“เหมียว...เหมียว” ทันใดนั้นแมวลายด่างดำขาวตัวใหญ่ก็ะโออกมาจากูเาจำลอง ซุนซื่อที่ไม่ทันระวังใมาก ถอยกรูดไปด้านหลังที่เต็มไปด้วยหินกรวด ลื่นไถลจนแทบล้มหัวคะมำ
หลัวไป๋เฉียนพุ่งไปพยุงซุนซื่ออย่างรวดเร็วทันเวลาก่อนนางจะล้มลงกระแทกพื้น
ซุนซื่อใหน้าซีด มือกุมอกด้วยความหวาดกลัว ทำให้ใบหน้าของนางงดงามและอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม หลัวไป๋เฉียนปล่อยมือพลางเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง “ป้าสะใภ้รองไม่าเ็ตรงไหนใช่หรือไม่ขอรับ? แมวตัวเมื่อครู่ได้ข่วนท่านาเ็หรือไม่?” ซุนซื่อยกยิ้มบาง ก่อนจะส่ายศีรษะเบา ๆ ท่าทางดูใไม่น้อย
ยามนี้หลัวไป๋เฉียนอยู่ในระยะประชิดตัวนาง จึงสังเกตเห็นว่าแม้ซุนซื่อจะปาดแก้มสีชาดเข้ม ทว่าไม่สามารถปกปิดรอยคล้ำใต้ดวงตาได้ ใบหน้างดงามมิอาจซ่อนความเหนื่อยล้า เมื่อมองภายใต้ชุดกระโปรงปักลวดลายดอกไม้สีเงินจะเห็นปกเสื้อไหมสีขาวอีกชั้นหนึ่งอย่างชัดเจน หลัวไป๋เฉียนคิดว่าซุนซื่อยังคงเสียใจกับการตายของน้องชาย แต่อย่างไรนางก็แต่งเข้าตระกูลหลัวแล้ว ต่อให้ที่บ้านของซุนซื่อจะมีงานศพหรือต่อให้น้องชายแท้ ๆ ของนางตาย นางก็ไม่สามารถไว้ทุกข์ในจวนตระกูลหลัวได้ จึงต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่น้องชายภายใต้ชุดกระโปรงลายดอกไม้นี้
หลัวไป๋เฉียนเอ่ยปลอบใจอย่างอดไม่ได้ “ป้าสะใภ้รอง การตายของคุณชายแปดในจวนตระกูลซุน มิใช่เพียงตระกูลซุนเท่านั้นที่เสียใจ ตระกูลหลัวของพวกเราก็เสียใจเช่นเดียวกัน เมื่อได้พบป้าสะใภ้รอง แม้อยากเอ่ยปลอบใจเพียงใด แต่ก็กลัวจะทำให้ท่านเสียใจกับเื่ที่เกิดขึ้น ป้าสะใภ้รองคอยดูแลรับผิดชอบเื่ในบ้านของพวกเรา ไม่ว่าจะด้านนอกด้านใน ท่านก็ไม่สามารถขาดงานได้แม้แต่วันเดียว ข้าหวังว่าท่านจะปล่อยวางและดูแลสุขภาพให้ดีกว่านี้”
ซุนซื่อส่ายศีรษะด้วยความเศร้าใจ พลางพูดตะกุกตะกัก “ข้าปลงไม่ตก น้องจิ้งเป็เด็กเฉลียวฉลาดและคล่องแคล่ว คิดไม่ถึงว่าจะจากไปเร็วเช่นนี้... คราวก่อนตอนข้ากลับบ้านเกิด เขายังอ้อนขอปิ่นทองบนศีรษะข้าอยู่เลย แต่ข้ากลับไม่ได้ให้เขา ได้ยินข่าวอีกทีก็ไม่นึกว่าจะเป็ข่าวการตายของเขา... น้องจิ้งเพิ่งจะอายุเก้าขวบ เป็ลูกชายคนเล็กที่ท่านพ่อรักและเอ็นดูมากที่สุด เขาจะมีอนาคตที่สดใส... ท่านพ่อมักจะบอกว่าเมื่อเขาเติบใหญ่จะมอบเรือสินค้าในแม่น้ำต้าอวิ๋นของตระกูลซุนให้แก่เขาทั้งหมด มารดาของข้าก็คิดว่าเขาเป็ดั่งชีวิตของนาง...”
หลัวไป๋เฉียนอดถอนหายใจมิได้ ไม่รู้ว่าควรปลอบใจนางอย่างไรจึงจะเหมาะสม
เมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็กล่าวเนิบนาบ “ขออภัยเ้าค่ะ พูดไปพูดมาก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เสียแล้ว เดิมทีคุณชายเฉียนดูรีบร้อน แต่ข้ากลับรั้งไว้เพื่อพูดคุยเื่เหล่านี้ ทำให้เ้าต้องเศร้าใจไปด้วย”
ใบหน้าหล่อเหลาของหลัวไป๋เฉียนเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขาเอ่ยว่า “ครอบครัวเดียวกันควรแบ่งปันความทุกข์ใจให้กันและกันฟัง ได้ฟังความในใจของป้าสะใภ้รอง หลานเป็เกียรติยิ่งนัก”
ซุนซื่อซาบซึ้งใจยิ่ง “แม้แต่ลุงรองของเ้าก็ยังไม่ยอมฟังคำบ่นของข้า มีคุณชายเฉียนเป็เพื่อนปรับทุกข์ ช่างหาได้ยากนัก” นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสร้งถามโดยทำเป็ไม่ได้ตั้งใจ “ได้ยินว่าคุณชายจูลูกชายของเ้าไม่สบายสองวันแล้ว ป้าสะใภ้เช่นข้ากลุ้มใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ท่านหมอตรวจพบสาเหตุอาการป่วยแล้วหรือยัง?”
หลายวันมานี้ หลัวไป๋เฉียนแทบจะไม่ได้อยู่ที่จวน เื่การป่วยของลูกชายก็ได้ยินเพียงครั้งเดียว เขาจะตอบคำถามนี้ได้อย่างไรกัน? ดังนั้นจึงเอ่ยคลุมเครือว่า “อาการป่วยของเด็กส่วนใหญ่มักสะสมจากภายนอกส่งผลไปยังภายใน เขาอาจจะไม่ได้ป่วยจริง ๆ แต่เป็เพราะสาเหตุอื่น หากรักษาสาเหตุภายนอกได้ อาการป่วยของเด็กก็ไม่จำเป็ต้องใช้ยา สามารถหายเองได้”
เมื่อได้ฟังประโยคสุดท้าย แววตาของซุนซื่อก็เป็ประกายทันที นางเอ่ยถามต่อ “หมายความว่าเ้าคิดว่าสาเหตุการป่วยของลูกชายเ้าเกิดจาก “สาเหตุภายนอก” เหมือนกันหรือ?”
หลัวไป๋เฉียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดซุนซื่อจึงเปลี่ยนท่าทีเป็ดีอกดีใจกะทันหันเช่นนี้ เขาจึงพยักหน้าก่อนจะเอ่ยลา “หลานจะไปพบท่านพ่อ บอกเื่ในสำนักศึกษาให้ท่านฟัง หลานลาขอรับ” ทว่าความจริงแล้วเขากลัวจะพูดอะไรผิดไปมากกว่านี้ แม้กระทั่งอาการป่วยของลูกตัวเองก็ยังไม่รู้
“เดี๋ยวก่อนเ้าค่ะ” ซุนซื่อเงยหน้าพิจารณาแววตาคู่นั้นของเขา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเฉียน เ้าบอกว่าเ้ากำลังจะไป...พบพ่อของเ้ากระนั้นหรือ?”
“ขอรับป้าสะใภ้รอง” เมื่อถูกสายตาของซุนซื่อจับจ้องจึงไม่สบายใจเท่าไหร่นัก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระด้าง “ข้า้ารายงานท่านพ่อว่าเมื่อวานข้าจุดตะเกียงอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ อีกทั้งจะขอคำชี้แนะจากท่านขอรับ”
ซุนซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าปิดริมฝีปากบาง ก่อนจะส่ายศีรษะพลางเอ่ย “ป้าว่าตอนนี้เ้าอย่าเพิ่งไปพบท่านพ่อจะดีกว่า และอย่าเพิ่งไปหาภรรยาของเ้าด้วย”
“ทำไมล่ะขอรับ?” หลัวไป๋เฉียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ซุนซื่อยกยิ้มบาง ก่อนจะหยิบถุงหอมผ้าไหมสีเขียวประดับด้วยหินหยกออกจากเอว นางหยิบกระจกกลมส่งให้หลัวไป๋เฉียน พลางเอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายจะยิ้มก็ไม่เชิง “คอของเ้ามีบางอย่างอยู่ คงไม่เหมาะหากให้พวกเขาเห็น”
หลัวไป๋เฉียนเบิกตาโพลงด้วยความใ ก่อนจะรีบร้อนรับกระจกมาส่อง ทันใดนั้นก็อุทานอย่างอึดอัดใจ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ด แต่กลับพบว่ารอยแดง้าของลำคอนั้นเป็สีชาดทาปาก ด้านล่างเป็รอยช้ำที่เช็ดเท่าไหร่ก็เช็ดไม่ออก คงเป็เพราะเมื่อคืนชีซานเหนียงใช้ปากเล็ก ๆ ของนางดูดจนเป็รอย... หลัวไป๋เฉียนเช็ดแล้วเช็ดอีกจนสีแดงบนลำคอขาวเนียนหลุดออก ทว่ารอยช้ำรูปริมฝีปากกลับยังเด่นชัดสะดุดตาอยู่ตรงนั้น เขาจึงทำได้เพียงดึงคอเสื้อสูงขึ้น หวังจะปกปิดได้
เขาคืนกระจกแก่ซุนซื่อ เมื่อเห็นสีหน้าของนางคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มเช่นเคย หลัวไป๋เฉียนจึงร้อนใจยิ่งนัก ก่อนจะก้าวไปเขย่าแขนเสื้อของนางพลางเอ่ยขอร้องเสียงเบา “ป้าสะใภ้รอง ได้โปรดเมตตาข้าด้วย อย่านำเื่นี้ไปบอกท่านพ่อของข้า มิเช่นนั้นข้าต้องโดนเขาตีตายเป็แน่ นะขอรับท่านป้า”
ซุนซื่อสะบัดแขนเสื้อแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณชายจิ้ง เ้าเป็ผู้ใหญ่อายุยี่สิบสองปีแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันอยู่ในขอบเขต วันนี้ยังดีที่เป็ข้าเห็น หากเปลี่ยนเป็คนอื่นเห็น คนเ่าั้คงไม่ช่วยปกปิดความลับให้เ้า ภรรยาของเ้าไม่ดีตรงไหน? ปีที่แล้วนางให้กำเนิดลูกแฝดแก่เ้า ปีนี้นางก็ให้กำเนิดลูกสาวน่ารักน่าชังดั่งก้อนแป้ง ทำให้คนอื่นอิจฉาตระกูลเรายิ่งนัก แต่ดูเ้าทำสิ ไม่อยู่ดูแลภรรยาให้มีชีวิตความเป็อยู่ที่ดี แต่กลับวิ่งไปขโมยกินถึงนอกบ้าน กินเสร็จก็ไม่รู้จักเช็ดทำความสะอาด”
หลัวไป๋เฉียนได้ฟังคำพูดของซุนซื่อ แม้จะเป็การกล่าวตำหนิ ทว่าน้ำเสียงกลับติดตลกอยู่บ้าง เขาดีใจพลางเอ่ยถามอีกครั้ง “ขอรับท่านป้า หมายความว่าท่านยอมปิดเื่นี้เป็ความลับใช่หรือไม่?”
“คนครอบครัวเดียวกัน แม้เงยหน้ามองไม่เห็นแต่ก้มหน้านั้นจะพบ หากข้าอยากให้พ่อของเ้าลงโทษ เมื่อครู่ข้าคงไม่เอ่ยตักเตือน”
ซุนซื่อกลอกตาราวจะโกรธก็ไม่ใช่ คล้ายจะเล่นก็ไม่เชิง “บุรุษเช่นพวกเ้าย่อมไม่มีวันรู้สึก... เอาเถอะ ข้าต้องรีบไปปรึกษาเหล่าจูจง คงอยู่คุยเื่หลักคุณธรรมเ่าั้กับเ้าไม่ได้ เ้าควรรีบกลับเรือนตอนที่ยังไม่มีใคร”
หลัวไป๋เฉียนกล่าวลา ก่อนจะเร่งรีบวิ่งไปในลานฉีลู่ แล้วเข้าไปในห้องว่างพลางคว้ากระจกมาส่องเป็เวลานาน
“เกือบไปแล้ว ยังดีที่เจอนางก่อน แม้ข้าจะบอกว่าไปเที่ยวหอนางโลมแต่ก็ไม่สามารถเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับชีซานเหนียงได้...” เขาถอนหายใจยาวเหยียด คิดถึงตอนที่สยงหวงคนขับรถม้ายืนคุยกับเขานานสองนาน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สังเกตเห็นรอยแดงนี้ ทั้งยังไม่ได้เอ่ยปากเตือนเขา ในใจจึงอดเดือดดาลไม่ได้
หลัวไป๋เฉียนหยิบผงขาวและผงหยกหอมวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะทาบนลำคอของตนอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถปกปิดให้เป็ธรรมชาติได้ กลับถูจนิัเปลี่ยนเป็สีแดง
“ช่างเถอะ ไม่ทำแล้ว” หลัวไป๋เฉียนล้มตัวนอนบนเตียง พลางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ตอนกลางวันไม่ต้องออกไปไหนก็พอแล้ว จะได้พักผ่อนให้เต็มที่ นอนทั้งวันคงไม่เป็ปัญหาอันใด” แม้แต่เสื้อคลุมตัวนอกของเขาก็ยังี้เีถอด เขาจึงถอดเพียงเข็มขัดฝังหยกออกจากเอว สะบัดเท้าเพื่อถอดรองเท้า ก่อนจะดึงผ้าห่มนวมมาห่มกายแล้วหลับไป ด้านหลังห้องเล็กในลานฉีลู่นี้ ปกติจะไม่มีใครเข้าใกล้ เวลาที่เขานอนจึงมีเพียงสยงหวงบ่าวรับใช้คนสนิทคนเดียวเท่านั้น เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงสบายใจขึ้น
“คุณชาย คุณชาย...คุณชายใหญ่” มีเสียงะโเรียกในความฝันของเขา “รีบตื่นเร็วเข้า เหล่าไท่ไท่ให้คนตามตัวท่านไปพบ บอกให้ท่านรีบไปเดี๋ยวนี้”
หลัวไป๋เฉียนใสะดุ้งตื่น พบว่าสยงหวงกำลังเรียกตนหน้าตาตื่น ในใจพลันกังวลจนสำลักน้ำลายและไออย่างต่อเนื่องจนหายใจติดขัด สยงหวงที่อยู่ในอาการใจึงช่วยตบหลังเขาให้หายใจสะดวก ทว่าเขากลับตบบ่าวรับใช้โง่เง่าด้วยความเดือดดาล พลางเอ่ยอย่างโมโห “ข้ากำลังฝันหวาน เ้าปลุกข้าด้วยเหตุใด เหล่าไท่ไท่ให้คนมาเรียก บอกว่าข้าไม่อยู่ในจวนไม่เป็หรือ สมองของเ้าถูกเหยียบไปแล้วหรืออย่างไร?”
“โอ๊ย ปู่ข้าเถอะ” สยงหวงรู้ว่าตอนที่คุณชายใหญ่ตื่นนอนจะหงุดหงิดมาก และจะยิ่งหงุดหงิดจนแทบเขมือบคนผู้นั้นหากถูกถามไร้สาระ ดังนั้นสยงหวงจึงพยายามพูดอย่างระมัดระวังที่สุด “เมื่อเช้าตรู่ ท่านพบกับเอ้อร์ไท่ไท่ใช่หรือไม่ขอรับ? ตอนนี้นางอยู่กับเหล่าไท่ไท่ ทั้งยังบอกเื่ในจวนของคุณชายให้เหล่าไท่ไท่ฟังด้วยขอรับ”
ทันนั้นใดหลัวไป๋เฉียนก็ได้สติ เขาลุกขึ้นนั่งพลางเอ่ยถาม “เหล่าไท่ไท่ส่งใครมา? เ้าได้ถามให้ชัดเจนหรือไม่ว่าเื่อะไร? สตรีผู้นั้นพูดอะไรกับเหล่าไท่ไท่บ้าง?” หรือซุนซื่อจะกลับคำแล้วบอกความลับของตนให้เหล่าไท่ไท่ฟัง? หรือความลับเื่ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับชีซานเหนียงจะถูกเปิดเผยแล้ว?
สยงหวงเอ่ยด้วยใบหน้าขมขื่น “เหล่าไท่ไท่ส่งสือหลิวมาขอรับ นางเป็สาวใช้อายุสิบสี่ปี ข้าน้อยถามไปสามข้อ ทว่าหากนางไม่พยักหน้าก็ส่ายหน้ายิ้ม นางบอกว่าเหล่าไท่ไท่ไม่ได้เรียกคุณชายใหญ่เพียงคนเดียว นางยังให้กานเฉ่าไปเรียกเหมยเหนียงที่เรือนสามด้วย นางบอกว่าเหล่าไท่ไท่มีเื่ใหญ่เกี่ยวกับจวนตระกูลหลัว จึงอยากให้คนในตระกูลปรึกษาหารือกันเพื่อหาข้อสรุปของปัญหาขอรับ”
หลัวไป๋เฉียนได้ยินดังนั้น เหงื่อบนหน้าผากก็ผุดซึมไหลลงตามใบหน้าหล่อเหลาและขาวเนียนของเขา ช่างเป็ภาพที่น่าหลงใหลตรึงใจคนยิ่งนัก สยงหวงที่ได้มองก็ตะลึงไปครู่ใหญ่พลางครุ่นคิดในใจ บุรุษที่มีใบหน้าเช่นนี้ เกรงว่าสตรีที่ได้พบจะต้องก้มหน้าซ่อนใบหน้าของตนไว้อย่างแน่นอน ไม่น่าแปลกใจที่ชายวัยกลางคนแห่งจวนตระกูลหลัวจะได้รับความรักจากชีเหล่าซานแห่งจวนตระกูลชี ซ้ำยังแอบทำเื่เลวร้ายเช่นนี้ หากถูกจับได้ โทษสถานเดียวคือความตาย
สยงหวงเอ่ยแนะนำ “คุณชาย โบราณว่าไว้ “หากเป็พรก็ไม่ใช่เื่เลวร้าย หากเป็โชคร้ายก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง” ไปดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย พวกเราทำอะไรอย่างรอบคอบระมัดระวังเสมอ ไม่มีร่องรอยทิ้งไว้ให้สืบเจอได้ อย่างมากที่สุดก็เพียงบอกว่าหลายวันมานี้ท่านอ่านหนังสือหนักเกินไป ทนคำชักชวนของสหายมิได้ จึงไปดื่มเหล้าที่นั่นสองสามครั้ง ท่านเป็ลูกหลานตระกูลหลัว เหล่าไท่ไท่ต้องรักและเอ็นดูท่าน ไม่มีทางให้ท่านได้รับโทษรุนแรงแน่นอน”
หลัวไป๋เฉียนได้ยินดังนั้นก็มีเืฝาดกลับมาบนใบหน้าบ้างแล้ว สยงหวงเอ่ยต่อ “ถอยหลังหมื่นก้าว แม้เื่ระหว่างท่านกับฮูหยินชีจะถูกเปิดเผย ตระกูลหลัวก็ต้องคิดหาวิธีปกปิดเื่อัปยศนี้ ไม่มีทางปล่อยให้แพร่งพรายสู่สาธารณชน ถึงเวลานั้นท่านก็ก้มหน้ายอมรับความผิดเสีย อย่างไรท่านก็ยังเป็บุตรหลานตระกูลหลัว บุตรชายในบ้านมีค่ายิ่งกว่าทองคำ ทุกอย่างจะเป็ปกติเช่นเดิม ฮูหยินชีผู้นั้นยินยอมสมัครใจ นางย่อมรู้ว่าหลังจากเื่แดงจะมีสภาพเช่นไร คงทำได้เพียงโทษโชคชะตาของตนที่โชคร้าย”
หลัวไป๋เฉียนถอนหายใจก่อนเอ่ย “ข้าไม่ได้โเี้ถึงขั้นทนมองนางตายต่อหน้าต่อตาได้...หวังว่าจะไม่ไปถึงขั้นนั้น”
ขณะนั้นสยงหวงก็หยิบเสื้อคลุมสีเขียวเงินสะอาดสะอ้านเปลี่ยนให้หลัวไป๋เฉียน ก่อนจะปรนนิบัติสระผมให้แก่เขา สยงหวงคิดบางเื่ขึ้นได้จึงเอ่ยกับหลัวไป๋เฉียนด้วยความลังเล “จริงสิ คุณชายใหญ่ ขอทานที่ถูกชนหน้าประตูใหญ่ในตอนเช้าตรู่ของวันนี้ฟื้นแล้ว แต่ดูเหมือนสมองจะกระทบกระเทือน เขาบอกว่าตนจำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้ ท่านคิดว่าควรจัดการกับขอทานสมองเสื่อมผู้นี้อย่างไรดีขอรับ?”
หลัวไป๋เฉียนะโอย่างเกรี้ยวกราด “นี่มันยามไหนแล้ว เ้ายังเอ่ยเื่ขอทานโง่ ๆ ให้ข้าฟังอีก คิดหาวิธีเองสิ...เ้าโง่ เ้าถุงเท้ากลับด้านเอ๊ย”
เมื่อทำธุระส่วนตัวได้ครู่ใหญ่ ในที่สุดทุกอย่างก็เสร็จสิ้น หลัวไป๋เฉียนเปลี่ยนเป็คุณชายตระกูลหลัวรูปงามเปี่ยมเสน่ห์ไม่มีใครเทียม มีสาวใช้สือหลิวเป็ผู้นำทาง เขาเดินไปที่ลานฝูโซ่วด้วยหัวใจกระสับกระส่าย ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าซุนซื่อผู้นั้นมีแผนการชั่วร้ายอันใด
ก่อนหน้านี้ นางเอ่ยเตือนเื่รอยดูดบนคอของตนด้วยความหวังดี ทั้งยังเอ่ยถามอาการป่วยของลูกชายตนด้วยความห่วงใย ราวกับ้าดึงตนเป็พวกอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่ปกติไม่เคยแสดงท่าทีสนิทสนมกับเขาเลย อีกทั้งต่งซื่อภรรยาของเขานั้นลึก ๆ แล้วเกลียดชังซุนซื่อที่มักจะใช้อำนาจกุญแจทั้งหมดของจวน ไม่ให้โอกาสนางได้มีหน้ามีตา อย่างไรเสีย ระหว่างหลัวไป๋เฉียนและซุนซื่อก็ไม่ได้ขัดแย้งผลประโยชน์กัน ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ให้ความเคารพนางมาก ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่นางจะทำร้ายเขา
หลัวไป๋เฉียนคิดได้เช่นนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังเรือนฝูโซ่วทันที เหล่าสาวใช้ออกมาต้อนรับพร้อมบอกว่าเหล่าไท่ไท่รออยู่ในห้องโถง หลัวไป๋เฉียนสูดลมหายใจลึก ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินเข้าไปด้านใน เมื่อมองรอบด้านก็พบว่านอกจากเหล่าไท่ไท่และซุนซื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว ยังมีป้าเหมยอนุของลุงสามนั่งอยู่ด้วย