เหอตังกุยใส่เงินลงถุงใบเล็กของนางพลางคลี่ยิ้มบาง เอ่ยประโยคเดียวกับที่เถ้าแก่ร้านพูดเมื่อครู่ “ขอบคุณแม่นางมาก ขอให้แม่นางโชคดี เดินทางปลอดภัย” แม้แต่น้ำเสียงก็ยังเลียนแบบได้สมบูรณ์
สาวน้อยชุดแดงแค่นเสียงเ็า ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกจากร้านมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ด้านเหอตังกุยก็เดินไปทางทิศใต้ สาวน้อยชุดแดงเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็อดหันกลับมามองมิได้ นางเห็นว่าแผ่นหลังชุดสีเหลืองค่อย ๆ ไกลออกไปเรื่อย ๆ
“นี่ หยุด ๆ ๆ เ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ” สาวน้อยชุดแดงะโลั่น
ผู้คนที่เดินขวักไขว่เต็มถนนชะงักฝีเท้าแล้วมองมาที่นาง ทว่ามีเพียงแผ่นหลังของเด็กสาวในชุดสีเหลืองเท่านั้นที่เล็กลงทุกขณะ ดวงตากลมโตดุจผลซิ่งของสาวน้อยชุดแดงพลันเบิกกว้าง นางห้อตะบึงมาทางเหอตังกุยทันที ครั้นใกล้ถึงเป้าหมายก็คว้าหมับเข้าที่กระดูกสะบักซ้ายของอีกฝ่าย พร้อมดึงแขนขวาไพล่หลัง ผลักเข้าไปในตรอกเล็กริมถนน พลางกดเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่านางประมาณหนึ่งชิดกำแพงอย่างรุนแรง
“นี่ เหตุใดเ้าไม่ตามข้ามา?” สาวน้อยชุดแดงเอ่ยถามด้วยความเดือดดาลปนใ
เหอตังกุยที่ถูกผลักชิดกำแพงนั้น แก้มด้านหนึ่งก็แนบกำแพงเย็นะเื นางได้ยินดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจ “เหตุใดข้าต้องตามเ้าไปด้วย?”
สาวน้อยชุดแดงแค่นเสียงเ็า “หากเ้าไม่นำทางข้ากลับไป แล้วเ้าจะอธิบายกับพี่เขยของข้าอย่างไร? สาวน้อย ถึงตอนนั้นเ้าก็คงมีสภาพน่าเวทนาไม่น้อย พี่เขยของข้าจะเลิกกับเ้าแล้วสังหารเ้าเสีย”
ความจริงแล้ว เมื่อครู่เหอตังกุยได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงลมหายใจเดือดดาลของนางก่อนจะเดินเข้ามา แต่เหอตังกุยไม่อยากต่อสู้โดยไร้เหตุผล อย่างไรเสีย นางก็เป็เพียงเด็กสาวผู้หนึ่งที่ไม่ได้รับการอบรม ตนไม่อยากลงมือสั่งสอนเด็กสาวผู้นี้ ถึงอย่างไรพี่เขยของนางก็มาที่นี่เพื่อทำหน้าที่ของเขา ด้วยเหตุนี้ เหอตังกุยจึงแสร้งเป็แกะน้อยอ่อนแอถูกสุนัขเลี้ยงแกะที่แข็งแรงกว่ารังแก แม้แต่แรงจะดิ้นให้หลุดก็มีเพียงเล็กน้อย “รังแกข่มเหงข้าตามสบาย อยากรู้นักว่าเ้าจะมีอะไรใหม่ ๆ ให้ข้าดูหรือไม่” เหอตังกุยคิดในใจ
เมื่อสาวน้อยชุดแดงเห็นเหอตังกุยไม่พูดไม่จา นึกว่านางคงหวาดกลัว จึงอดลำพองใจไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยข่มขู่ “หากเ้านำเื่ระดูเปื้อนกางเกงของข้าไปบอกผู้อื่น โดยเฉพาะพี่เขย ข้าจะกรีดหน้าเ้าให้เสียโฉม” กล่าวจบก็หยิบกริชสั้นออกจากอกเสื้อ ลูบไล้ปลายกริชแหลมตามใบหน้าของเหอตังกุยด้วยเจตนาชั่วร้าย พลางกระซิบ “เพียงข้าขยับมือเบา ๆ ใบหน้างดงามของเ้าก็จะหายไป...”
เหอตังกุยไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงทอดมองท้องฟ้าเท่านั้น
สาวน้อยชุดแดงเอ่ยเ็า “นับแต่นี้ไป หากข้าถาม เ้าต้องตอบ หากเ้าโกหกข้าแม้แต่คำเดียว ข้าจะกรีดใบหน้าเ้าทันที จะกรีดจนใบหน้าของเ้าเหมือนงิ้วที่แสดงอยู่บนเวที ดูซิว่าเ้าจะยั่วยวนพี่เขยของข้าเยี่ยงไร”
เหอตังกุยงุนงงยิ่ง รูปลักษณ์ภายนอกของนางเป็เพียงเด็กสาววัยสิบขวบเท่านั้น อีกทั้งการแต่งตัวในวันนี้ก็ตั้งใจให้อัปลักษณ์ที่สุด ทรงผมจรดเสื้อผ้าก็แต่งอย่างลวก ๆ ลูกจ้างร้านขายของชำยังคิดว่านางกับเกาเจวี๋ยเป็พ่อลูกกัน เหตุใดสาวน้อยชุดแดงผู้นี้ถึงตั้งตนเป็ศัตรูกับนางั้แ่แรกพบ ทั้งยังพูดอย่างมั่นใจว่านางเป็อนุชายาของเกาเจวี๋ยอีก ์เอ๋ย์ เกาเจวี๋ยต้องเสียสติเพียงใดจึงจะกล้ารับเด็กสาววัยสิบขวบเป็อนุ
สาวน้อยชุดแดงเอ่ยถาม “พวกเ้าสองคนรู้จักกันเมื่อไหร่? ที่ไหน?”
เหอตังกุยเอ่ยตอบ “สิบวันก่อน ที่เส้นทางบนเขานอกเมือง”
สาวน้อยชุดแดงเอ่ยถามต่อ “เขาคิดจะจัดการกับเ้าอย่างไร เคยบอกหรือไม่ว่าจะพาเ้ากลับจวน? แล้วบอกหรือไม่ว่าจะให้ตำแหน่งอะไรแก่เ้า?”
เหอตังกุยเอ่ยตอบ “ไม่ได้บอก เพราะยังไม่ถึงขั้นนั้น”
สาวน้อยชุดแดงเอ่ยถาม “จริงหรือ? ข้าคิดว่าเ้ารู้นิสัยเขาดี แม้แต่นิสัยชอบใส่ชุดสีดำเ้าก็ยังรู้ เ้าคิดจะซื้อผ้าไปตัดชุดให้เขาใช่หรือไม่? เคยทำชุดให้เขามาก่อนกระนั้นหรือ? พวกเ้าแลกเปลี่ยนสิ่งของแทนความรักกันแล้วใช่หรือไม่?”
เหอตังกุยเอ่ยตอบ “ชุดนั้นข้าจะใส่เอง หากเ้าไม่เชื่อก็กลับไปถามเ้าของร้านตัดเสื้อได้ ขนาดที่ข้า้าเมื่อครู่คือขนาดตัวข้า เื่ที่พี่เขยเ้าชอบใส่ชุดสีดำนั้น แม้แต่คนสายตายาวมองก็ยังรู้ ถึงกระนั้นก็เถอะ ข้ายังไม่เคยเห็นเขาใส่ชุดสีอื่นเลย”
สาวน้อยชุดแดงจับประเด็นคำพูดของนางได้ว่องไวและเฉียบขาด ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง “หมายความว่าพวกเ้าอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ ใช่หรือไม่? เ้าเคยเห็นบุรุษผู้อื่นอยู่กับเขาบ้างหรือไม่ เช่น บุรุษแซ่ต้วน แซ่เลี่ยว...”
เหอตังกุยเอ่ยตอบ “ข้าตอบไม่ได้ พวกเขาเคยบอกว่าหากเปิดเผยที่พักของพวกเขา ข้าจะถูกจับเข้าคุก”
ดวงตากลมคล้ายผลซิ่งของสาวน้อยชุดแดงหรี่แคบ “หืม? เ้าไม่อยากให้ใบหน้ารูปไข่ของเ้างดงามอีกแล้วหรือ?”
เหอตังกุยเอ่ยตอบ “อ้อ...ข้าไม่้าพอดี เชิญแม่นางกรีดหน้าข้าฝากแผลเป็ที่ระลึกได้เลย แต่กริชของเ้าดูเหมือนจะไม่คม ยังมีกริชที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่?”
สาวน้อยชุดแดงหนังตากระตุก พลางพูดตะกุกตะกัก “เ้า เ้าพูดอะไรของเ้า...”
เหอตังกุยยังแสร้งเป็แกะน้อยอ่อนแอที่ถูกกดแนบกำแพง นางเอ่ยเนิบนาบ “กริชของเ้าถูกดึงออกจากอกเสื้อโดยตรง ฝักกริชก็ไม่มี หากกริชเล่มนี้คม เกรงว่าหน้าอกของเ้าคงเป็รูโหว่นานแล้ว”
“เ้า เ้า...” สองแก้มของสาวน้อยชุดแดงเริ่มแดงระเรื่อ พูดได้เพียงครึ่งประโยคก็หยุดไป ทันใดนั้นนางก็ล้วงเชือกป่านออกจากอก ก่อนจะมัดมือของเหอตังกุยเข้าด้วยกัน พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มลำพองใจ “ในเมื่อเ้ากล้าดูถูกข้า ข้าก็จะให้เ้าได้เห็นฝีมือจริง ๆ ของข้า”
เหอตังกุยคิดในใจ หากไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกันคงไม่มีนิสัยเหมือนกันเช่นนี้ เ้าหน้าน้ำแข็งนั่นพกเชือกติดตัวตลอดเวลา น้องสะใภ้ของเขาก็พกเชือกติดตัวตลอดเวลาเช่นเดียวกัน หรือนิสัยชอบใช้เชือกมัดคนจะสามารถสืบทอดได้?
“นี่ ข้าจะให้เ้าเห็นอะไรดี ๆ ” สาวน้อยในชุดสีแดงหยิบขวดลายครามออกจากถุงคาดเอว ก่อนจะเปิดแล้วยกไปใกล้จมูกเหอตังกุย มือนั้นสั่นเทาเล็กน้อย เหอตังกุยเหลือบมองสิ่งที่อยู่ในขวดครู่ใหญ่ด้วยความสงสัย ก่อนจะเงยหน้าถาม “แมลงสาบนับเป็ของดีหรือ? มีขยะที่ไหนก็มีพวกมันที่นั่น ไม่มีค่าอะไรสักนิด”
สาวน้อยชุดแดงเอ่ยอย่างไม่เชื่อ “เ้าไม่หวาดกลัวสามตัวนี้เลยหรือ? ฮึ ข้าว่าเ้าเสแสร้งเสียมากกว่า ข้าจะใส่มันในชุดของเ้าเดี๋ยวนี้”
เหอตังกุยเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “พวกมันไม่ชอบถูกขังไว้ในขวด อีกอย่าง...พวกมันจะบิน” พูดจบประโยคไม่นาน แมลงสาบตัวหนึ่งที่ไม่ยอมจำนนก็ปีนขึ้นจากปากขวด ทะยานไปในอากาศอย่างมีความสุข มันััเ้าของชุดสีแดงที่ล่อมันด้วยขนมหวานก่อนจับใส่ขวดผู้นั้น ไม่นานก็ร่วงลงคอเสื้อของสาวน้อยชุดแดงโดยบังเอิญ
สาวน้อยชุดแดงตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มตบหน้าอกและแขนของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง นางพยายามะโหนีด้วยความทุลักทุเล เพียงแต่วิชาตัวเบาของนางไม่ได้ยอดเยี่ยมนัก ความสวยงามของท่าทางแย่กว่าท่า “ลิงตัวใหญ่ะโกำแพง” ของเหอตังกุยในชาติที่แล้วเสียอีก อีกอย่างวิชาตัวเบาของนางดูจะอยู่ได้ไม่นานเท่าไรนัก ขณะที่นางลอยขึ้นบนกิ่งไม้ก็พลันสูญเสียการทรงตัวร่วงลงมาจากอากาศ ทว่านางคว้ากิ่งไม้ได้ทันจึงห้อยต่องแต่งอยู่บนนั้น
เหอตังกุยเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนพบนางครั้งแรก นางจึงตกต้นไม้เช่นนั้น ที่แท้ก็ไม่ใช่เพราะก้าวพลาด แต่เป็เพราะวิชาตัวเบาของนางช่างแย่นัก
......
“ใต้เท้าโปรดเมตตาข้าด้วย ให้ของกินข้าหน่อยขอรับ” ขอทานเขย่าถ้วยเนื้อหยาบที่มีรูโหว่ พลางเอ่ยขอร้อง “ข้าน้อยไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว ใต้เท้าได้โปรดให้ของกินข้าน้อยได้หรือไม่ขอรับ”
ชายชราขายมันเทศเหลือบมองขอทานผู้นั้น เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเลือกมันเทศอันเล็กที่สุดในเตาใส่ลงในถ้วยอย่างเงอะงะ ขอทานผู้นั้นเอ่ยขอบคุณทันที เขากัดมันเทศโดยไม่สนใจว่าร้อนเพียงใด กินไม่กี่คำก็หมดเสียแล้ว
ชายชราขายมันเทศหรี่ตามองเขาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “ฟังสำเนียงเ้าแล้วเหมือนคนทางเหนือ อายุอานามก็ยังน้อย เหตุใดจึงมาเป็ขอทานที่เมืองหยางโจว?”
ขอทานเลียนิ้วมือราวกับยังไม่อิ่ม เขาเอ่ยอธิบาย “ข้าน้อยเป็คนโจวเซี่ยน เมืองซานตง ปีนี้บ้านเกิดประสบภัยแล้ง ปลูกพืชอันใดล้วนตายหมด ข้าน้อยจึงหนีความแห้งแล้งมาที่นี่ แต่เหล่าขอทานที่นี่ล้วนรวมตัวกันเป็พวก แบ่งพื้นที่ในการขอทาน อีกทั้งยังห้ามไม่ให้ขอทานคนเดียว ข้าน้อยอยากร่วมพรรคด้วยแต่พวกเขากลับปฏิเสธ เมื่อข้าน้อยขอทานด้วยตัวเอง พวกเขาก็ต่อยตีข้าน้อย ของที่ข้าน้อยขอมาได้ พวกเขาก็ขโมยไปหมด ข้าน้อยจึงไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้วขอรับ”
เมื่อชายชราได้ยินขอทานผู้นี้กล่าวอย่างตรงไปตรงมา เขารู้สึกพอใจมากจึงอดแนะนำไม่ได้ “น้องชาย เ้าเพิ่งมาเมืองหยางโจวครั้งแรก อาจรู้เพียงพรรคกระยาจกที่นี่โหดร้าย แต่มีอยู่สองสามที่ที่พวกเขาควบคุมไม่ได้ เ้าไปขอทานที่นั่นได้”
“จริงหรือขอรับ? ใต้เท้าไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่?” ขอทานผู้นั้นเบิกตากว้าง
ชายชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนแก่อย่างข้าจะโกหกเ้าเพื่ออันใดเล่า? อืม บอกสถานที่ให้เ้าเป็เื่ง่าย แต่เ้าอายุยังน้อย มีเรี่ยวแรงทำมาหากิน เมื่อกินอิ่มแล้ว มิสู้ไปหางานที่มั่นคงทำจะดีกว่า”
ขอทานผู้นั้นพยักหน้า “แน่นอนขอรับ จริง ๆ แล้วหลายวันมานี้ข้าน้อยหามาหลายที่นัก แต่หากพวกเขาไม่รังเกียจที่ข้าสกปรก ก็มักจะบอกว่าข้ายังเด็กเกินไป รอให้ข้าน้อยกินข้าวอิ่มสักสองมื้อ ข้าน้อยจะไปอาบน้ำทำความสะอาดในแม่น้ำ พยายามหางานทำต่อขอรับ”
ชายชราพยักหน้า เขาชี้นิ้วไปทางฝั่งเหนือพลางเอ่ย “ในเมืองหยางโจวมีตระกูลใหญ่สี่ตระกูล ตระกูลอู่และตระกูลหลัวคือตระกูลที่ร่ำรวยและใหญ่ที่สุด พวกเขามีแผ่นแป้งปิ้งให้กินทุกวัน เ้าเดินไปหน้าถนนหงเพ่ย เข้าไปหลังตรอกซ่าเฉียว บ้านหลังนั้นจะมีรถเข็นแผ่นแป้งปิ้งลากออกมาทุกเช้า”
ขอทานผู้นั้นเอ่ยถามด้วยความสนใจ “ลากไปที่ใดหรือขอรับ?”
ชายชราส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ อย่างไรเ้าก็ลองไปที่นั่นดู พวกเขาจะให้แผ่นแป้งเ้ากิน”
ขอทานน้อยผู้นั้นดีใจมากจึงคุกเข่าก้มหัวให้แก่ชายชรา ก่อนจะลุกขึ้นจากไป ชายชรากะพริบตาปริบ ๆ มองแผ่นหลังชายหนุ่มวิ่งลับไป เขาพลิกมันเทศที่ปิ้งไว้ ก่อนจะร้องะโ “มันเทศร้อน ๆ หอมอร่อย ๆ ...”
ขอทานน้อยวิ่งไปยังถนนหงเพ่ยตามที่ชายชราบอก พบว่าถนนเส้นนี้กว้างกว่าถนนธรรมดาเกือบสิบเท่า ผู้คนที่เดินไปมาในตอนเช้ามีไม่มากนัก บรรยากาศเงียบสงัด ทำให้รู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้ เขาเดินริมถนนราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็เห็นรูปปั้นสิงโตอยู่ไกล ๆ จึงวิ่งไปใกล้แล้วเบิกตาดู ทันใดนั้นก็รู้สึกอ่อนแรงพลางคิดในใจ ชายชราขายมันเทศชี้ผิดทางหรือไม่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ขอทานอย่างข้าสามารถยืนได้กระมัง? คนด้านในจะรังเกียจที่ข้าเหยียบพื้นบ้านของพวกเขาสกปรกจนปล่อยหมามากัดข้าหรือไม่?
ประตูใหญ่สีแดงชาดเบื้องหน้ามีเพียงคำว่า “มโหฬาร” เท่านั้นที่อธิบายลักษณะได้ แม้ตนจะสูงกว่านี้อีกเก้าเท่าก็ยังไม่สามารถแตะยอดประตูบานนี้ เหนือยอดประตูมีแผ่นไม้สีน้ำเงินแขวนไว้ ในเจ็ดแปดตัวอักษรนั้น เขารู้จักเพียงสามคำคือหลัว ตะวันตก จวน ขณะแหงนหน้าอ่านป้าย จู่ ๆ ก็มีเสียงดังจากประตูบานใหญ่ที่ค่อย ๆ เปิดออก
ขอทานน้อยลากขาวิ่งออกไปด้วยความใจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อกลั้นใจวิ่งได้หลายร้อยก้าว ขณะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นประตูสีแดงชาดบานใหญ่อีกบาน บนป้ายยังคงเขียนว่า “จวนตระกูลหลัว” แต่คำว่า “ตะวันตก” เปลี่ยนเป็ “ตะวันออก” แล้ว
ขณะเดินไปข้างหน้าเพื่อตามหาด้านหลังตรอกที่มีแผ่นแป้งปิ้ง ขาของขอทานน้อยก็เป็ตะคริวฉับพลันเพราะเมื่อครู่วิ่งเร็วเกินไป เขาเ็ปจนล้มไปกองกับพื้น จะนวดก็เจ็บ ไม่นวดก็เจ็บ เจ็บจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ทว่าตอนนี้มีรถม้าที่ตกแต่งด้วยผ้าม่านสีเขียวและกระดาษน้ำมันสีเหลืองห้อตะบึงมาตามถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว มีหรือจะสังเกตเห็นขอทานที่ถูกรูปปั้นสิงโตบดบังเสียมิด...
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้น ขอทานน้อยถูกชนกระเด็นไปหลายจั้ง คลานต่อเพียงสองก้าวก็ไม่สามารถขยับได้อีกแล้ว
“คุณชายใหญ่ ทำอย่างไรดีขอรับ?” คนขับรถม้าใจนนิ่งไป มือเรียวยาวราวหยกขาวเลิกม่านลูกปัด คุณชายหนุ่มผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากรถม้าทันที
คุณชายผู้นั้นสวมชุดสีเขียวเข้มปักลวดลาย “สวัสติกะ” คาดเข็มขัดฝังด้วยหยกประณีต สวมรองเท้าหุ้มข้อสีดำ ขอบรองเท้าสีเขียวปักด้ายทอง ผมสีดำขลับมีกวน[1]มัดครอบไว้ ภายใต้คิ้วที่เลิกขึ้นคือดวงตาสดใสเป็ประกาย หางตายกเล็กน้อย เมื่อผสมกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากบาง ทำให้เขามีใบหน้างดงามกว่าสตรีหลายคน
“พาเขาเข้าไปในจวน”
------------------------------------------------------------------------
[1] กวน หมายถึงเครื่องประดับของชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณ ใช้สวมครอบมวยผมบนศีรษะ เพื่อบอกระดับพระยศพระเกียรติ