ฮูหยินติ้งกั๋วกงให้กิจการใหญ่โตมากถึงเพียงนี้กับฉินหยีหนิง ทำให้นางมีสถานะเพิ่มขึ้น และทำให้ซุนซื่อยิ่งมีความนับหน้าถือตาในจวนมากขึ้น
ยามนั้นซุนซื่ออยู่ต่อหน้าครอบครัวของสามี นางรู้สึกมีเกียรติและภูมิใจ จนยากจะปิดบังความภาคภูมิและความทระนงนี้ได้ และเอ่ยว่า “แต่เดิมข้าก็ไม่้าหรอกเ้าค่ะ แต่ท่านยายของนางกลับอยากจะมอบให้นางอยู่อย่างนั้นแหละ ท่านบอกว่าเด็กคนนี้ถูกชะตากับนาง จะห้ามเท่าไรก็ไม่ยอม กิจการนี้แต่เดิมอยู่ในความดูแลของพี่ชายใหญ่หยวนิ ท่านยายของนางอยากจะส่งมอบให้นาง จึงเอาที่นาและร้านค้ามาแลกกับพี่ชายใหญ่เพื่อให้ได้กิจการนี้มา ข้าบอกว่าเด็กคนนี้ไม่เข้าใจเื่การจัดการ แต่กลับโดนสั่งสอน บอกว่าข้าปกป้องลูกมากเกินไป ไม่ให้โอกาสลูกได้ฝึกฝนตนเอง ความจริงแล้วก็รู้สึกลำบากใจมากเหลือเกิน”
ครั้นพูดถึงประโยคสุดท้าย นางส่ายศีรษะเสมือนว่ารู้สึกหมดหนทาง
ทว่าคำโอ้อวดไม่ต่างกับการเติมน้ำมันเพิ่มน้ำส้มสายชูเข้าไป ใช้เงินตบหน้าล่าวไท่จุนดังเพียะ ในใจของซุนซื่อแอบคิด ในฐานะที่เ้าเป็ย่า บุตรีกลับมาไม่ได้เห็นว่าจะให้เงินทองอะไรเลย ซ้ำร้ายจัดเรือนให้อยู่เสียห่างไกล อยากได้เงินเก็บของตนเอง ก็ต้องให้ครอบครัวฝั่งมารดาของข้าเป็คนให้ ความรักที่ได้รับจากจวนติ้งกั๋วกงนั้นเป็ดั่งทองคำ จวนของเ้าหรือก็คือไก่เหล็กดีๆ นี่เอง!
เห็นได้ชัดเจนว่า ตอนที่ซุนซื่อคิดได้เช่นนั้น นางได้ลืมไปแล้ว เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ นางกับล่าวไท่จุนมีความคิดเห็นตรงกัน คือไม่อยากให้ฉินหยีหนิงอยู่ในจวนนี้แม้แต่น้อย เกือบๆ จะส่งให้ไปอยู่เรือนเถียนแล้ว
ล่าวไท่จุน ฮูหยินสองกับฮูหยินสามมีที่ไหนที่จะไม่เข้าใจความภาคภูมิของซุนซื่อ?
แต่ว่าความจริงก็แขวนอยู่ตรงหน้า คนของจวนติ้งกั๋วกงใช้เงินมาเพื่อส่องประกายวิบวับในสายตาของพวกเขา หากพวกเขา้าแข่งขันด้วย คงต้องนำกิจการที่มีค่าเกือบจะเท่ากันกับจ้าวหยุนซือส่งมอบให้ฉินหยีหนิงด้วย
ยังไม่ต้องพูดถึงกิจการในกรรมสิทธิ์ของจวนมหาเสนาบดีที่ไม่ได้มีจำนวนมากมาย มีแค่เพียงที่นา ป่าไร่ ร้านค้ากระเบื้องและเรือน แม้แต่ร้านค้าที่กำลังดำเนินกิจการอยู่ ก็คือร้านขายพู่กันและหมึก โรงทอผ้าไหมและอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะทำกำไรได้ก็ตาม แต่ก็สู้จ้าวหยุนซือที่มีหน้ามีตามากกว่าไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะมีกิจการที่มีหน้ามีตา แต่ล่าวไท่จุนก็ลังเลที่จะยกให้เป็สินสอดแก่เด็กผู้หญิง
พื้นฐานของจวนอัครมหาเสนาบดีเทียบไม่ได้กับจวนติ้งกั๋วกงที่สืบทอดกันมายาวนาน ฮูหยินติ้งกั๋วกงถึงสามารถขว้างเงินใส่หน้าคนได้ถึงเพียงนี้ ทว่าพวกเขาย่อมทำไม่ได้
ล่าวไท่จุนตอนนี้ฉลาดเลือกเสแสร้งทำเป็โง่
แน่นอนว่าฮูหยินสองกับฮูหยินสามก็ไม่ยอมให้แม่สามียกกิจการให้ลูกสาวคนโตของบ้านใหญ่อย่างเด็ดขาด อีกอย่างจวนอัครมหาเสนาบดียังไม่ได้แยกบ้านกันเสียหน่อย บ้านใหญ่ไม่มีลูกชาย บ้านสองกับบ้านสามมีลูกชายตั้งมาก
ทั้งสองชมเชยและยกย่องด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่ฮูหยินติ้งกั๋วกงใจกว้าง อีกทั้งยังชื่นชมฉินหยีหนิงที่เป็เด็กเรียบร้อยทำให้คนชื่นชอบ จนทำให้ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินติ้งกั๋วกง และยังไม่ลืมที่จะชมเชยนางว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาดตามพ่อของนาง ยกย่องจนใบหน้าของซุนซื่อแดงระเรื่อ ยิ้มจนไม่สามารถปิดปากได้
ฉินหยีหนิงถอนหายใจ หลังมองพฤติกรรมที่ไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ ของซุนซื่อ
ทันใดนั้นนางถึงเข้าใจอะไรบางอย่าง ว่าเหตุใดวันนี้ฮูหยินติ้งกั๋วกงถึงอดไม่ได้ที่จะโมโหและสั่งสอนซุนซื่อต่อหน้าผู้คน หากนางมีลูกสาวซึ่งมีอายุสี่สิบแล้ว แต่ยังทำอะไรๆ ตามใจตัวเองโดยไม่นึกถึงความรู้สึกของผู้อื่น เหมือนตนเองยังเป็เด็กอายุสิบสี่ นางก็คงจะโมโหอยู่เหมือนกัน
ฝ่ายฉินฮุ่ยหนิงรู้สึกว่า ตนเองในยามนั้นเหมือนคนที่ถูกปิดกั้นให้อยู่วงนอก ทุกๆ คนต่างก็หมุนรอบๆ ตัวฉินหยีหนิง อีกฝ่ายแย่งในสิ่งที่นางเคยมีทั้งหมด
นางอยู่ในจวนฉินมาสิบสี่ปี ถึงแม้ว่าจะได้รับความโปรดปรานจากล่าวไท่จุนกับท่านแม่ แต่ก็ไม่มีใครชื่นชมนางขนาดนี้มาก่อนเลย
เมื่อก่อนตอนที่นางยังเป็ลูกแท้ๆ ก็ไม่มีผู้ใดชื่นชมนางว่า ‘นางหน้าตาคล้ายบิดาของนาง’ มี ‘บุคลิกคล้ายบิดาของนาง’
ดังนั้นยามมองใบหน้าและปากของป้าใหญ่กับป้ารอง ฉินฮุ่ยหนิงจึงรู้สึกเอือมระอามากถึงขั้นสุด
ไม่ใช่แค่เพราะว่าฉินหยีหนิงมีจ้าวหยุนซือ แต่ว่าเมื่อก่อนนี้นางไม่มี
ั้แ่เด็กๆ ท่านยายไม่ได้ชื่นชอบนางมากเท่าใดนัก แต่ว่าถึงจะไม่ชื่นชอบเพียงใด นางก็สานสัมพันธ์กับท่านยายมาแล้วสิบสี่ปี หรือว่าเวลาสิบสี่ปีของนาง ไม่สามารถเทียบได้กับฉินหยีหนิงที่เจอหน้าฮูหยินติ้งกั๋วกงเพียงแค่ครั้งเดียวหรือ?
ฉินฮุ่ยหนิงกัดฟัน หากว่านางไม่มีเหตุผลอยู่เลย นางคงจะโมโหและด่าทอไปนานแล้ว แต่นางรู้ว่า ชีวิตที่ดีของนางยังจะต้องผูกติดกับคนที่อยู่เบื้องหน้าเหล่านี้ ไม่สามารถทำให้คนในบ้านรู้สึกไม่ดีกับนาง มิเช่นนั้นวันข้างหน้าจะลำบาก
“ล่าวไท่จุน” จังหวะนั้น แม่นมฉินเลิกผ้าม่านที่ประตูหน้าเข้ามาพร้อมรอยยิ้มก่อนเอ่ยแจ้ง “นายท่านกลับมาแล้วเ้าค่ะ”
หลังประโยคสิ้นสุด ฉินหวยหยวนสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีเทาก็เดินผ่านประตูเข้ามา เขาถอดเสื้อคลุมยื่นไปให้แม่นมฉิน และเดินไปยังเบื้องหน้าล่าวไท่จุน จากนั้นค้อมตัวคำนับ
“ท่านแม่”
“กลับมาแล้ว รีบนั่งเถิด” ใบหน้าของล่าวไท่จุนมีรอยยิ้มอยู่ด้วย
ฉินหวยหยวนนั่งลงข้างๆ บนเก้าอี้ซึ่งบุด้วยเบาะหนา ทั้งซุนซื่อ ฮูหยินสองและฮูหยินสาม ล้วนขยับตัวย้ายมาอยู่ด้านข้าง
ครั้นเห็นว่าบรรยากาศในบ้านเต็มไปด้วยความสุข ฉินหวยหยวนจึงยกยิ้มพลางไถ่ถาม “มีอะไรที่ข้ายังไม่รู้ เกิดขึ้นหรือขอรับ? ท่านแม่ก็บอกข้ามาด้วยเถิด”
ล่าวไท่จุนตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “ก็ไม่ใช่เพราะหยีเจี่ยร์มีข่าวดีหรอกหรือ? วันนี้กลับไปที่จวนติ้งกั๋วกง ยายของนางได้ยกจ้าวหยุนซือให้นางเพื่อเป็การเฉลิมฉลองที่นางกลับบ้าน พวกเรากำลังพูดคุยเื่นี้อยู่”
ฉินหวยหยวนเมื่อได้ยินถึงกับนิ่งอันไป ระหว่างที่ปรับลมหายใจอยู่นั้นก็สามารถจับต้นชนปลายได้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และมองไปที่ฉินหยีหนิงซึ่งอยู่ไม่ห่าง
ในฐานะที่เป็บิดา แน่นอนว่าเขาย่อมรักและโปรดปรานลูกที่คล้ายตนเอง ฉินหวยหยวนก็เป็เช่นนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้ เขาพยายามมากแค่ไหน แอบใช้วิธีมากมาย ก็ไม่สามารถทำให้ภรรยาและอนุมีลูกชายให้เขาได้
เป็เด็กผู้หญิงก็เท่านั้น ถึงจะคล้ายตนแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ทำได้เพียงแต่งงานสานสัมพันธ์ก็เท่านั้น
เมื่อหันไปมองฉินหยีหนิงอีกครั้ง เห็นความอ่อนโยนและความบอบบางราวกับดอกไม้บานในน้ำของบุตรี ก็ยิ่งทำให้ฉินหวยหยวนหวาดกลัวมากขึ้น มีเสียงในใจของเขากำลังะโออกมาว่า ทำไมนี่ไม่ใช่ลูกชาย ถึงมีบางประโยคแต่ก็ี้เีเกินกว่าจะพูดแล้ว
เป็เพียงแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ว่าปัญหาของตระกูลถางจะใหญ่ขนาดไหน นางจะพลิกแพลงอะไรออกมาได้ ได้รับจ้าวหยุนซือ คงทำได้แค่เพียงนอนกินผลกำไรก็เท่านั้น คราวนี้ปัญหาของครอบครัวถางเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องหนิงและสตรีชั้นสูง ถ้าปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถจัดการได้ละก็ อย่างมากก็ให้หัวหน้าจัดการให้ก็พอแล้ว
มันเป็เื่ธรรมดาสำหรับจ้าวหยุนซือที่จะเปลี่ยนเ้าของ หากเปลี่ยนหัวหน้าอีกคน ก็น่าจะเป็เื่ธรรมดาเท่านั้น
ฉินหวยหยวนคิดถึงตรงนี้จึงไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่เอ่ยขึ้น “พ่อตาและแม่ยายทุ่มเทมากเกินไปแล้ว วันหลังข้าจะต้องไปหาท่านทั้งสองเพื่อขอบคุณถึงจะถูก”
คำพูดของสามีส่งผลให้ในใจของซุนซื่อมีความสุขมาก มองไปยังฉินหวยหยวนด้วยสายตาอ่อนโยนมากขึ้นไปอีก
ล่าวไท่จุนเห็นว่าซุนซื่อ ฉินหยีหนิงและฉินฮุ่ยหนิงต่างก็สวมเสื้อผ้าสำหรับออกไปข้างนอก จึงบอกให้ทั้งหมดไปพักผ่อน พร้อมสั่งว่าไม่ต้องกลับมาที่นี่แล้ว
สามคนคำนับ ฉินฮุ่ยหนิงพยายามแสดงสีหน้ายิ้มแย้มกับซุนซื่อ และขอตัวลากลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน
ฉินหยีหนิงกับรุ่ยหลาน แม่นมจิน ฉ่ายหลานต่างก็ติดตามเกี้ยวเพื่อไปส่งซุนซื่อที่เรือนซิ่งหนิง จากนั้นก็คำนับและลากลับไปที่เรือนเสวี่ยลี่ของตน
แค่เพียงเวลาไม่นาน ข่าวที่ว่าฉินหยีหนิงได้เป็เ้าของจ้าวหยุนซือก็แพร่สะพัดไปทั่ว เมื่อเจอบ่าวในระหว่างทาง ไม่มีเลยสักคนที่ไม่เข้ามาคำนับนาง
รุ่ยหลานถือตะเกียงเดินตามฉินหยีหนิงอยู่ข้างๆ นางครุ่นคิดเื่หลังจากกลับมาถึงจวน
เมื่อห้าวันก่อน คุณหนูเพิ่งกลับมาที่จวน ล่าวไท่จุนกับมารดาแท้ๆ ก็ไม่ยอมรับนาง ฉินฮุ่ยหนิงก็รังแกนาง แม้ว่าจะกินจะใช้ก็ต้องเกรงใจบ่าว
แต่วันนี้ล่ะ?
ล่าวไท่จุนก็ไม่ได้เกลียดนาง ฮูหยินดูเหมือนว่าจะชื่นชอบนางอยู่หลายส่วน ฮูหยินติ้งกั๋วกงยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางกินใช้เท่าใดก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ปล่อยอำนาจหนึ่งครั้งก็ทำให้บ่าวตกตะลึง ยิ่งแม้แต่เ้านายอย่างฉินฮุ่ยหนิงยิ่งกว่าตะลึงพรึงเพริด ประโยคที่สั่งสอนกันในรถม้านั้น รุ่ยหลานได้ติดตามอยู่ข้างหลังรถม้า นางย่อมได้ยินทั้งหมดอย่างชัดเจน
เื่สำคัญอีกประการคือ คุณหนูในจวนทั้งหมดต่างต้องพึ่งเงินเดือนสองเหลียงเพื่อใช้ชีวิต แต่คุณหนูของนางกลับมีเป็ูเาทองแล้ว
รุ่ยหลานคิดได้เช่นนั้น นางตื่นเต้นจนเืแทบจะกระเด็นออกมา ยิ่งทำให้นางตัดสินใจแน่วแน่จะติดตามฉินหยีหนิงไปอีกในวันข้างหน้า เมื่อก่อนเป็เพราะนางคือกบอยู่ในกะลา รู้จักเพียงเรือนซิ่งหนิงที่ใหญ่โตเท่านั้น ที่จะทำให้มีอนาคตที่ดีได้ก็คือฉินหวยหยวน
แต่มาวันนี้ได้ติดตามรับใช้คุณหนู อนาคตข้างหน้าแม้ไม่แน่ชัด แต่เห็นได้แจ่มแจ้งว่าติดตามรับใช้คุณหนูนั้นมีอนาคตที่ดีมากกว่า
แน่นอนว่าฉินหยีหนิงไม่รู้ว่ารุ่ยหลานซึ่งเดินอยู่ข้างๆ กำลังคิดสิ่งใด รู้สึกเพียงแค่คนส่วนมากมีความสุภาพกับนางในทันใด รุ่ยหลานรับใช้นางก็ขยันขันแข็งมากยิ่งขึ้น ในใจของนางจึงรู้สึกขบขันอย่างช่วยไม่ได้
ยกย่องคนสูง เหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่า นี่คือสัญชาตญาณของมนุษย์หรือ?
เดินเลี้ยวเข้าไปยังตรอกซอย สามารถมองเห็นเงาคนที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูเรือนเสวี่ยลี่และยื่นคอออกมามองข้างนอกได้แต่ไกล
ครั้นเห็นพวกนาง คนคนนั้นก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับในทันที เมื่อเข้ามาใกล้ๆ ฉินหยีหนิงถึงเห็นได้ชัดมากขึ้น คนที่วิ่งเข้ามานั้นคือชิวหลู่
“คุณหนู” ชิวหลู่ตั้งใจลดเสียงให้ต่ำลง นางมีความกังวลอยู่เล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “เมื่อสักครู่มีหัวหน้าจงต้าท่านหนึ่ง นำกล่องไม้ใหญ่สองกล่องเข้ามา บอกว่ามาส่งบัญชีการเงินให้คุณหนูด้วยตนเอง แต่หลังจากที่เขามาที่นี่ ก็ไม่ยอมดื่มน้ำชา ไม่ยอมขอตัวลา นึกไม่ถึงว่าเขาจะเข้าไปในบ้านและคุกเข่าลง มิหนำซ้ำไม่ยอมไปไหนเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงใกะพริบตา จากนั้นได้เอ่ยถามด้วยความเร่งรีบเล็กน้อย “เขามานานเท่าใดแล้ว? ตอนที่มาที่นี่มีคนที่รู้อยู่กี่คน? เื่ที่เขาคุกเข่าเช่นนี้มีใครรู้บ้าง?”
“ตอนที่มาที่นี่เขามาจากทางประตูมุมข้างหลังเ้าค่ะ ไม่มีผู้ใดเห็นนัก คนรอบๆ ที่เห็นว่ามีคนแบกกล่องเข้ามา อาจจะคิดว่านำของมาส่งให้คุณหนูเฉยๆ และไม่ได้สังเกตว่าเขาจะไปเมื่อไหร่ ส่วนเื่คุกเข่า...” ชิวหลู่ครุ่นคิดก่อนพูดต่อ “ก็น่าจะประมาณหนึ่งชั่วยามแล้วเ้าค่ะ บ่าวเกรงว่าถ้าเื่แพร่สะพัดออกไปข้างนอกจะไม่ดี ก็เลยปรึกษากับแม่นมจู้และแม่นมจาน ให้คนในเรือนเสวี่ยลี่มารวมตัวเพื่อพูดคุยสั่งสอน รวมถึงไม่อนุญาตให้ออกไปข้างนอกเรือน ส่วนอาหารวันนี้บ่าวกับแม่นมจู้เป็คนไปยกมาให้เ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงถึงได้ถอนหายใจออกมา และผงกศีรษะพร้อมเอ่ยชม “เ้าทำได้ดีมาก” ความจริงแล้วนางก็รู้อยู่แล้วว่าชิวหลู่เป็คนฉลาด เพียงแต่ว่าเป็คนไม่ค่อยพูดจา ไม่คิดเลยว่าเจอเื่ฉุกเฉินเช่นนั้นนางยังสามารถใจเย็นๆ ได้ ดูเหมือนว่าวันข้างหน้าชิวหลู่สามารถจัดการเื่สำคัญๆ แทนนางได้แน่นอนแล้ว
เ้านายและบ่าวสามคนกลับไปถึงเรือนเสวี่ยลี่ ที่แท้บนถนนหินเล็กๆ ในเรือน มีคนกำลังคุกเข่าอยู่
ยามนั้นใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว มิหนำซ้ำกลางดึกยังมีลมหนาวพัดมาเป็พักๆ ทำให้โคมไฟที่แขวนอยู่ที่ระเบียงแกว่งไปมา เปลวไฟเหมือนจะมอดดับแหล่มิดับแหล่ ใบไผ่สีเหลืองถูกพัดปลิวกระจายไปทั่วลานหน้าบ้าน คนที่กำลังคุกเข่าอย่างสง่าผ่าเผยคนนั้น เพียงแค่เห็นเงาร่างของเขาก็สามารถรู้ได้ว่าเป็คนที่ไม่มีพลังอย่างมาก
ชิวหลู่เห็นนางเดินไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร จึงถามและมองอยู่หลายๆ ครั้ง
ฉินหยีหนิงครุ่นคิด จึงเอ่ยขึ้น “ท่านคือหัวหน้าจงต้าใช่หรือไม่? จะมาส่งบัญชีให้กับข้า? เข้ามาพูดคุยข้างในเถิด”
ในขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น นางไม่ได้มองหัวหน้าจงต้าเลย แต่นางเดินตรงไปยังห้องหนึ่งซึ่งถูกจัดไว้เพื่อรับแขก
รุ่ยหลานและชิวหลู่ต่างก็รีบไปเชิญหัวหน้าจงต้า “ท่านหัวหน้า คุณหนูของพวกเรากลับมาแล้ว เชิญท่านรีบลุกขึ้นเถิด หากท่านเป็เช่นนี้ต่อไป คุณหนูของพวกเราก็จะจัดการยากนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของรุ่ยหลานและชิวหลู่ อาจจะได้เห็นองค์พระตัวจริงแล้วก็ได้ หัวหน้าจงจึงรีบลุกขึ้น แต่เป็เพราะว่าคุกเข่านาน ทำให้เขายืนขึ้นด้วยท่าทางซวนเซอยู่บ้าง จากนั้นเดินเข้าไปข้างในห้องอย่างตุปัดตุเป๋ ครั้นถึงด้านใน เขาก็คุกเข่าลงอีกครั้ง และไม่กล้าสบสายตาและมองหน้าตาของฉินหยีหนิงโดยตรง ทำเพียงก้มศีรษะและเอ่ยขึ้น “ตงเจียสวัสดี ข้าน้อยมีนามว่าจงยวี้เฉิง คำนับให้กับตงเจีย”