หลัวไป๋เฉียนก้าวเข้าไปพลางยกมือคำนับเหล่าไท่ไท่ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้หลานมัวแต่ช่วยท่านพ่อตรวจสอบบัญชี จึงไม่ได้มาเยี่ยมท่านยาย ช่างน่าตียิ่งนัก ไม่ทราบว่าเรียกหลานมามีเื่เร่งด่วนหรือมีสิ่งใดอยากอบรมสั่งสอนหรือขอรับ?”
เหล่าไท่ไท่หัวเราะ ก่อนจะสั่งเกาเฉ่าให้นำตั่งเตี้ยมาให้เขานั่งพลางเอ่ย “ป้าสะใภ้รองของเ้าส่งคนไปเรียก บอกว่ามารดาเ้ามิอาจถูกลมแรงจึงไม่สามารถออกจากเรือน ภรรยาเ้าก็ปลีกตัวออกมาไม่ได้เช่นกัน เมื่อครู่นางบังเอิญพบเ้า รู้ว่าวันนี้เ้าว่าง จึงให้เ้าเป็ตัวแทนของครอบครัว ข้ามีเื่จะประกาศ แม้จะยังตัดสินใจไม่ได้ก็ตาม ข้าไม่ได้พบหน้าเ้าหลายวันแล้ว มานี่ซิ ข้าอยากเห็นหน้าหลานเสียจริง...ไอหยา หลานเฉียน มาให้ข้าดูเร็วเข้า เหตุใดคอของเ้าจึงมีแผ่นปิดแผลเช่นนี้ เกิดเื่อันใดขึ้น”
หลัวไป๋เฉียนอธิบายอย่างละเอียด “เมื่อวานหลานอ่านหนังสือจนดึก จึงนอนพักในลานเล็ก ๆ นอกจวน คิดไม่ถึงว่าเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วจะยังมียุง หลานไม่ชินกลิ่นยากันแมลงจึงหลับไปทั้งที่ยังไม่ได้จุดมัน ตื่นเช้ามาก็โดนยุงกัดเป็รอยบวมใหญ่เช่นนี้ ท่านยายไม่ต้องกังวลขอรับ หลานทายาสลายพิษไป๋อวี้ชิงแล้ว วันสองวันก็คงหาย” ขณะพูดก็ปรายตามองซุนซื่อสองสามครั้ง รอยยิ้มอ่อนโยนทอประกายบนใบหน้าของนางเสมอ ไม่มีความประหลาดใจแฝงอยู่แม้แต่น้อย เขาจึงเบาใจ
เหล่าไท่ไท่เอ่ยถามเื่การกินอยู่ของเขาสองสามประโยค ก่อนจะหันมองซุนซื่อพลางเอ่ยเนิบนาบ “เสี่ยวเหมย พูดความ้าของเ้าต่อเถิด ตัวแทนทั้งสามครอบครัวต่างมากันหมดแล้ว หลานเฉียนคือตัวแทนครอบครัวแรก เหมยเฉี่ยวเป็ตัวแทนครอบครัวสาม เ้ามีเื่อันใดอยากพูดก็รีบพูด เมื่อครู่ก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ดูลึกลับยิ่งนัก จะไม่ให้ข้าร้อนใจได้อย่างไร”
ซุนซื่อฉีกยิ้มพลางเดินไปกลางห้องโถง ก่อนจะคุกเข่าเขกหัวลงต่อหน้าเหล่าไท่ไท่ไม่ยอมลุก
“เสี่ยวเหมย เหตุใดจึงทำเช่นนี้?” เหล่าไท่ไท่เห็นเช่นนั้นก็ไม่สบายใจ พลางเอ่ยเรียกเติงเฉ่า “เร็วเข้า รีบพยุงเอ้อร์ไท่ไท่ขึ้นมา”
ซุนซื่อส่ายศีรษะพลางผลักเติงเฉ่า นางเอ่ยเด็ดขาด “เหล่าไท่จู เพื่อความปลอดภัยของคนในจวนตระกูลหลัว ข้ามีบางเื่ต้องพูด”
“เื่ร้ายแรงอันใดหรือ? เ้ารีบลุกขึ้นพูดเถิด” นิ้วของเหล่าไท่ไท่ลูบไล้หยกหรูอี้ด้วยความกังวล “คนแก่เช่นข้าไร้ซึ่งความหวาดกลัว ไม่ว่าเื่ใดก็พูดมาเถิด มีสิ่งใดที่เ้าไม่ได้รับความเป็ธรรมก็พูดมา ข้าจะตัดสินใจเอง”
ซุนซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาที่ไหลซึม นางลุกขึ้นด้วยการพยุงของเติงเฉ่า สงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “เหล่าจูจง เหอตังกุยลูกสาวของชวนสยงเป็ปีศาจ นางจะกลับมาที่นี่ไม่ได้เด็ดขาดเ้าค่ะ”
เหล่าไท่ไท่หน้าเปลี่ยนสีทันที เล็บของนางขูดตามลวดลายหยกหรูอี้สีเงิน ก่อนจะเอ่ยตำหนิเสียงต่ำ “พูดเหลวไหลอันใด เ้าเป็ป้ารองของเสี่ยวอี้ เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?”
ซุนซื่อส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้พูดจาเหลวไหลนะเ้าคะ ข้าได้ยินมา สะใภ้ใหญ่ก็เคยเอ่ยเตือนเื่นี้แต่ท่านไม่สนใจ เมื่อวานูเาจำลองในเรือนทางทิศเหนือพังทลาย หินร่วงลงมาทับนกกระสาตายหนึ่งตัว ข้าได้ยินข่าวก็เร่งรุดไปตรวจสอบทันที ที่นั่นมีสภาพวุ่นวายมาก นกกระสาตายอย่างน่าเวทนา ทั้งยังถูกอีแร้งจิกกิน เหล่าไท่จง นกกระสาเป็สัตว์มงคล สวนในจวนของพวกเรามีนกกระสาทั้งหมดแปดตัว ตอนนี้ตายไปหนึ่งตัว เป็สัญญาณว่า...เหอตังกุยคือปีศาจ พวกเราจะให้นางเข้าประตูจวนไม่ได้เด็ดขาด”
เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้วมุ่น นางจัดระเบียบกระโปรงแล้วนั่งตัวตรง ก่อนจะเอ่ย “เสี่ยวเหมย ข้ารู้ว่าเมื่อก่อนเ้ากับแม่ของเสี่ยวอี้เคยมีปัญหาขัดแย้ง ทะเลาะกันก็หลายครั้ง แต่เสี่ยวอี้อายุเพียงสิบขวบ นางยังเด็กและไม่มีญาติผู้ใหญ่ดูแล ช่างน่าเวทนานัก ตอนนี้ชวนสยงก็ปฏิบัติธรรมอยู่ในวัด ไม่ยุ่งเกี่ยวโลกภายนอก อย่างไรเสีย นางก็มีสายเืตระกูลหลัว เหตุใดเ้าจึงอยากขับไล่เสี่ยวอี้ออกจากจวนนัก? เด็กตัวเล็ก ๆ เช่นนางจะเปลืองพื้นที่จวนสักเท่าไร จะกินมากเพียงใดเชียว? เ้าอดทนสักหน่อยเถิด แบ่งความรักจากเสี่ยวเหลียงให้แก่นางบ้าง อย่าลืมล่ะ เ้าก็เป็แม่คนเช่นเดียวกัน”
“เหล่าจูจง ท่านตำหนิข้าเกินไปแล้ว” สีหน้าของซุนซื่อเต็มไปด้วยความน้อยใจ น้ำตาไหลอาบแก้ม “ข้าได้รับความไว้วางใจจากท่านให้ดูแลจวนแห่งนี้มาสิบกว่าปี จะมีความแค้นอันใดกับนางได้เล่า เมื่อก่อนข้ากับชวนสยงมารดาของนางก็เรียนหนังสือในสำนักเดียวกัน ทั้งยังออกเรือนปีเดียวกัน เราสองคนเป็สหายกันมาหลายปี ไหนเลยจะกลายเป็ศัตรูได้เพียงข้ามคืน? ข้าไตร่ตรองเื่ราวทั้งหมดเพื่อคนในจวนตระกูลหลัวทั้งสิ้น ลูกสาวของชวนสยงเป็ตัวกาลกิณี”
“ป้าสะใภ้รอง น้องสามเป็ตัวกาลกิณีหรือ? หมายความว่าอย่างไร?” หลัวไป๋เฉียนได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถาม เขาโล่งอกยิ่งนักที่ความลับตนไม่ถูกเปิดเผย พลางมองเหล่าไท่ไท่และซุนซื่อที่กำลังพูดคุยเื่น้องสามราวกับดูงิ้ว แต่เหตุใดซุนซื่อจึงบอกว่านางเป็ “ปีศาจ” และ “ตัวกาลกิณี” เล่า?
“เหล่าจูจง ข้ามิใช่คนไม่มีความอดทน ตามคำกล่าว “ครอบครัวฮ่องเต้มีญาติพี่น้องที่ยากจนสามครอบครัว” แม้ฐานะของเสี่ยวอี้จะต่ำต้อยกว่านี้ ตระกูลหลัวของพวกเราก็ไม่ทอดทิ้ง หลายปีที่ผ่านมามีญาติพี่น้องมาที่ประตูจวนอ้างชื่อเหล่าไท่เหยียไม่ขาดสาย ครั้งไหนบ้างที่ข้าให้พวกเขากลับมือเปล่า? ท่านบอกให้ข้าจัดคนไปรับเสี่ยวอี้ ตอนนั้นข้าเพิ่งกลับมาจากงานศพที่บ้านเกิด งานในบ้านก็สุมเป็กองพะเนิน ทว่าเหตุใดข้าจึงไม่สนใจ เมื่อถึงบ้านก็ส่งติงหรงไปรับเสี่ยวอี้ที่วัดสุ่ยซังเป็อันดับแรก แต่นางไม่ยอมกลับมา” ซุนซื่อร้องะโออกไปนอกประตู “ติงหรง เข้ามา”
ผ้าม่านประตูถูกเลิกขึ้น สตรีวัยกลางคนรูปร่างผอม อายุประมาณห้าสิบปี เดินมาทำความเคารพพลางเอ่ย “อรุณสวัสดิ์นายหญิงใหญ่ ทักทายนายหญิงรองและคุณชายใหญ่เ้าค่ะ”
เหล่าไท่ไท่พยักหน้า ก่อนจะเอ่ย “ติงหรง ตอนนี้ลูกชายเ้าได้เป็ขุนนางแล้ว อีกไม่นานเ้าจะได้รับบรรดาศักดิ์เป็นายหญิง ต่อไปก็ไม่ต้องทำความเคารพพวกข้าแล้ว”
ติงหรงเอ่ยอย่างเจียมตัว “ข้าน้อยกับสามีล้วนเป็บ่าวรับใช้ในจวนตระกูลหลัว เมื่อเห็นเ้านาย การทำความเคารพถือว่าเหมาะสมแล้ว ข้าน้อยไม่เคยลืมฐานะของตนเ้าค่ะ”
เหล่าไท่ไท่พยักหน้าพลางเอ่ยถาม “นายหญิงของเ้าส่งเ้าไปรับคุณหนูสามที่วัดสุ่ยซัง ได้ยินว่าคุณหนูไม่กลับมาใช่หรือไม่?”
ติงหรงเจียถอนหายใจ ก่อนจะกล่าว “นายหญิงรองสั่งให้ไปรับคุณหนูสามกลับมา ข้าน้อยและเกาต้าซานรีบเร่งเดินทางทั้งคืน ในใจพลางคิดว่า “เหล่าไท่ไท่กินไม่ได้นอนไม่หลับหลายวันเพราะการตายแต่เยาว์วัยของคุณหนูสาม เมื่อได้ยินว่าคุณหนูสามฟื้นจากความตาย เหล่าไท่ไท่ดีใจมาก” เมื่อถึงวัดสุ่ยซังก็ให้แม่ชีไปแจ้งข่าวแก่คุณหนูสาม บอกว่าครอบครัวของนางมารับกลับบ้าน ยืนรอถึงสองชั่วยามแต่กลับไม่เห็นวี่แวว ทั้งยังไม่มีคนมาแจ้งอันใด โชคดีที่มีแม่ชีไร้มารยาทออกมาบอกพวกเราว่าคุณหนูสาม้าอยู่ที่วัดจนถึงวันที่สิบเจ็ดค่อยกลับจวน ตอนนี้ยังขาดอีกหลายวันจึงไม่สามารถกลับได้”
เหมยเหนียงแห่งตระกูลสามหัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ย “จริงหรือ? โลกนี้มีเื่ประหลาดเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าได้ยินว่าที่ตั้งของวัดสุ่ยซังแห่งนั้นอยู่ในเขาลึก ทุรกันดารยิ่ง หากข้าอยู่ในที่เช่นนั้นคงปรารถนาอยากให้ครอบครัวรับตัวกลับไป สมองของคุณหนูสามคงไม่ได้กระทบกระเทือนกระมัง เหตุใดจึงไม่ยอมกลับมายังจวนที่สะดวกสบายแห่งนี้?”
ซุนซื่อกวาดตามองทุกคนในห้อง สายตาของนางตกอยู่ที่ใบหน้าของเหล่าไท่ไท่ ก่อนจะเอ่ยราบเรียบ “ทุกท่าน จนถึงวันนี้ ข้ามีเื่หนึ่งที่ไม่สามารถซ่อนไว้ได้อีกต่อไป”
“เื่อันใดกัน?” หลายคนเอ่ยถามพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ
ซุนซื่อถอนหายใจพลางเอ่ย “ปีที่แล้วข้าเชิญซินแสมาดูฮวงจุ้ยที่จวน ตอนนั้นเขาชี้ไปยังเรือนของเสี่ยวอี้แล้วบอกว่าคนที่อยู่ที่นั่นจะอายุยืนยาว เมื่อวานติงหรงก็รายงานข้าว่าเสี่ยวอี้อยู่แต่ในวัด ไม่กล้าออกมาเจอใคร ข้าได้ยินเช่นนั้นก็หวาดกลัวนัก จึงส่งคนไปเชิญหลี่เซียงซือที่ถนนซีต้าให้เขามาทำนายตระกูลของพวกเรา ก่อนทำนายนั้น ข้าไม่เคยพูดเื่เสี่ยวอี้ให้เขาฟังแม้แต่น้อย ไม่เคยบอกเวลาตกฟากของนางด้วย ทุกคนรู้หรือไม่ว่าคำทำนายของหลี่เซียงซือคืออะไร?”
เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้วมุ่น “เสี่ยวเหมย มีสิ่งใดก็พูดตรง ๆ เถิด อย่าอ้อมไปอ้อมมาเช่นนี้เลย”
“เขาบอกว่า จากทิศทางของแฉกเห็นได้ชัดว่าจวนของพวกเรามีปีศาจสตรี เป็สตรีที่ไม่เหมือนสตรีทั่วไปั้แ่กำเนิด นางเป็ภัยต่อผู้าุโทั้งหมดในบ้าน ออกเรือนแล้วก็จะเป็ภัยต่อตระกูลสามี ข้าถามเขาว่าสตรีผู้นั้นชื่ออะไร เขาตอบว่าสตรีที่ปรากฏในแฉกมิใช่คนตระกูลหลัวแต่เป็ลูกนอกสมรส เหล่าจูจง บ้านของเรามีคุณหนูห้าคน ยกเว้นลูกสาวของคุณชายใหญ่ที่เพิ่งคลอด บุตรหลานรุ่นกลาง คุณหนูอิงคือลูกสาวของสะใภ้ใหญ่ คุณหนูเหลียงและคุณหนูเสาคือบุตรีของข้า คุณหนูทั้งสี่ล้วนเป็คนตระกูลหลัวและเป็บุตรีที่เกิดจากชายาเอก เสี่ยวอี้เกิดก่อนที่บิดามารดาของนางจะหย่าร้าง แต่บิดาของนางแต่งงานใหม่อีกครั้งโดยถูกต้องตามประเพณี ให้กำเนิดบุตรชายบุตรสาวอย่างละหนึ่ง ทั้งคู่ล้วนเกิดจากชายาที่ถูกต้องตามกฎหมาย หากกล่าวถึงชวนสยง ในทางกฎหมายแม้แต่ตำแหน่งนางบำเรอยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ ลูกสาวของชวนซื่อคือลูกนอกสมรส อีกอย่างคุณหนูห้าคนในตระกูลหลัวก็มีเพียงนางที่ไม่ได้แซ่หลัว...”
หลี่ซื่อกล่าวจบ หรูอี้ในมือเหล่าไท่ไท่ก็ร่วงลงบนตั่ง เหมยเหนียงได้ยินดังนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าปิดริมฝีปากไว้ หลัวไป๋เฉียนฟังซุนซื่อพูดด้วยความสนใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม หลัวไป๋เฉียนคิดในใจ “เื่ที่ซุนซื่อกับท่านป้าเล็กมีปัญหากันนั้น ทุกคนในบ้านล้วนรู้ดี คำพูดเหล่านี้ฟังเผิน ๆ อาจดูดีแต่ความจริงกลับไม่ใช่ พูดเหมือนคิดเพื่อครอบครัวแต่แท้จริงแล้วเพียงอยากขับไล่ท่านป้าเล็กและน้องหญิงออกจากตระกูลหลัวเท่านั้น”
“คุณชายใหญ่ อธิบายอาการป่วยของคุณชายจิ้งลูกชายท่านให้ทุกคนฟัง ให้เหล่าจูจงตัดสินใจ” ซุนซื่อจับจ้องหลัวไป๋เฉียนตาไม่กะพริบ
“ข้าหรือ?” หลัวไป๋เฉียนชี้นิ้วที่ตัวเองด้วยความใ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงพัวพันเื่นี้ได้ เขาถามกลับอย่างตื่นตระหนก “อาการป่วยของคุณชายจูมีอะไร...ผิดปกติหรือ?”
ซุนซื่อมองเขาด้วยสายตาใ “คุณชายใหญ่ เหตุใดจึงขี้ลืมเช่นนี้? ตอนเช้ายังพูดอยู่ว่าอาการป่วยของคุณชายจูเกิดจาก “สาเหตุภายนอก” หากแก้ไขสาเหตุภายนอกได้ อาการป่วยนั้นไม่ต้องใช้ยารักษาก็สามารถหายได้ ท่านไม่ได้หมายความว่าเพราะเสี่ยวอี้ฟื้นจากความตาย จึงทำให้ “สาเหตุภายนอก” ที่เป็สิ่งชั่วร้ายเข้ามา จนคุณชายจูที่ยังอายุน้อยมีอาการป่วยประหลาดอย่างน่าใหรอกหรือ?”
เหงื่อไหลซึมบนใบหน้าของหลัวไป๋เฉียน เขาคิดในใจ “นั่นเป็ประโยคไร้สาระที่ข้าพูดเรื่อยเปื่อย แม้แต่เื่ที่น้องสามฟื้นจากความตาย ข้าก็เพิ่งได้ยินเมื่อวานนี้เอง”
เหล่าไท่ไท่เห็นว่าหลัวไป๋เฉียนไม่ตอบ จึงนึกว่าเขามิได้พูดคำว่า “สาเหตุภายนอก” อะไรนั่น แต่ก็ไม่อยากล่วงเกินซุนซื่อที่เป็คนจัดการเื่ในจวน เหล่าไท่ไท่จึงเคร่งเครียดจนเหงื่อตก ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พอแล้วเสี่ยวเหมย อย่าลากหลานเฉียนลงน้ำไปด้วยเลย พูดไปพูดมา เ้าก็ยังไม่สามารถปฏิบัติกับเสี่ยวอี้อย่างใจกว้างได้ ข้าขอถามเ้าหน่อย หากซินแสบอกว่าเสี่ยวเหลียงและเสี่ยวเสามีดวงหายนะต่อครอบครัว เ้าจะยอมไล่พวกนางออกจากจวนหรือไม่?”
ซุนซื่อตะลึงงันครู่ใหญ่ ก่อนจะร้องห่มร้องไห้ “เหล่าจูจง เสี่ยวเหลียงและเสี่ยวเสาล้วนเป็หลานสาวถูกต้องตามกฎหมาย เฉลียวฉลาดและกตัญญู เหตุใดท่านจึงพูดถึงพวกนางเช่นนี้? ความสัมพันธ์ของตระกูลหลัวและตระกูลเหอล้วนแตกหักและไม่ได้ไปมาหาสู่กันนานแล้ว สายเืตระกูลเหอไหลเวียนในตัวของเหอตังกุยครึ่งหนึ่ง แต่ข้าก็ไม่เคยหยิบเื่นี้มาพูดเยาะเย้ยนาง ข้าดูแลงานในจวนมาหลายปี ไม่เคยให้นางเสียเปรียบแม้แต่นิดเดียว ลูกของข้ากินอะไร ใช้อะไร ข้าก็จะส่งสิ่งนั้นไปให้นางที่หมู่บ้านเกษตรทุกเดือน ข้าเลี้ยงลูกสาวของเหอจิ้งเซียนแทนเขาโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ยิ่งไปกว่านั้น คนที่้าส่งนางไปหมู่บ้านเกษตรคือต้าเหล่าไท่ไท่ ต้าเหล่าไท่ไท่ให้ชวนสยงแต่งงานใหม่ ทว่ากลัวเสี่ยวอี้จะทำให้การเดินทางของชวนสยงล่าช้าจึงส่งนางไปอยู่ที่นั่น เหตุใดท้ายที่สุดกลับกลายเป็ข้าที่ทำร้ายนางเล่า? ข้าทำผิดเช่นนั้นหรือ?”
เหล่าไท่ไท่ได้ยินซุนซื่อยก “ต้าเหล่าไท่ไท่” มาพูด สีหน้าของนางจึงมืดทะมึน ก่อนจะเอ่ยเ็า “หลายวันก่อน ตอนที่ได้ยินเื่เสี่ยวอี้ฟื้นจากความตาย ข้าให้ซินแสตรวจดู “ดวงชะตา” ของเสี่ยวอี้แล้ว เขาบอกว่าดวงนางดีมาก มีจิติญญาสูงส่ง ไม่มีิญญาชั่วร้ายใดทั้งสิ้น ทั้งยังไม่มีดวงชะตาทำให้ครอบครัวเกิดหายนะ ฉีเสวียนอวี๋เป็คนดีมีความสามารถ เขาไม่มีทางพูดจาเหลวไหล ต่อไปอย่าได้พูดว่าเสี่ยวอี้มีดวงชะตาหายนะต่อครอบครัวอีก”
ซุนซื่อรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรม นางหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า “ข้าในฐานะผู้ดูแลจวน แม้แต่จะกลับไปงานศพน้องชายที่บ้านเกิดยังต้องขอลาหยุดกับเหล่าจูจง ทั้งยังลาได้เพียงสามวันเท่านั้น แต่ดูเสี่ยวอี้สิ เกี้ยวไปรับนางถึงหน้าประตูแต่กลับบอกว่าไม่กลับ ต่อไปคงไม่ต้องทำตามกฎจวนแล้วกระมัง หรือจะพูดอีกอย่างคือกฎพวกนั้นมีไว้ให้คนอื่น ยกเว้นนางคนเดียวใช่หรือไม่?”
เหล่าไท่ไท่ถอนหายใจพลางกล่าว “เสี่ยวเหมย ข้าคิดว่าเ้าเศร้าโศกเสียใจเื่น้องชาย เดิมทีจึงไม่อยากตำหนิ ทว่าเื่นี้เ้ายังขาดความรอบคอบ เมื่อวานเกาต้าซานรายงานเื่ทั้งหมดให้ข้าฟังั้แ่กลับมาจากวัด นางบอกเหตุผลที่เสี่ยวอี้ยังไม่้ากลับจวน ประการแรก คราวที่แล้วแม่ชีเจินจูไม่ได้กล่าวคำสั่งของเสี่ยวอี้ให้พวกเราฟัง เสี่ยวอี้เคยบอกว่าจะอยู่ที่วัดถึงวันที่สิบเจ็ดจึงจะกลับบ้าน ดังนั้นนางจึงไม่ได้ขึ้นเกี้ยวกลับจวนตระกูลหลัว เพราะได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ประการที่สอง เสี่ยวอี้เป็สตรีที่ยังมิได้ออกเรือน นางไม่ลืมกฎทองที่ปฏิบัติกันมายาวนาน... ว่าด้วย “กฎข้อบังคับของสตรี” ในเื่ “การนั่งเกี้ยว” หญิงชายมิควรชิดใกล้กัน เหตุนี้นางจึงส่งคนออกไปดูเกี้ยวที่มารับ นางรู้ว่าเกี้ยวคันนั้นมิใช่เกี้ยวตระกูลหลัวที่ใช้เป็ประจำ อีกทั้งข้างเกี้ยวยังมีบุรุษหยาบโลนสองสามคน เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา นางจึงไม่กล้าออกจากวัด ทำได้เพียงไหว้วานผู้อื่นมาบอกพวกนาง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ติงหรงต้องรอนาน”