“แต่เขาเป็เพียงขอทานสกปรกนะขอรับคุณชายใหญ่” คนขับรถม้าเอ่ยอย่างลังเล “หากแบกเข้าไปในจวนเกรงว่าจะไม่เหมาะกระมังขอรับ?”
“เ้าโง่ ทั้งหมดเป็ความผิดของเ้า” คุณชายใหญ่เอ่ยตำหนิ “แบกเข้าไปจะดูไม่เหมาะ แล้วเ้าจะทิ้งเขาไว้หน้าประตูเช่นนี้หรือ? หากมีคนตรวจสอบว่าใครเข้าออกเวลานี้บ้าง เ้าคิดว่าข้าจะหนีพ้นหรือไม่?”
“ขอรับ ๆ คุณชายใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว” คนขับรถม้าพยักหน้าพลางเอ่ย “ข้าน้อยจะรีบพาเขาเข้าจวนเดี๋ยวนี้ขอรับ”
คุณชายใหญ่ครุ่นคิดก่อนจะกำชับ “ฟังให้ดี พาเขาเข้าประตูข้าง นำตัวไปไว้ในห้องบ่าวรับใช้ หากยังมีชีวิตก็จัดยาให้กินสักสองเทียบ หากตายก็รอให้ฟ้ามืดแล้วค่อยเอาศพออกประตูข้างไปฝังให้เรียบร้อย”
คนขับรถม้าพยักหน้าต่อเนื่อง ในขณะจะออกไปทำตามคำสั่ง คุณชายใหญ่ก็ะโถาม “หากนายหญิงทั้งหลายเอ่ยถาม เ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าควรตอบเช่นไร?”
คนขับรถม้าตอบอย่างชาญฉลาด “เมื่อวานคุณชายใหญ่เรียนหนังสือจนดึก เกรงว่าหากกลับจวนจะรบกวนคุณชายจูและคนอื่นที่กำลังพักผ่อน จึงตัดสินใจพักในลานเล็กนอกจวนแทน ขณะกลับจวนในเช้าตรู่วันนี้ได้พบขอทานผู้หนึ่งถูกรถม้าชนาเ็ คุณชายใหญ่มีเมตตาจึงให้นำเขากลับมารักษาที่จวนขอรับ”
คุณชายใหญ่พยักหน้าพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “มีเ้าคนเดียวที่รู้ว่าข้าไปหอชิงหยา หากเื่นี้แพร่งพรายก็หมายความว่าเ้าพูด เมื่อถึงเวลานั้น เ้าจะเป็คนเดียวที่ต้องรับผิดชอบ” คนขับรถม้ายกมือปาดเหงื่อด้วยความใกลัว ขณะที่คุณชายใหญ่ยกชายเสื้อคลุมด้านหน้าพลางก้าวขึ้นบันได ก็ได้กล่าวอย่างเ็าอีกหนึ่งประโยค “วันนี้เ้าไปหาคนขับรถม้านอกจวนที่ขยันขันแข็งมาสักคน ข้าจะให้เขาขับรถม้าแทนเ้า ส่วนเ้าก็คอยดูต้นทางให้ข้า เ้ามันคนไร้ประโยชน์ แม้แต่รถม้าก็ขับไม่เป็ โชคดีที่ครั้งนี้ชนขอทาน หากครั้งหน้าชนขุนนาง ชีวิตเ้าคงหาไม่อย่างแน่นอน”
เขาเดินอีกสองสามก้าวก็เข้าประตูจวน เนื่องด้วยไม่ได้นอนและทำงานหนักตลอดคืน คุณชายหลัวไป๋เฉียนจึงเหนื่อยล้ายิ่งนัก เขาใช้ทางลัดเดินเลาะไปยังลานฉีลู่ คิดจะกลับห้องไปนอนพัก ขณะเดินอ้อมูเาจำลองก็เผชิญหน้ากับคนผู้หนึ่ง ตอนเดินเร่งฝีเท้าเร็วไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะหลัวไป๋เฉียนชะงักฝีเท้าทันเวลา พวกเขาทั้งสองคงชนกันทันที
หลัวไป๋เฉียนเงยหน้ามองก็พบว่าเป็สตรีผู้หนึ่ง ผิวพรรณเนียนละเอียด ใบหน้างดงาม มุมปากโค้งคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ อายุราวสามสิบกว่า ชุดของนางปักลวดลายผีเสื้อด้วยด้ายสีเงิน เสื้อคลุมด้านนอกปักลายดอกไม้ทั้งชุด มวยผมทรงฟู่หรงกุยอวิ๋นประดับหยกสีขาวฝังอัญมณีที่งามประณีต
หลัวไป๋เฉียนถอยหลังครึ่งก้าว ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้ารองคงจะงานยุ่ง ถึงต้องรีบตื่นมาจัดการเื่ในจวนแต่เช้าตรู่เช่นนี้”
เอ้อร์ไท่ไท่ซุนซื่อปรายตามองหลัวไป๋เฉียน ใบหน้าประดับรอยยิ้มพลางเอ่ย “สตรีเช่นพวกข้า แม้จะงานยุ่งทั้งวัน แต่ก็เป็เพียงงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในจวนเท่านั้น ไม่เหมือนคุณชายเฉียนที่ต้องไปทำงานนอกจวนทั้งวันเพื่อเจรจางานใหญ่”
หลัวไป๋เฉียนคลี่ยิ้ม ก่อนจะกล่าว “ท่านป้ารองพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก เมื่อมีคนดูแลภายในก็ต้องมีคนดูแลภายนอก ไหนเลยจะกล้าแบ่งแยกว่าสิ่งใดสำคัญสิ่งใดไม่สำคัญ? บิดาข้ามักจะชื่นชมท่านป้ารองเื่ดูแลบัญชี พูดชมบุรุษเช่นพวกข้าถึงกับอายจนเหงื่อตกเชียวล่ะ”
ซุนซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมขึ้นมาปิดรอยยิ้มของตน ชั่วขณะนั้นนางช่างงดงามและทรงเสน่ห์ เมื่อนางหรี่ตาก็สังเกตเห็นว่าคอเสื้อของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย ขณะจะเอ่ยเตือน สายตาพลันจับจ้องไปยังปกเสื้อสีเขียวเข้มที่ปักด้วยด้ายทองด้านซ้ายมือ นั่นมัน...
หลัวไป๋เฉียนที่ง่วงงุนแทบไม่มีสตินั้นไม่ทันสังเกตสายตาที่ต่างจากปกติของซุนซื่อ เขากล่าวว่า “ตอนที่ข้าอยู่ในสำนักศึกษา ต้องเรียนการคำนวณเลข ทุกครั้งที่ทำไม่ได้ก็จะนึกถึงท่านป้ารองผู้เป็แบบอย่างของข้าเสมอ เมื่อวานข้าเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาจนถึงเที่ยงคืน เมื่อได้ยินนาฬิกาน้ำดังขึ้นก็เป็เวลายามสามแล้ว เกรงว่าหากกลับมาจะทำให้ทุกคนใตื่นได้ ข้าจึงหยุดพักที่ลานเล็ก ๆ แถวถนนหน้าจวนนี่เองขอรับ” พูดจบก็หาวหวอด ก่อนจะรีบเอ่ยขออภัยทันที “หลานเสียมารยาทแล้ว ท่านป้ารองเป็ผู้ที่เหนื่อยที่สุดและงานยุ่งที่สุดในจวน หลานมิกล้าทำให้ท่านต้องเสียเวลามากกว่านี้ วันหลังหลานจะไปขอคำชี้แนะการคำนวณเลขจากท่านป้ารองนะขอรับ” กล่าวจบก็ยกมือคำนับ เมื่อเห็นซุนซื่อพยักหน้า เขาจึงหมุนตัวเดินจากไป
ซุนซื่อมองแผ่นหลังของเขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะะโเรียกฉับพลัน “คุณชายเฉียน โปรดหยุดก่อน”
......
เหอตังกุยเงยหน้าเอ่ยถาม “แม่นาง อยากให้ข้าเรียกคนมาช่วยเ้าหรือไม่”
เด็กสาวชุดแดงที่ห้อยต่องแต่งบนกิ่งไม้มองลงมาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยความเดือดดาล “นังเด็กบ้า ยั่วยวนบุรุษั้แ่อายุยังน้อย หน้าไม่อายเสียจริง เ้าไม่รู้หรือว่าผู้ที่ยั่วยวนสามีคนอื่นล้วนเป็นังสุนัขจิ้งจอกทั้งสิ้น ตายไปก็ต้องตกนรกหมกไหม้ อย่าได้คิดลำพองใจ ข้าจะกลับมาแก้แค้นเ้าแน่”
แววตาของเหอตังกุยวูบไหว นางเอ่ยถามอีกรอบอย่างเ็า “นี่ ไม่อยากให้คนมาช่วยจริง ๆ หรือ?”
ขณะเด็กสาวชุดแดงคิดจะเอ่ยปากด่า แมลงสาบผู้จงรักภักดีก็ค่อย ๆ ปีนป่ายออกจากปกคอเสื้อของนางเพื่อส่งกำลังใจให้นางฮึดสู้ นั่นสามารถกระตุ้นจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้สำเร็จ วิชาตัวเบาของนางดีขึ้นไม่น้อย เด็กสาวผู้นั้นะโเหยียบกำแพงแล้วหนีหายไปราวนกพิราบ
สองมือของเหอตังกุยถูกมัดไพล่หลังด้วยเชือกป่านอย่างแ่า พยายามดิ้นถึงสองคราแต่ไม่สามารถหลุดจากพันธนาการของเชือกได้ นางจึงเลิกใส่ใจมันชั่วคราว พลางเดินออกจากตรอกเล็กมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารเช้าทันที นางเพียงอยากกินอาหารเช้าให้อิ่มท้องสักมื้อ เหตุใดจึงมีอุปสรรคมากมายเช่นนี้
เหอตังกุยได้รับความสนใจจากผู้คนบนท้องถนนตลอดทางเดิน ยกเว้นลุงตาบอดที่ขออาหารอยู่ริมถนนผู้เดียวเท่านั้น ทุกที่ที่นางเดินผ่าน คนเดินถนนล้วนหยุดชะงัก คนกินอาหารก็ไม่สามารถกลืนได้ โอ้ ลูกสาวบ้านไหนกัน? เหตุใดจึงงดงามถึงเพียงนี้ ข้าไม่เคยเห็นนางมาก่อน ไม่รู้ไปทำผิดอะไรมาจึงถูกมัดให้เดินประจานตัวเองทั่วตลาดเช่นนี้
เกาเจวี๋ยผู้มีใบหน้าเ็าและเจินจิ้งที่ฝืนทนกลืนเปาะเปี๊ยะลงคอ จู่ ๆ ก็เห็นว่าเหอตังกุยที่เดินเข้ามานั้นถูกมัดข้อมือไพล่หลัง
เหอตังกุยยังมีสีหน้านิ่งสงบ พลางกล่าวเนิบนาบ “ข้าไม่เป็ไร เ้ากินอาหารต่อเถอะ” เมื่อเห็นว่าแกงจืดของตนวางอยู่บนโต๊ะแล้วก็ะโไปหลังครัว “เถ้าแก่ ขอเกี๊ยวทอดอันใหญ่สี่แผ่น กรอบ ๆ หน่อยนะเ้าคะ”
เจินจิ้งทิ้งตะเกียบเพื่อแกะเชือกให้เหอตังกุยทันที ทว่าวิชาการมัดเชือกของสาวน้อยชุดแดงเก่งกาจยิ่งนัก ไม่สามารถแกะได้ในเวลาอันรวดเร็ว เหอตังกุยเหลือบมองเจินจิ้งที่แกะเชือกอย่างยากลำบาก “ไม่ต้องห่วงข้าหรอก เ้าดื่มน้ำซุปเถอะ กินข้าวเสร็จแล้วยังมีงานต้องทำ” กล่าวจบก็เดินไปทางเกาเจวี๋ยที่กำลังเคี้ยวปาท่องโก๋ นางหันหลังให้เขาพร้อมเอ่ยขอความช่วยเหลือ “นี่ ใต้เท้าเกา ช่วยข้าน้อยหน่อยเ้าค่ะ”
เกาเจวี๋ยปรายตามองข้อมือขาวราวหิมะที่ถูกพันธนาการด้วยเชือก เขาไม่รีบร้อนแก้เชือกให้นางทว่ากลับหยิบปาท่องโก๋ชิ้นสุดท้ายยัดเข้าปาก ก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ “นางล่ะ? เหตุใดจึงไม่พานางมาด้วย? ข้าไม่เชื่อว่าเ้าจะรั้งนางไว้ไม่ได้” น้ำเสียงแฝงการตำหนิ ราวกับนางเป็ลูกน้องและมีหน้าที่ทำตามคำสั่ง เช่น คอยดูแลน้องสะใภ้ของเขา
เหอตังกุยเอนศีรษะไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะกะพริบตาพลางเอ่ยอย่างไร้เดียงสา “ท้องของข้าหิวโหยอะไรเช่นนี้ ข้าขอดื่มน้ำซุปสักคำก่อนตอบใต้เท้าจะได้หรือไม่?”
ใบหน้าของเกาเจวี๋ยมืดทะมึน เขาหยิบผ้ามาเช็ดน้ำมันบนมือพลางเอื้อมแก้ปมเชือกให้เหอตังกุยอย่างช้า ๆ ... ทันใดนั้นเหตุการณ์น่าประหลาดใจก็ปรากฏ ดวงตากลมโตของเจินจิ้งแทบหลุดออกจากเบ้า โอ้ นั่นมันเวทมนตร์อันใดกัน? น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เชือกป่านที่ทั้งหนาและเหนียวเส้นนั้น เพียงนิ้วของเกาเจวี๋ยััเบา ๆ คิดไม่ถึงว่าจะเปราะบางร่วงลงพื้นราวธูปถูกมอดไหม้
เมื่อสองมือของเหอตังกุยได้รับอิสระก็แทบอดใจรอไม่ไหว นางซดน้ำซุปหนึ่งอึก ััได้ว่ารสชาติจืดเกินไป นางกวาดตามองบนโต๊ะก็พบเครื่องปรุงวางอยู่ข้างกำแพงจึงหยิบมาทั้งหมด ก่อนจะเปิดออกทีละอย่าง จากนั้นก็ตักเกลือ น้ำส้มสายชู พริกไทยป่นและต้นหอมสับลงในถ้วยซุปของตน
“เกี๊ยวทอดมาแล้วขอรับ” ลูกจ้างในร้านยกเกี๊ยวทอดกรอบสีเหลืองร้อน ๆ เข้ามา เหอตังกุยเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะหักเกี๊ยวเป็สี่ส่วนโดยไม่สนใจว่าจะร้อนลวกมือหรือไม่ พลางใส่มันในถ้วยซุป ใช้ตะเกียบกดลงไปแล้วคีบเข้าปาก เคี้ยวกินอย่างรวดเร็ว
เกี๊ยวใหญ่แผ่นเดียวย่อมไม่สามารถกินหมดในสองครั้งด้วยปากเล็ก ๆ เหอตังกุยเคี้ยวอยู่นาน ในที่สุดก็กลืนลงไปได้ จากนั้นก็ใช้ตะเกียบคีบแผ่นที่สอง ก่อนจะพบว่าเกาเจวี๋ยและเจินจิ้งมองตนตาไม่กะพริบ แม้แต่ตะเกียบของพวกเขาก็วางทิ้งไว้ด้านข้าง
“เป็อะไรไป พวกเ้ากินอิ่มแล้วหรือ? เป็ไปไม่ได้กระมัง กับข้าวน้อยเพียงนั้น” มือซ้ายของเหอตังกุยผลักเกี๊ยวสามแผ่นที่เหลือให้พวกเขา พลางเอ่ยอย่างใจกว้าง “มื้อนี้ข้าเลี้ยง พวกเ้ากินเยอะ ๆ ไม่ต้องเกรงใจข้า” กล่าวจบก็ก้มหน้าดื่มน้ำซุป เมื่อเห็นพวกเขาไม่มีท่าทีจะหยิบตะเกียบ นางจึงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ “แผนแต่ละวันเริ่มต้นตอนเช้า พวกเ้าควรกินตอนที่มันยังร้อน ๆ หากปล่อยให้เย็นก่อนค่อยกิน เช่นนั้นจะไม่ดีต่อท้องของพวกเ้า”
“เสี่ยวอี้ เหตุใดจึงไม่รายงานเื่สตรีผู้นั้นให้ใต้เท้าฟังก่อนค่อยกิน?” เจินจิ้งกระซิบเตือนข้างหูของเหอตังกุย
เหอตังกุยใช้นิ้วคีบเปาะเปี๊ยะก่อนจะกัดหนึ่งคำ ขณะเคี้ยวก็มองไปยังนิ้วเรียวของเกาเจวี๋ย ทันใดนั้นนางพลันอุทานเสียงเบา “โอ้ แย่แล้ว”
“มีเื่อันใดหรือ?” เจินจิ้งและเกาเจวี๋ยเอ่ยถามพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ
เหอตังกุยส่งสายตาขออภัยไปยังเกาเจวี๋ยพลางเอ่ย “เสื้อคลุมของท่านถูกลืมไว้ในห้องลองชุดที่ร้านตัดเสื้อ คงต้องลำบากท่านวิ่งไปเอาเสื้อคลุมคืนด้วยตัวเองแล้วกระมัง?”
เกาเจวี๋ยคว้าเปาะเปี๊ยะในมือเหอตังกุยมาไว้กับตัว ก่อนจะเอ่ยถามอย่างดุดัน “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเ้ากันแน่ นางไปไหน?”
“แย่งไปแล้วต้องกินให้หมดนะเ้าคะ มิเช่นนั้นเสียดายของแย่” เหอตังกุยมองเปาะเปี๊ยะรูปร่างบิดเบี้ยวที่ถูกเกาเจวี๋ยแย่งไปด้วยสายตาเสียดาย ก่อนจะเกาแก้มอย่างไม่ใส่ใจ “พูดถึงแม่นางผู้นั้น นางลอยได้ ช่างมีความสามารถเสียจริง เสียง “ฟิ้ว” ดังขึ้นเพียงครู่เดียว นางก็ลอยหายไปเสียแล้ว ข้าว่านางคงกลับไปอาบน้ำที่โรงเตี๊ยมต้าหงกระมัง”
“โรงเตี๊ยมต้าหง? นางบอกกับเ้าว่านางพักอยู่ที่นั่นหรือ? นางพูดอะไรอีก?” เกาเจวี๋ยจ้องแววตาคู่นั้นของนางเขม็ง
“นางไม่ได้พูด ข้าเพียงเดาเท่านั้น...ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินนางพูดถึงคุณชายต้วนสองครั้ง ราวกับนางมาหยางโจวครั้งนี้เพื่อตามหาเขา แม้นางจะหาเมืองตู้เอ๋อร์พบ แต่นางดูไม่ค่อยแน่ใจข้อมูลการเดินทางของพวกท่านเท่าไรนัก และนางก็ไม่รู้ว่าคุณชายต้วนออกจากที่นี่แล้ว อีกทั้งข้ายังเห็นนางชำนาญถนนหนทางไปร้านตัดเสื้อดี ไม่จำเป็ต้องนำทางด้วยซ้ำ ที่พาข้าไปก็เพียงเพื่อจะถามคำถามที่นางถามท่านแล้วไม่ได้คำตอบ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังทิ้งข้าไว้คนเดียว ที่สำคัญคือข้าเห็นลวดลายบนรองเท้าที่มีรอยขาดเล็กน้อยของนาง มันเป็แบบเดียวกับผ้าลายดอกไม้ชุดใหม่ในร้านตัดเสื้อ เป็ไปได้สูงว่านางจะซื้อมาจากร้านนั้น ดูเหมือนจะใส่มาระยะหนึ่ง แสดงว่านางมาที่เมืองตู้เอ๋อร์หลายวันแล้ว ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงเดาว่านางพักที่โรงเตี๊ยมต้าหง”
เมื่อเหอตังกุยกล่าวจบก็หยิบเปาะเปี๊ยะชิ้นใหม่มากิน ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านเป็แม่ทัพจิ่นอีเว่ยที่ทำหน้าที่สืบคดีโดยเฉพาะ ย่อมไม่มีทางถามคำถามสิ้นคิดว่า “เหตุใดจึงต้องเป็โรงเตี๊ยมต้าหง เหตุใดไม่เป็โรงเตี๊ยมอื่น” ใช่หรือไม่ พวกเราเข้ามาในเมืองนี้ เดินผ่านถนนหลายสาย ก็พบเห็นร้านค้าต้าหง ร้านข้าวสารต้าหง ร้านเหล้าต้าหงและโรงเตี๊ยมต้าหงที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุด ก่อนหน้านี้ลูกจ้างในร้านขายของชำก็บอกว่าโรงเตี๊ยมต้าหงคือโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ข้าจึงลองเดาดู ในเมื่อน้องสะใภ้ของใต้เท้าเกาเป็คนใจกว้าง ให้รางวัลข้ากับเถ้าแก่ร้านตัดเสื้อ ดังนั้นที่พักของนางก็ต้องดีที่สุดเช่นเดียวกัน นางคงจะเห็นตอนที่ท่านแบกโลงศพและมีเด็กสาวสองคนเดินตามหลังผ่านหน้าโรงเตี๊ยมกระมัง จึงแอบตามมาอย่างเงียบ ๆ เพื่อสืบหาข้อเท็จจริง”
เกาเจวี๋ยฟังนางอธิบายเงียบ ๆ คิ้วเข้มคู่นั้นขมวดแน่นเป็ปม เห็นได้ชัดว่าเ้าของคิ้วไม่พอใจอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่พูดสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
“นี่ เสี่ยวอี้ ใต้เท้าเกาจะโกรธหรือไม่? แล้วเขาโกรธใครล่ะ?” เมื่อเจินจิ้งเห็นว่าเกาเจวี๋ยเดินไปแล้ว จึงเอ่ยถามทันที
เหอตังกุยมุ่ยปากมองเปาะเปี๊ยะทอดที่เกาเจวี๋ยทิ้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะไหวไหล่พลางเอ่ย “ช่างเขาสิ พวกเรารีบกินเถอะ กินเสร็จจะได้ไปฝากเงินที่ร้านเงิน”