ศาสตร์การควบคุมดาบนั้น อย่างแรกจะต้องรวมจิตใจเข้ากับตัวดาบเสียก่อน
ถ้าหากพูดให้ดูเกินจริงขึ้นมาเสียหน่อย ก็คืออาวุธเ่าั้มีความรู้สึกให้สร้างความสัมพันธ์กับมันให้มากๆ ก็จะสามารถทำพันธสัญญาขึ้นมาได้ไม่ว่าจะเป็การบิน หรือว่าการต่อสู้ ต่างก็เป็ความสัมพันธ์ในเชิงของผู้ร่วมทีมยิ่งเวลาผ่านไป ก็จะยิ่งรู้ใจไร้ปัญหา
หากอยากจะควบคุมดาบ อย่างแรกก็คือต้องนำเอาจิตรับรู้เข้าไปยังตัวดาบแล้วพยายามสื่อสารกับมันบ่อยๆ ใช้พลังในร่างฟูมฟักดูแลมัน ในระหว่างนั้นก็ค่อยๆขยายขอบเขตจิตรับรู้ของตัวเองออกแล้วรวมเข้ากับจิตใจของมัน สรุปๆง่ายก็คือในตอนที่้าดาบ ก็สามารถสั่งการควบคุมมันได้ทันที
และจากที่ในทฤษฎีบอกไว้ อาวุธเวททั้งหมดที่นักฝึกศาสตร์ใช้เมื่อดูจากคุณภาพ พลัง คุณลักษณะต่างๆ ก็สามารถแบ่งได้เป็เก้าระดับแน่นอนว่ามันจะต้องรวมเข้ากับพลังในการต่อสู้แต่ก็มีหนึ่งทางที่แบ่งเอาไว้อย่างชัดเจน นั้นก็คือั้แ่ระดับห้าลงมาต่างก็เป็อาวุธเวทที่มีลักษณะที่กำหนดเอาไว้แล้ว ส่วนั้แ่ระดับห้าขึ้นไปก็จะเป็ด้วยเหตุผลของขั้นตอนในการทำและวัสดุที่ใช้อาวุธเวทนั้นจะเต็มไปด้วยคุณสมบัติที่ยืดหยุ่น และมีช่องว่างให้สามารถเติบโตไปกับเ้าของได้
ด้านในของดาบเจาเสวี่ยสลักเอาไว้ด้วยยุทธศาสตร์สวยงามแปลกตามากมายท่านเทพป๋ายยังบอกอีกว่า มันทำขึ้นมาจากเหล็กเย็นที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็งพันๆ ปีขั้นตอนในการทำและวัสดุที่ใช้ต่างไร้ปัญหา ดังนั้นจึงเป็อาวุธเวทในระดับห้าพอดี
หลินลั่วหรานยิ่งรู้สึกแปลกใจขึ้นมาคนที่เคยเป็ถึงนักปราชญ์ระดับแยกจิตอย่างท่านเทพป๋ายแน่นอนว่าคงไม่ได้สนใจอะไรดาบบินระดับห้าแบบนี้แน่นอนหลินลั่วหรานจึงถามออกไปว่าทำไมถึงได้ใส่ใจดาบบินระดับห้าถึงขนาดนี้ท่านเทพป๋ายส่งเสียงฮึออกมาเบาๆ
“แน่นอนว่าตอนที่มันเป็ดาบนั้นไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนักแต่เดิมทีมันเป็ปิ่นปักผมไข่มุกอันหนึ่ง มันก็ต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”
ตัวของปิ่นปักผมทำขึ้นด้วยเหล็กเย็นใต้ธารน้ำแข็งไข่มุกสีฟ้านั่นก็เป็หยาดน้ำตาของเผ่าครึ่งคนครึ่งปลาจริงๆ เผ่าครึ่งคนครึ่งปลา หรือที่เราต่างก็เรียกกันว่านางเงือกนั่นแหละ! ปิ่นปักผมอันนี้หรูหราเสียจริง เช่นเดียวกันกับดาบบินสำหรับระดับการฝึกศาสตร์ในปัจจุบันของหลินลั่วหรานแล้วมันก็ถือว่าเป็ของที่มีระดับสูงมากๆ สำหรับเธอเลยทีเดียว
หากจะพูดให้ชัดขึ้นเสียหน่อย แม้จะเป็่เวลาที่เวทได้รับความนิยมและการฝึกศาสตร์กำลังเจิดจรัสอย่างยุคโจวอู่การที่ผู้ฝึกศาสตร์ระดับฝึกลมปราณคนหนึ่ง ถือดาบบินระดับห้าเอาไว้ในมืออัตราที่จะโดนคนบุกเข้ามาปล้นในคืนที่ไร้จันทร์แน่นอนว่าคือร้อยเปอร์เซ็นต์เพียงเท่านี้ก็น่าจะรู้ได้แล้ว ว่าดาบเจาเสวี่ยนั้น มีค่ามากเพียงใด
ดังนั้นตอนที่ท่านเทพป๋ายถอนหายใจแล้วบอกว่ามันเป็ “เสวี่ยเจี้ยน” ที่มีเพียงหัวเดียวนั้นหลินลั่วหรานก็ไม่ได้ทำตัวเป็คนโง่ พร้อมทั้งออกตัวบอกกับท่านเทพป๋ายว่า “เจาเจี้ยน” อีกครึ่งหนึ่งนั้นความจริงก็อยู่กับเธอ ด้วยความที่ท่านเทพป๋ายไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไรเธอสำรวจถุงจักรวาลที่เหวินกวนจิ่งให้มาไปแล้วหลังจากที่โดนหลินลั่วหรานดูถูกไปก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรแต่กลับดีใจเสียอีกที่ทำให้เื่ของพื้นที่ลึกลับไม่หลุดรอดออกไป
ไม่ว่าจะตอนไหน การที่มีช่องทางให้มากเอาไว้ ก็เป็เื่ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
อย่างไรก็ตามมันเป็วิธีการต่อสู้ที่ทำให้หลินลั่วหรานแปลกใจอย่างมากอย่างเช่นตอนที่ทดลองใช้ดาบ พลังงานจะล้อมรอบยุทธศาสตร์อยู่ด้านในของไข่มุกสีฟ้าเสวี่ยเจี้ยนที่ถูกยับยั้งพลังในร่างเดิมก็ถูกกระตุ้นขึ้นสีของมันเปลี่ยนเป็สีขาวโพลน เย็นเฉียบไปถึงกระดูก
หลินลั่วหรานขยับหวดมือไปยังพื้นหญ้าผืนหญ้าที่น่าสงสารก็ถูกน้ำแข็งเข้าปกคลุมทันทีขุดลงไปในดินกว่าสามฟุตก็ยังคงเห็นเกล็ดน้ำแข็งอยู่ พลังของมันท่วมท้นและรุนแรงเพียงแค่แรงลมจากการตวัดดาบเพียงหนึ่งครั้ง ด้วยระดับฝึกลมปราณของหลินลั่วหรานในการควบคุมดาบระดับห้านั้นดูเหมือนว่าจะเป็ระดับที่สามารถล้มลงได้ด้วยดาบคู่...ไม่ใช่ว่าศัตรูล้มลงหรอกนะแต่เป็ตอนที่เธอกำลังจะขยับดาบคู่ออกไปนั้น พลังในร่างก็คงจะหมดไปเสียก่อนต่างหาก
ความสามารถของร่างกายไม่ใช่เื่ที่จะพัฒนาขึ้นได้ในเวลาแค่วันเดียวเื่นี้หลินลั่วหรานรีบร้อนไปก็ไม่เกิดผลอะไร จึงได้แต่สงบใจรับมือกับมันโชคดีที่สิ่งที่เธอต้องเผชิญหน้าในตอนนี้เป็เพียงการบังคับดาบให้บินเท่านั้น
ท่านเทพป๋ายก็ถือได้ว่าเป็อาจารย์ที่ดีคนหนึ่งตอนที่สอนเธอนั้นมีความละเอียดและใส่ใจมาก หลินลั่วหรานเองก็รู้สถานการณ์ในขั้นต้นดีดังนั้นจึงพักเื่ทฤษฎีที่ดึงดูดใจเอาไว้ก่อนและใช้เวลาทั้งคืนในการทำความเข้าใจศาสตร์การบังคับดาบเมื่อถึงตอนกลางวันท่านเทพป๋ายก็จะอธิบายให้เธอฟังอีกครั้งเมื่อมาถึงพลบค่ำของวันที่สอง หลินลั่วหรานก็สามารถขยับดาบให้ลอยขึ้นมาอย่างเบี้ยวๆได้บ้างแล้ว
แน่นอนว่าเพียงแค่ดาบขยับออกจากมือของเธอได้เท่านั้น พร้อมทั้งหมุนไปรอบๆตัวหลินลั่วหราน ห่างจากการพาเธอบินออกไปจากที่นี่มากนัก
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการถูกสงสัยดังนั้นอาหารที่หลินลั่วหรานกินต่างก็เป็อาหารแห้งที่เหวินกวนจิ่งเตรียมเอาไว้ให้หลังจากกันบิสกิตไปตลอดสองมื้อ เธอก็ไม่อาจจะทนต่อไปได้อีกจึงหันเหความสนใจไปยังร่างกายของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งนี้...พวกกวางและม้านั้นน่ารักเกินไปมันชอบที่จะเข้ามาซบหลินลั่วหรานบ่อยๆ เมื่อเทียบกับพวกกระต่ายที่ะโไปมานั้นหลินลั่วหรานได้แต่นึกถึงพระเ้า ก่อนจะจัดการจัดกระต่ายนั่นมาทำเป็มื้อพิเศษ
เนื้อกระต่ายที่ถูกล้างจนสะอาดถูกแขวนเอาไว้บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่งหลินลั่วหรานได้แต่อิจฉาพวกนักดาบในละครมานานั้แ่เด็กในที่สุดวันนี้มันก็กลายเป็ความจริงแล้ว ด้านในถุงจักรวาลไม่มีอะไรเลยนอกจากเกลือถุงหนึ่ง
หลินลั่วหรานสงสัยมาตลอดว่า “ดาบเจาเสวี่ย” นั้นมีความเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเทพป๋าย ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอหลินลั่วหรานจะเอาดาบบินมาทำเื่โง่เขลาอย่างการหั่นเนื้อกระต่ายได้อย่างไรกันเล่า?
ดังนั้นเวททั้งห้าจึงถูกนำออกมาใช้ “เวทปีกใส” ธาตุทองถูกหลินลั่วหรานปล่อยออกมาเบาบางราวกับปีกอันโปร่งใสเพื่อใช้ในการตัดเนื้อกระต่ายจากนั้นก็ทาเกลือลงไป มันช่างเป็การทำอะไรที่ลงทุนเกินตัวเสียจริง
ฟืนเผาไหม้ลุกโชน พวกกวางและม้ายังคงไม่รู้ว่าหลินลั่วหรานที่มองดูแล้วงดงามคนนี้ทำลายความสนใจของพวกมันไป พวกมันวิ่งเข้ามาผิงไฟอยู่ข้างกายอีกทั้งยังแสดงอาการแปลกใจกับเปลวไฟตรงหน้า
กระต่ายที่ถูกเสียบเอาไว้บนไม้ ถูกเปลวไฟย่างจนกลายเป็สีทอง้าเคลือบไปด้วยน้ำมัน เสียงของเปลวไฟดังขึ้น กลิ่นหอมลอยไปทั่วทุกบริเวณ...ให้ความรู้สึกของการใช้ชีวิตในป่าเสียจริง!
แน่นอนว่าท่านเทพป๋ายไม่อาจจะทานได้ หรือแม้ว่าเธออยากจะกินการเป็จิติญญาดวงหนึ่งนั้น ก็ทำให้เกิดความกดดันขึ้นไม่น้อย...
ดังนั้น หลังจากหลินลั่วหรานแสดงความขอโทษต่อเธอแล้วเธอก็ลงมือทานเนื้อกระต่ายอย่างไม่เกรงใจ แม้ว่าจะโรยเกลือลงไปเท่านั้นแต่ว่ารสชาติกลับหอมหวานอบอวลไปทั่วปาก เนื้อกระต่ายอ้วนแต่กลับไม่ได้เลี่ยนเป็เนื้อกระต่ายที่หลินลั่วหรานรู้สึกว่าอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา
เมื่อมองไปยังหลินลั่วหรานที่กำลังตั้งใจกินเนื้อกระต่าย ท่านเทพป๋ายก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเบาๆเมื่อเป็แบบนี้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องมีพลังของธาตุน้ำและธาตุทองแล้ว... ถ้าหากว่า “เวทลูกไฟ” ที่พูดออกมาก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพียงแค่ตั้งใจลวงเธอก็แสดงว่าเด็กคนนี้มีพื้นฐานพลังกว่าสามธาตุ พื้นฐานพลังมันแย่เกินไปแล้วหรือเปล่าความหงุดหงิดเกิดขึ้นในใจของท่านเทพป๋ายจึงไม่แน่ใจถึงเื่ที่จะเกิดขึ้นต่อไปอีกแล้ว
หลินลั่วหรานก้มลงกินเนื้อกระต่าย พร้อมทั้งยังลูบหัวเหล่ากวางและม้าซื่อๆเ่าั้ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รู้สึกถึงความลำบากใจของท่านเทพป๋ายเลยแม้แต่น้อย
เมื่อตกเข้ากลางดึกมากขึ้น ผืนหญ้าที่โดนสาดแสงอาทิตย์ในตอนกลางวันเมื่อถึงตอนเย็นก็ถูกปกคลุมไปด้วยหยาดน้ำค้าง ส่งกลิ่นหญ้าอ่อนๆ ขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นพิเศษของดิน กลายเป็กลิ่นอ่อนๆ ที่ไม่ได้เหม็นนัก
หลินลั่วหรานหลับตาลงนั่งสมาธิ จิตรับรู้ของเธอเฝ้าระวังอยู่รอบตัวคืนนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในใจของเธอจึงไม่อาจสงบลงได้เธอรู้สึกราวกับมีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าในหุบเขาแห่งนี้มีเพียงเธอและท่านเทพป๋ายสองคนเท่านั้น เมื่อมาคิดดูแล้ว คนหลังนั่นไม่นับว่าเป็คนด้วยซ้ำไปหรือว่าจะเป็เธออย่างนั้นเหรอ?
หลินลั่วหรานคิดอะไรไปเรื่อยตลอดทั้งคืน ไม่ได้ตั้งใจฝึกเลยแม้แต่น้อยเมื่อถึง่ใกล้สว่างเธอก็เผลอหลับไป ใน่ที่รู้สึกราวกับเพิ่งหลับตาลงไปนั้นแสงตะวันก็ฉายลงมาบนใบหน้า ทำให้เธอหลับไม่ลง แต่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาทันทีเช่นกัน
ท่านเทพป๋ายลอยเข้ามา ก่อนจะเทน้ำลงบนใบหน้าของหลินลั่วหราน
“รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า พวกเราต้องออกไปจากหุบเขาในวันนี้!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้