บเื่ตนชอบฉี่รดที่นอนมาใส่ใจ เมื่อเจินจิ้งคิดถึงเื่ที่อีกฝ่ายชดใช้หนี้สินแทนครอบครัวตน ทั้งยังมอบเงินสิบตำลึงให้แก่แม่ของตนก็อดถอนหายใจไม่ได้ ในใจซาบซึ้งยิ่งนัก แม้ฐานะของเหอตังกุยจะเป็ถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ แต่นางก็เคยยากจนข้นแค้น ได้กินแต่ผักคลุกข้าวเพื่อคลายหิว ยามนี้นางได้กำไรสองร้อยกว่าตำลึงมาอย่างยากลำบาก ทว่ากลับใช้ไปกับเจินจิ้งไม่น้อย
เหตุใดจึงดีกับตนถึงเพียงนี้? เจินจิ้งเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ “เสี่ยวอี้ ขอบคุณความห่วงใยที่เ้ามีต่อข้า ต่อไปข้าจะตั้งใจเรียนหวีผมให้ชำนาญ จะหวีผมให้เ้าเป็การตอบแทนทุกวัน...”
“ไม่ต้อง ๆ ” เหอตังกุยปฏิเสธทันที ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เจินจิ้ง สองตัวอักษรนี้คือชื่อของเ้า แม้ว่าชื่อนี้จะดีมาก แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่าเ้าหวนคืนทางโลกแล้ว ชื่อเรียกก่อนหน้านี้จึงไม่สามารถใช้ได้อีก เมื่อครู่ข้าได้ยินแม่ของเ้าเรียกว่านิวเอ๋อร์ เมื่อนึกถึงคนในตระกูลหลัวก็มีคนชื่อนิวเอ๋อร์ หลานนิวเอ๋อร์ ส่วนเ้าก็ยังชื่อนิวเอ๋อร์ ซ้ำกันมากเกินไป ข้าตั้งชื่อให้เ้าใหม่ดีกว่า ฉานอีดีหรือไม่?”
“ฉานอี ฉานอี ฉานอี” เจินจิ้งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็ชื่อที่ไพเราะนัก ฉานอีหมายถึงอะไรหรือ?”
“ฉานอีหมายถึงยาสมุนไพรชนิดหนึ่ง” เหอตังกุยอธิบาย “เ้าน่าจะเคยได้ยินมาก่อน ตระกูลหลัวคือร้านขายยาอันดับหนึ่งในต้าิ ร้านขายยาซานชิงถังของตระกูลหลัวเปิดค้าขายมานานถึงแปดสิบปี การแพทย์ของตระกูลหลัวมีมาั้แ่ราชวงศ์ซ่งหนาน บรรพบุรุษจึงถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ลูกหลานได้สืบทอดการค้าขายและให้รุ่นหลังสืบทอดทักษะทางการแพทย์ นับแต่นั้นมาจึงตั้งชื่อคนรุ่นหลังในตระกูลหลัวเป็ชื่อยาสมุนไพร กระทั่งตอนนี้ คนในตระกูลหลัวยังคงปฏิบัติตามธรรมเนียมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นในการตั้งชื่อลูกหลานและบ่าวรับใช้หรือผู้ติดตามเป็ชื่อสมุนไพร”
เจินจิ้งกล่าวด้วยความประหลาดใจ “หมายความว่าทั้งตระกูลของเ้าใช้ชื่อสมุนไพรมาตั้งใช่หรือไม่?”
เหอตังกุยพยักหน้า “ทั้งหกสาขาของจวนหลัวตะวันออกและจวนหลัวตะวันตก ส่วนใหญ่จะปฏิบัติตามธรรมเนียมนี้ ทว่าตระกูลหลัวกว่าสิบสาขาในเมืองหลวงไม่ได้เคร่งครัดตามธรรมเนียมมากนัก รุ่นผู้าุโของข้าล้วนใช้ชื่อ ตู้จ้ง ตู้ซง ตู้เหิง เป็ต้น รุ่นมารดาของข้าจะตั้งชื่อด้วยคำว่าชวน เช่น ชวนไป๋ ชวนซู่ ชวนพั่ว ชวนสยง ชวนเจียว รุ่นลูกนำหน้าด้วยคำว่าไป๋ เช่น ไป๋เฉียน ไป๋จี๋ ไป๋คั่ว ไป๋จื่อ เป็ต้น แต่คุณหนูรองคิดว่าชื่อเดิมของตนไม่ไพเราะ เอ้อร์ไท่ไท่จึงขอร้องนายท่านรองให้เปลี่ยนชื่อ จึงได้ชื่อว่าไป๋ฉยง”
เจินจิ้งนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถามทันที “ชื่อ “ตังกุย” ของเ้าคงเป็ชื่อยาเหมือนกันสินะ”
เหอตังกุยตะลึงงันครู่หนึ่ง ถึงแม้ตังกุยจะเป็ชื่อยาทว่าตอนที่มารดาตั้งนั้น ความหมายกลับเป็ความหมายอื่น...
เจินจิ้งถามต่อ “เช่นนั้นฉานอีคือยารักษาโรคใดหรือ?”
เหอตังกุยกลอกตาก่อนจะตอบ “ฉานอีทำให้ปอดและไตสะอาดโล่งสบาย ทำให้หัวใจอบอุ่น ยิ่งไปกว่านั้นยังรักษาเด็กฉี่รดที่นอนได้เป็อย่างดี”
เจินจิ้งร้องเสียงหลงและขอเปลี่ยนชื่อกับเหอตังกุยทันที ทั้งสองเดินหยอกล้อบนถนน ดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมา
ขณะเดินผ่านร้านอาหารแห้ง เหอตังกุยก็ให้เจินจิ้งรอด้านนอก หลังจากที่นางเดินเข้าไปครู่หนึ่งก็ถือถุงกระดาษออกมา เจินจิ้งถามอย่างสนอกสนใจ “เ้าซื้ออะไรหรือ?”
เหอตังกุยคลี่ยิ้มบางพลางตอบ “กลับไปแล้วจะรู้เอง ดูสิ ทางนั้นมีร้านขายชุดสำเร็จรูปด้วย พวกเราไปหาชุดบุรุษเปลี่ยนสักสองชุดเถอะ อีกประเดี๋ยวค่อยไปกินหมูสับนึ่งน้ำแดงที่ร้านฉวินเสียนโหลว หากเ้าสวมชุดแม่ชีจะสะดุดตาเกินไป อาจมีคนครหาได้”
ทั้งสองเข้าไปเปลี่ยนชุดบุรุษแล้วเดินออกมา เมื่อออกจากประตูร้านก็เห็นหน้ากากงิ้วแขวนเรียงราย หน้ากากเ่าั้งดงามมาก พวกนางจึงเข้าไปชมใกล้ ๆ พลางพิจารณาอยู่นาน
เจินจิ้งเห็นเหอตังกุยเลือกซื้อหน้ากากสี่ห้าชิ้นจึงเอ่ยห้าม “แม้จะงดงามทว่าไร้ประโยชน์ เป็ภาระระหว่างทางเปล่า ๆ เ้าไม่ต้องซื้อแล้ว รถม้าที่พวกเราจ้างนั้นใส่ของอะไรไม่ได้แล้ว”
เหอตังกุยหยิบหน้ากากหนึ่งในนั้นขึ้นมา ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทางตลกขบขัน “ข้าซื้อให้คนคนหนึ่งต่างหาก มีบางคนหน้าตายตลอดเวลา ใส่หน้ากากแบบนี้ทุกวันยังจะดีกว่า เ้าคิดถึงใต้เท้าเกาเหมือนกันหรือไม่?” สิ้นประโยค เจินจิ้งก็พบเงาร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้าเคร่งขรึมปรากฏหน้าประตูกะทันหัน นางใกลัวจนหัวหดพลางถอยหลบด้านหลังเหอตังกุย
สตรีผู้นี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นเสียจริง... เกาเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้ในใจ
ครั้งแรกที่พบกันในเส้นทางบนูเา นางชี้หญ้าริมถนน... พร้อมอธิบายด้วยแววตาสดใสเฉลียวฉลาด ส่วนใดทำเป็ยาได้ รักษาโรคอะไรบ้าง ทำให้พวกเขาทั้งเก้าคนที่อยู่ด้านหลังตั้งใจฟังและมองตาม
ขณะเข้าไปทักทาย แววตาสดใสก็หรี่ลง แม้นางจะได้ยินต้วนเสี่ยวโหลวบอกว่าพวกเขาเป็ขุนนาง ทว่าสายตานั้นกลับไม่ช้อนขึ้น อีกทั้งร่างกายยังไม่มีอาการสั่นเทา ตอนนั้นเขาสงสัยว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อได้เห็นนางอีกครั้ง ก็เป็เพราะเขาใช้มีดฟันโต๊ะขาดครึ่งจนแม่ชีไท่ซั่นต้องเข้ามาขอโทษ ต้วนเสี่ยวโหลวอยากเห็นคุณหนูเหอผู้ฟื้นจากความตาย พวกเขาจึงรู้ว่าแม่ชีน้อยที่ชำนาญยาสมุนไพรคือคุณหนูเหอนั่นเอง ครั้งนี้นางยังคงหรี่ตาตอบคำถามอย่างนอบน้อมและห่างเหินเช่นเดิม มีขนตางอนยาวรูปพัดคอยปกปิดความหม่นหมองในก้นบึ้งของดวงตา
พวกเขาจับแม่ชีไท่เฉินที่ผลิตและขายยาต้องห้ามได้ จึงต้องไปตามหาหลักฐานในห้องยาแต่กลับไม่พบสิ่งใด ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเขาเปิดประตูก็พบแววตาเ็าคู่นั้น ท่ามกลางคืนเหน็บหนาว แววตานิ่งสงบมองมาที่เขาคล้ายมีความลับนับไม่ถ้วนซ่อนไว้ในความเงียบสงัด
ตอนที่นางเอ่ยปากเื่กำลังภายในที่ปกปิดไว้ให้เขาฟัง ตอนที่นางบอกแหล่งซ่อนยาของไท่เฉินอย่างไม่สะทกสะท้าน ตอนที่นางใช้เข็มสองเล่มฝังในร่างของเขาและลู่เจียงเป่ยเพื่อระงับยาปลุกกำหนัด ตอนที่นางตื่นยามเช้าตรู่และออกกำลังกายท่าอู่ฉินชี่อย่างสบาย ๆ ตอนที่นางลุกขึ้นอย่างอ่อนเพลียเพื่อขอให้เขาออกจากห้อง และตอนที่นางเล่าเื่โกหกให้เฒ่าแก่จิ้งร้านขายโลงศพฟัง แววตาของนางมักเปล่งประกายระยิบระยับเสมอ... จนเขามิอาจจับจ้องแววตานั้นได้
เขาค่อย ๆ หลงใหลในแววตาคู่นั้นมากขึ้นทุกที...