ฉินหยีหนิงนั่งบนที่นั่งหลักอย่างสง่าผ่าเผย ด้านข้างมีรุ่ยหลานและชิวหลู่ยืนอยู่ข้างซ้ายหนึ่งคน ข้างขวาหนึ่งคน
นางนั่งเงียบขรึมและไม่ได้เอ่ยพูดขึ้นมาในทันทีทันใด ทำเพียงมองสำรวจหัวหน้าจงหนึ่งรอบ
หัวหน้าจงยวี้เฉิง อายุเกือบหกสิบปี รูปร่างมีความสมบูรณ์ปานกลาง ค่อนข้างอวบเล็กน้อย เขาสวมชุดยาวลายดอกบัวสีน้ำเงิน สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเข้ม และสวมหมวกผ้าเนื้อหนาบนศีรษะ ้าของหมวกตรงกลางนั้นประดับด้วยพลอยสีฟ้าขนาดเท่ากับเล็บมือ แค่มองการสวมเสื้อผ้าและการเดินก็ดูดีอยู่หลายส่วน
เพียงแต่ว่าในเวลานี้สีหน้าของเขาดูขมขื่นและภายใต้รอยย่นเต็มไปด้วยคำว่า ‘โศกเศร้า’ เคราแพะสีขาวสั่นไหว ตอนคำนับฉินหยีหนิง ท่าทางของเขาโอนเอนเสมือนว่ามีอะไรทับอยู่บนตัว
ในใจฉินหยีหนิงคิดคำนวณได้อย่างรวดเร็ว
เหมือนกับหัวหน้าจงที่เป็หัวหน้านี้ เมื่อเทียบกับคนที่นางเคยเจอข้างนอก ครั้งที่นำสมุนไพรไปขาย จะเห็นได้ว่าหัวหน้าจงยังดูดีเสียกว่า ตอนนั้นเป็นางที่ต้องคุกเข่าก้มศีรษะให้คนอื่น คราวนี้ท่านนี้ต้องคุกเข่าให้นางอยู่เบื้องหน้า ในเวลาสั้นๆ นางย่อมหาวิธีรับมือไม่เจอ
นอกเหนือไปกว่านั้นนางเป็เ้าของกิจการคนใหม่ของจ้าวหยุนซือ แม้การดูแลกิจการสามารถพึ่งพาหัวหน้าร้านค้า แต่ว่าเื่ของการตัดสินใจ ยังคงต้องให้นางเป็ผู้ปริปากออกมาอยู่ดี วันข้างหน้าจะเชื่อฟังนางอย่างไรนั้น ทั้งหมดคงต้องดูในวันนี้สินะ
เมื่อฉินหยีหนิงคิดได้ถึงตอนนี้ หลังของนางพลอยเหยียดตรงขึ้นอีก อำนาจก็มากพอแล้ว
ความเงียบขรึมเป็วิธีการเผชิญหน้าที่มีความหมายอย่างลึกซึ้งมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว
แม้ว่าหัวหน้าจงเห็นเ้าของคนใหม่ยังเป็เด็กสาว นึกไม่ถึงว่านางยังสามารถใจเย็นอยู่ได้ นึกถึงฮูหยินติ้งกั๋วกงที่เป็ผู้หญิงทรงพลังและเก่งฉกาจแล้ว เขาก็ไม่กล้าละเลยอีก เขายิ่งก้มศีรษะต่ำลงไปอีก
รุ่ยหลานและชิวหลู่เห็นฉากดังกล่าว ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในตัวคุณหนูของตน ความน่าเกรงขามเช่นนี้ไม่มีในตัวคุณหนูท่านอื่นๆ แน่นอน
ฉากที่เงียบขรึมดำเนินต่อเนื่องอยู่ประมาณครึ่งเค่อ ฉินหยีหนิงถึงได้เกริ่นออกมาอย่างช้าๆ
เป็เพราะว่านางจะต้องครุ่นคิด ทำให้ความเร็วในการพูดนั้นช้ามาก แต่ทุกคำพูดทุกประโยคที่นางได้เอ่ยออกมา เห็นได้ชัดว่าล้วนมีแต่ส่วนสำคัญ “ท่านหัวหน้าจงมาที่นี่วันนี้ มีเื่อันใดหรือ? กรุณาลุกขึ้นมาคุยกันเถิด รุ่ยหลาน ช่วยดูแลเื่ที่นั่ง ชิวหลู่ยกน้ำชา”
รุ่ยหลานและชิวหลู่ปฏิบัติตามคำสั่งทันที
หัวหน้าจงลุกขึ้นยืน ก้มศีรษะและถอยตัวออกไปข้างหลัง เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่รุ่ยหลานยกมาให้ และยื่นมือรับถ้วยชาสีขาวข้างในเป็ชาแดงลูกพลัม จากนั้นเขาได้วางไว้บนโต๊ะเตี้ยข้างๆ มือ
ฉินหยีหนิงเล่นกับฝาโถชาที่อยู่ใกล้มือแล้วเอ่ย “ที่นี่ไม่มีคนนอก หัวหน้าจงมีเื่อันใดจะพูด ก็ให้พูดออกมาตรงๆ เถิด เพียงแค่ว่าครั้งต่อไป ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็มาบอกข้าโดยตรงเถิด หากคุกเข่านานเหมือนอย่างวันนี้แล้วไม่ลุกขึ้น ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเช่นนี้ ร่างกายเป็อะไรไปจะดีได้อย่างไร? กิจการในอนาคตของข้า ยังคงต้องพึ่งพาท่านหัวหน้าอยู่นะ”
หัวหน้าจงเป็คนฉลาดเฉลียว เมื่อได้ยินในสิ่งที่นางพูด เขาก็รู้ในทันทีว่าฉินหยีหนิงกำลังตำหนิเขาว่าอาจจะทำลายชื่อเสียงของนางได้ จึงรีบลุกขึ้นคำนับและก้มศีรษะ พลางกล่าวว่า “ตงเจียพูดมานั้นถูกต้องที่สุด ครั้งนี้มันเป็ความประมาทของข้าน้อยเองขอรับ สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้า เพียงแต่ว่าวันนี้มีเื่ฉุกเฉินจริงๆ ข้าน้อยจึงมาอย่างผลีผลามเช่นนี้ขอรับ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เขาได้มองไปที่ฉินหยีหนิงอย่างรวดเร็ว และเห็นหญิงสาวซึ่งสวมเสื้อคลุมขนกระต่ายขาวและขนลิงอุรังอุตังสีแดงนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก ภายใต้แสงไฟ ความงดงามของนางเป็เื่ยากที่จะวาดภาพออกมาได้ และคิ้วยาวเรียว นางแสดงท่าทางดั่งวีรบุรุษอยู่หลายส่วน ดวงตาของนางช่างสุกใสและลึกล้ำจนเขาเองไม่สามารถที่จะคาดเดาความคิดของนางได้
หัวหน้าจงเห็นเช่นนั้นก็ขวัญหายและรีบเอ่ยขึ้น “ตงเจีย1 จ้าวหยุนซือเกิดเื่ขึ้นมาแล้ว ข้าน้อยไม่สามารถจัดการได้ จึงมาขอร้องตงเจีย กรุณาให้คำแนะนำข้าน้อยด้วยขอรับ”
ฉินหยีหนิงตกตะลึง ถึงนางจะมีลางสังหรณ์อยู่ว่า แม้จ้าวหยุนซืออยู่ในมือของนางแล้ว แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะรอกินกำไรอย่างสบายๆ ทว่าเหตุการณ์ดังกล่าวกลับถูกกระแทกเข้าที่ศีรษะ ทำให้รู้สึกรับมือไม่ทัน
ในใจของฉินหยีหนิงสับสนวุ่นวาย แต่สีหน้ายังเรียบนิ่ง นางเพียงแค่พยักพเยิดส่งสัญญาณให้หัวหน้าจงพูดต่อ
หัวหน้าจงเอ่ยทันที “ก่อนหน้านี้หลายวัน พวกเราได้เช่าแม่นางท่านหนึ่งจากที่คุมประพฤติ อายุสิบสี่ปี ตัวเล็ก แต่ใครจะไปรู้ เมื่อถึงร้านอาหารเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น ก็ถูกท่านอ๋องหนิงเข้ามาปล้นออกไปและไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่หนึ่งประโยค
คนของข้าที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในร้านอาหารก็ใช่ว่าจะไม่มี จ้าวหยุนซือของพวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ แต่ว่าท่านอ๋องหนิงมีอำนาจบาตรใหญ่ ข้าน้อยไม่กล้าเข้าไปวิ่งชนเข้าหาขอรับ
ตอนนี้แม่นางหญิงท่านนี้ก็ได้อยู่ในจวนของท่านอ๋องหนิงเป็เวลาสามวันแล้ว คนที่เราเช่ามาสูญหายไปเยี่ยงนี้ จะไปเจรจากับผู้ดูแลที่คุมประพฤติอย่างไร ดังนั้นข้าน้อยจึงมาหาคุณหนูเพื่อขอร้องให้เป็ผู้ตัดสินให้ขอรับ”
บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบสงัดทันใด...เงียบเสียจนเข็มเล่มหนึ่งตกลงมาบนพื้นก็อาจได้ยินเสียง มันเป็ไปได้ถึงเพียงขั้นนั้น
รุ่ยหลานกับชิวหลู่ที่ฟังอยู่ข้างๆ นั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นยังรู้สึกเหมือนมีเหงื่อเย็นออกมาทันที
ท่านอ๋องหนิงเป็ใคร คนในต้าเยี่ยนมีหรือที่ไม่รู้?
ท่านอ๋องหนิง สกุลยวี้ฉือ ชื่อจินิ เป็ผู้สนับสนุนกองกำลังทหารและเป็ผู้นำที่เก่งกาจในการนำกองทัพทำา ในฐานะอนุชาของฮ่องเต้ เขาได้รับความเมตตาอย่างมาก และยังเคยยกทายาทของตนให้เป็รัชทายาทของฮ่องเต้ ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นฮ่องเต้เองก็มีพระโอรสแล้ว จึงส่งรัชทายาทองค์นั้นคืนกลับให้ท่านอ๋องหนิง ตำแหน่งของท่านอ๋องหนิงไม่ธรรมดาเสียเลย
ทว่า ในขณะที่ท่านอ๋องหนิงมีข้อดีมากมาย แต่ว่าที่สุดแล้วเขาเป็คนลามกและเผด็จการ หากเขาชื่นชอบลูกสาวหรือภรรยาของบ้านไหนแล้ว เขาจะปล้นเอามาซึ่งๆ หน้า เหตุการณ์เช่นนั้นใช่ว่าเขาจะไม่เคยทำมาก่อน
ปัญหาดังกล่าว จะให้ฉินหยีหนิงซึ่งเป็ผู้หญิงไปจัดการได้อย่างไร?
ในขณะที่รุ่ยหลานและชิวหลู่รู้สึกว่าใจไม่สงบนิ่งและกำลังเช็ดเหงื่ออยู่นั้น กลับได้ยินเสียงของนายหญิงชัดแจ๋ว
“หัวหน้าจงนี่ก็แปลกคนนะ วิธีการมาขอความช่วยเหลือของท่าน ข้าเพิ่งจะได้เห็นเป็ครั้งแรก ในเมื่อท่านไม่อยากพูดความจริงออกมา ถ้าอย่างนั้นก็เชิญท่านเถิด” เมื่อพูดเสร็จ นางก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา
ยกน้ำชาส่งแขก?
บ่าวต่างยืนอึ้งกันชั่วพักหนึ่ง แต่ว่ารุ่ยหลานมีปฏิกิริยาที่เร็วหน่อย นางเดินไปเชิญหัวหน้าจงให้ออกไป
หัวหน้าจงนิ่งงันจนอ้าปากตาค้าง และมองเด็กสาวด้วยความใ เห็นเพียงฉินหยีหนิงที่ไม่ได้มีสีหน้าใหรือเปลี่ยนแปลงอะไรใดๆ นางยังคงไว้ซึ่งความสวยสง่ามารยาทดี และรอยยิ้มของนางก็อ่อนโยนราวกับต่อให้ลมและฝนแรงสักเพียงไหน นางก็ไม่หวั่นไหว เขารีบเอาความคิดดูิ่เมื่อสักครู่ออกไป ไม่กล้ามองว่านางเป็เพียงแค่เด็กสาวอีก ‘ตุบ’ เสียงคุกเข่าดังขึ้น
“ตงเจียใจเย็นๆ ขอรับ”
ฉินหยีหนิงกล่าวตอบ “ในเมื่อหัวหน้าจงจะมาขอให้ข้าช่วย ก็อย่ามาปิดบังข้าหน่อยเลย ปกติแล้วพวกท่านเช่าคนจากที่คุมประพฤติมาแล้ว ข้าไม่เชื่อว่ามีคนที่สูญหายแล้วไม่มีวิธีจัดการเลย ตอนนั้นพวกท่านจัดการกันอย่างไรหรือ? มาวันนี้ในเมื่อจัดการไม่ได้ แน่นอนว่าเื่มันไม่ธรรมดา ท่านเอาความจริงมาพูดให้เข้าใจเถิด บางทีข้าอาจจะสามารถคิดวิธีช่วยเหลือท่านก็ได้”
หัวหน้าจงคุกเข่า เขาก้มศีรษะจรดพื้นพร้อมพูดขึ้น “ตงเจีย ชิวหาว แม่นางหญิงที่ถูกท่านอ๋องหนิงปล้นตัวออกไป นางสกุล ถาง มีนามว่า เิ เป็ลูกสาวคนเดียวของไท่อี2ที่ได้ถูกตัดสินว่าเป็คนวางยาพิษหวงโฮ่ว และถูกตัดสินปะาชีวิตทั้งครอบครัวเก้าลำดับ สมาชิกในครอบครัวถางไม่สามารถรับข้อความผิดนี้ได้ จากนั้นพวกเขาก็ฆ่าตัวตายกันทั้งหมดแล้ว และหญิงสาวสกุลถางท่านนี้ เป็เพราะว่าเมื่อหกเดือนที่แล้ว นางได้หนีออกจากบ้าน ทำให้รอดพ้นภัยนี้ได้ แต่ต่อมานางถูกจับกุมและถูกส่งไปที่ที่คุมประพฤติ จากนั้นก็ถูกเช่าออกมา”
ประโยคหลังนี้ถึงแม้ว่าหัวหน้าจงไม่ได้พูด ฉินหยีหนิงก็เข้าใจแล้ว
เมื่อก่อนนางอยู่ในชนชั้นราษฎร สิ่งที่ประชาชนธรรมดารู้ข่าวลือนั้นแน่นอนว่าจะรู้มากกว่าผู้ดีในเมืองหลวงเสียอีก
ฮ่องเต้อ่อนแอไม่มีความสามารถ อายุก็จะหกสิบแล้ว แต่กลับหลงรักฉาวซื่อหวงโฮ่วที่มีอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ เพียงคนเดียว
ฉาวซื่อคนนี้ เกิดมาในสกุลที่มีชื่อเสียง บิดาของนางเป็อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท มีนามว่า ฉาวปิ่งจง
ลูกสาวของฉาวไท่ซือ3เป็หวงโฮ่ว ส่วนลูกศิษย์เป็องค์ชายรัชทายาท ในราชสำนักตอนนี้เขาเป็ผู้ที่มีอำนาจมาก กระทำการใดก็ไม่แปลกประหลาด
แต่ว่าฉาวซื่อหวงโฮ่วกล่าวกันว่ามีรูปลักษณ์งดงามและมีเสน่ห์ ไม่เพียงแต่เป็ที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากที่สุด แต่นางก็ยังเข้าแทรกแซงการเมืองของราชสำนักอีกด้วย ซึ่งไม่แตกต่างจากประวัติศาสตร์อย่าง ต๋าจี่ เปาซื่อ เฟยเยี่ยน เหอเต๋อ
ในชนชั้นราษฎรต่างก็ไม่เรียกฉาวซื่อว่าหวงโฮ่ว แต่เรียกนางว่าปีศาจหวงโฮ่ว ทุกคนต่างบอกว่า ที่ฮ่องเต้อ่อนแอเช่นนั้น ก็เพราะว่ามีปีศาจหวงโฮ่วคอยบงการอยู่
เื่ของบ้านสกุลถาง ในระหว่างทางที่ฉินหยีหนิงเดินทางกลับมายังเมืองหลวง นางก็ได้ยินมาบ้างแล้ว
กล่าวกันว่าไท่อีบางคนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสตรีสกุลชั้นสูง เพื่อหวังว่าจะกวาดล้างปีศาจหวงโฮ่วออกไป และนำฮ่องเต้ผู้ฉลาดหลักแหลมคนนั้นกลับคืนมา ทำให้เขาใช้ตำแหน่งของตนวางยาพิษให้ปีศาจหวงโฮ่ว นึกไม่ถึงเลยว่า ปีศาจหวงโฮ่วชะตาแข็ง ยาพิษไม่สามารถทำให้นางสิ้นชีวิตได้ กลับกันต้องทำให้ไท่อีท่านนั้นต้องชดใช้ชีวิตด้วยการรับโทษปะากันทั้งบ้าน
ครั้นได้ยินในสิ่งที่หัวหน้าจงพูด ฉินหยีหนิงก็รู้ประวัติความเป็มาของแม่นางถางเิท่านนี้แล้ว
หัวหน้าจงเหมือนก้นโดนไฟไหม้รีบแจ้นมาที่นี่ อีกทั้งยังอ่อนน้อมก้มกราบเช่นนี้ สิ่งที่ฉินหยีหนิงเคยสงสัยในตอนแรก นางก็เข้าใจหมดแล้ว
บิดาของถางเิเป็ผู้วางยาพิษหวังสังหารปีศาจหวงโฮ่ว นางเป็ลูกกำพร้าของ ‘วีรบุรุษ’ ถูกจ้าวหยุนซือนำตัวกลับมาแต่ไม่ได้ดูแลให้ดี นึกไม่ถึงว่าจะถูกท่านอ๋องหนิงลามกคนนั้นปล้นนางออกไป อีกอย่างเขาได้จับตัวนางไปแล้วถึงสามวัน
ในสามวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกๆ คนย่อมสามารถคาดเดาออกได้ทั้งนั้น
คิดว่าสตรีชั้นสูงเ่าั้ก็คงจะทรมานหัวหน้าจงมาไม่น้อยแล้ว
สตรีขุนนางชนชั้นสูงเ่าั้ ไม่สามารถต่อสู้กับฉาวไท่ซือได้ ไม่สามารถต่อกรกับหนิงหวางได้ แต่ว่าต่อสู้กับหัวหน้าตัวเล็กๆ ผู้นี้ย่อมทำได้
หัวหน้าจงมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัวลูกชายหลานชาย ถ้าครั้งนี้เขาจัดการไม่ดี เกรงว่าในอนาคตคนในครอบครัวของหัวหน้าจงคงไม่มีที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างแน่นอน และหากจัดการไม่ดีอีก ก็อาจจะถึงแก่ชีวิตก็เป็ได้
“ก็ไม่แปลกว่าทำไมหัวหน้าจงรีบร้อนอย่างกับไฟไหม้ถึงเพียงนี้” ฉินหยีหนิงนิ่วหน้าและเอ่ยขึ้น “เื่ที่เ้าพูดมาข้าเข้าใจแล้ว เ้ากลับไปเถิด”
นึกไม่ถึงว่านางไม่มีการแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด!
หัวหน้าจงพูดอย่างร้อนรน “ตงเจีย ขอร้องตงเจียโปรดเมตตาชี้แนะวิธีการให้หน่อยเถิดขอรับ คนในครอบครัวของข้าน้อยจะต้องขอบพระคุณและจะทดแทนบุญคุณท่าน จะจงรักภักดีต่อท่านไปชั่วชีวิตนี้เลยขอรับ”
“หัวหน้าจง” ฉินหยีหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เ้าคิดว่า ข้าจะทำอะไรได้?”
คำพูดประโยคนั้นราวกับถูกน้ำเย็นสาดลงบนศีรษะ
ก็ใช่ แต่เดิมเ้าของกิจการเป็ผู้มีพร์อย่างซุนหยู่ ทั้งยังไม่คิดรับความเดือดร้อนนี้
วันนี้เ้าของกิจการเป็เพียงแค่ผู้หญิงลูกผู้ดีท่านหนึ่ง นางจะสามารถทำอะไรได้หรือ?
นี่เขากำลังเลือกหมอรักษาไม่ถูกกับโรคที่ตนเป็อยู่จริงๆ เสียแล้ว!
หัวหน้าจงโค้งคำนับด้วยความสิ้นหวัง เขาสามารถคาดเดาอนาคตของครอบครัวได้แล้ว บางทีเขาอาจจะสิ้นชีวิตในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็เป็ไปได้
ฉินหยีหนิงยกน้ำชาขึ้นมาอีกครั้ง
ฝ่ายหัวหน้าจงก็คำนับตามธรรมเนียมอย่างสุภาพ และรุ่ยหลานเป็คนส่งเขาออกไป
ฉินหยีหนิงค่อยๆ วางถ้วยชาลง ก่อนที่ใบหน้าไม่แยแสเมื่อสักครู่ของนางจะหายไป นางขมวดคิ้วและเม้มริมฝีปากแดง ในหัวใจของนางดูเหมือนจะถูกทับด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ นางเดินไปเดินมาในห้อง ก่อนที่จะรู้สึกอึดอัดใจมาก จึงเดินออกไปที่ลานหน้าบ้าน
ภายใต้ท้องฟ้ามืดสลัว ลานขนาดเล็กล้อมรอบด้วยป่าไผ่และต้นไม้ มองดูราวกับว่าระยะระหว่างท้องฟ้าและพื้นดินจะห่างกันเพียงไม่ถึงคืบเท่านั้น
นางมีความโกรธในใจ นางได้รับแรงกระตุ้นจากอารมณ์ที่เรียกว่าความยุติธรรมพุ่งออกมา
“สัตว์นรก!”
ฉินหยีหนิงทนไม่ไหว จึงด่าทอออกมาเป็เสียง นางเตะเก้าอี้หินอย่างแรง นึกไม่ถึงเลยว่าเก้าอี้หินกลมนั้นจะล้มไปกับพื้น ส่งเสียง ‘ปัง’ ดังลั่น
รุ่ยหลานกับชิวหลู่ทั้งสองต่างก็ใ แม่นมจู้ที่อยู่ในห้องไม่กล้าออกมา แต่ว่าแม่นมจานกลับออกมายืนอยู่ข้างนอกประตูบริเวณห้องข้างๆ นางมองฉินหยีหนิงด้วยความสงบนิ่ง
รุ่ยหลานเข้าไปประคองฉินหยีหนิง “คุณหนูอย่าโมโหเลย ระวังสุขภาพด้วยนะเ้าคะ”
ชิวหลู่เป็คนที่จงรักภักดีจริงๆ นางกังวลและรีบร้อนจึงเอ่ยขึ้น “คุณหนูเื่ของแม่นางสกุลถางท่านนั้น คุณหนูคิดว่าจะทำอย่างไรดีเ้าคะ? ครอบครัวของแม่นางสกุลถางต่างก็เป็คนดี มีจุดจบเช่นนี้ น่าสงสารจริงๆ เลยเ้าค่ะ ”
***********************
1 ตงเจีย เป็คำที่ใช้เรียกเ้าของกิจการ และฉินหยีหนิงเป็เ้าของกิจการจ้าวหยุนซือ คนทำงานในเครือจ้าวหยุนซือจึงเรียกนางว่าตงเจีย
2 ไท่อี ใช้เรียกแพทย์ในราชสำนัก
3 ไท่ซือ ใช้เรียกอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท ในที่นี้ก็คือ ฉาวไท่ซือ ซึ่งเป็อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท