“ก็ไม่ได้มีอะไรที่ไม่ดีนี่” ฮูหยินติ้งกั๋วกงยกหางตาและเลิกคิ้วสูง ใบหน้าของนางยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม “เ้าไม่เข้าใจเด็กคนนั้น ข้ากลับรู้สึกว่านางมีความสามารถที่จะจัดการให้ดีได้”
“ท่านย่าเชื่อมั่นในตัวนางเช่นนั้นเลยหรือ?” ซุนหยู่ยิ้มอย่างทะเล้น
ฮูหยินติ้งกั๋วกงจึงอธิบายความคิดของนาง “ข้าก็แค่รู้สึกว่าเด็กคนนี้ดีมาก หลายปีมานี้ลำบากข้างนอกมามาก คิดว่าเด็กหญิงที่สามารถเข้มแข็งต่อสู้กับความยากลำบากและสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้ จะสามารถผ่านความยากลำบากนี้ได้ดีกว่าดอกไม้อ่อนแอที่เติบโตมาในบ้านอุ่นๆ ก็แล้วกัน บวกกับการที่นางมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดเกินผู้คน สามารถมองเห็นสถานการณ์รวมๆ ได้ชัดเจน สันดานของนางนั้นดีและบริสุทธิ์มากๆ ด้วย ข้าคิดว่า เื่นี้เป็การกระชับความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพวกเรากับนาง อีกด้านหนึ่งก็ถือเป็การทดสอบนางไปในตัวด้วย ก็ทำให้ข้าเข้าใจนางอย่างถ่องแท้มากขึ้น”
“ดูท่านย่าชื่นชมนางราวกับบุปผาอย่างไรอย่างนั้น เอาเถอะขอรับ ความจริงแล้วก็ไม่ได้มีอะไรมาก ถึงแม้ว่าเื่นี้จะใหญ่โต แต่ว่าน้องหยีเจี่ยร์ก็เป็ลูกสาวตระกูลผู้ดี ไม่สามารถพัวพันกับนางได้ ที่เลวร้ายมากที่สุดก็คงจะตัดหัวหน้าออกไป ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับนางนะขอรับ”
“ใช่ ข้าก็คิดเช่นนี้” สายตาของฮูหยินติ้งกั๋วกงมีความจริงจังและสงบนิ่ง ก่อนพูดว่า “หากเื่นี้นางจัดการปัญหาได้ไม่ดี อย่างมากก็แค่ให้หัวหน้าออกไป นางเป็ถึงลูกสาวของอัครมหาเสนาบดี สตรีชนชั้นสูงเ่าั้ ถึงจะโทษก็โทษไม่ถึงนางแน่นอน อีกทั้งนางยังมีบิดาคอยปกป้องไว้อยู่ รวมถึงตำแหน่งของเ้าในราชสำนัก การที่จะจัดการเื่นี้ถือว่าเป็เื่ยาก ทำไมถึงไม่เอามันออกไปเสียล่ะ เอาให้เด็กสาวตัวเล็กๆ จัดการ คนรอบข้างจะได้ไม่มีใครกล่าวหาว่าเ้ากลัวผู้ที่มีอำนาจอย่างไรล่ะ”
“ใช่ขอรับ เหตุผลนี้แหละขอรับ” ซุนหยู่ถอนหายใจ “แต่ว่าตระกูลถางทำเื่เสียหาย สตรีชนชั้นสูงเ่าั้ต่างก็รอความหวังจากข้า แต่ข้ากลับหดคอเข้ามา แล้วให้กิจการนี้กับคนอื่น เื่นี้จะทำให้คนเขาพูดดีได้อย่างไรกัน อีกทั้งอุปนิสัยท่านลุงคนนั้น ท่านแม่ก็รู้ดี ก็เกรงว่าเขาจะหักหลัง ให้น้องหยีเจี่ยร์ต้องมารับผิดชอบแทนขอรับ”
“ถึงแม้ว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ฉินเิก็ไม่ได้เห็นด้วยกับสตรีชนชั้นสูงเ่าั้มาก่อนอยู่แล้ว อีกอย่างเื่ของตระกูลถางจะสามารถเป็เื่เล็กได้หรือ? ทำร้ายหวงโฮ่วนั่นเป็โทษใหญ่ ไม่ใช่แค่ฮ่องเต้ที่โปรดปรานหวงโฮ่วมาก ก็ยังมีฉาวไท่ซืออีก จะปล่อยคนที่ทำร้ายลูกสาวของตนเองให้ลอยนวลหรือ? ถึงแม้จะเข้าปากของท่านอ๋องหนิงไปได้แล้ว แต่จะสามารถหลบหนีฉาวไท่ซือไปได้หรือ?”
ซุนหยู่มีสีหน้าเ็าลง เขาเอ่ยอย่างลังเลใจ “ข้ารู้ที่ท่านย่าพูดนั้นมีเหตุผล เพียงแต่ว่าข้าเพียงแค่ไม่ได้รู้สึกว่าสตรีชนชั้นสูงเ่าั้กระทำผิด หากจะโทษก็ต้องโทษปีศาจหวงโฮ่วที่โชคชะตาแข็งแกร่ง ถางไท่อีใช้คนทั้งครอบครัวร่วมแผนการด้วย เพียงแค่ทำให้นางถูกพิษเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ฮ่องเต้ก็ได้กลายเป็คนอ่อนแอมากยิ่งขึ้น จริงๆ เลย...”
“ิเกอร์ จงระมัดระวังคำพูดด้วย” ฮูหยินติ้งกั๋วกงตักเตือนทั้งบอกเสียงต่ำ “บางคำ เ้าเข้าใจแค่เพียงในใจของเ้าก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็ต้องพูดออกมาก็ได้ หากคนข้างนอกก็ไม่ระมัดระวัง เกรงว่าจะทำให้เป็เื่ร้ายแรงได้? อุปนิสัยของเ้าก็เข้มงวดเกินไปอยู่หลายส่วน เ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาอย่างละมุนละม่อมและมองการณ์ไกล มันถึงจะสามารถอยู่ได้นานและไปได้ไกล”
ซุนหยู่รีบคำนับและเอ่ยตอบรับ “ขอรับ หลานจะทำตามคำแนะนำของท่านย่าขอรับ”
ฮูหยินติ้งกั๋วกงเห็นว่าบรรยากาศมีความกดดันมากเกินไป จึงเปลี่ยนหัวข้อเป็พูดคุยเื่ในบ้านในเรือนเสียแทน
**
ในรถม้าตอนนี้ ฉินฮุ่ยหนิงมองดูซุนซื่ออย่างน่าสงสาร
เครื่องสำอางสีกุหลาบที่ริมฝีปากของนางได้ถูกเช็ดออกหมดแล้ว อีกทั้งนางแต่งตัวสีเรียบๆ บวกด้วยในหยาดน้ำในดวงตาของนาง รวมถึงสีหน้าที่น่าสงสาร มองเห็นแล้วก็เหมือนสัตว์ตัวน้อยๆ ที่ถูกคนรังแก
สายตาอ่อนโยนมองไปที่ซุนซื่ออยู่ตลอด จนในที่สุดซุนซื่อก็ถอนหายใจออกมา
“ฮุ่ยเจี่ยร์ วันหลังเ้าจะต้องไม่เป็เยี่ยงนี้แล้ว ต่อหน้าคนในครอบครัวของท่านยายของเ้า อย่างน้อยเ้าก็ควรนึกถึงเกียรติของครอบครัวเราบ้าง แต่เดิมเ้าก็รู้ว่าคนในครอบครัวของท่านยายของเ้าไม่ชอบพฤติกรรมอย่างในจวนของเราเช่นนี้ การปฏิบัติก็ไม่เหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้เรียกหยีเจี่ยร์ว่าเสี่ยวซีต่อหน้าพี่สาวน้องสาวของเ้าล่ะ? หยีเจี่ยร์กลับมาก็หลายวันแล้ว ทำไมเ้าถึงยังไม่จำชื่อของนางอีก?”
น้ำตาของฉินฮุ่ยหนิงราวกับเส้นสร้อยไข่มุกโดนตัดทำให้ไข่มุกร่วงลงมา “ลูกแค่เรียกนางเช่นนี้จนชินแล้ว ครั้งแรกก็เรียกเสี่ยวซี จากนั้นก็ชินที่จะเรียกเช่นนี้ ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อยเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งกำลังก้มศีรษะทำสมาธิอยู่ ทำเป็เหมือนไม่ได้ยิน
ซุนซื่อมองไปที่ฉินหยีหนิงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็มองมาที่ฉินฮุ่ยหนิงที่กำลังร้องไห้ราวกับดอกมะลิเรียกฝน พลอยคิดว่าโชคชะตาของเด็กคนนี้ก็ลำบากเช่นกัน ถูกสับเปลี่ยนจากเปลมาั้แ่ยังแบเบาะ เด็กทารกคนหนึ่งจะไปรู้อะไร? มันไม่ใช่ความผิดของนางเสียหน่อย นางกลัวและไม่สบายใจเช่นนี้ก็สามารถที่จะเข้าใจได้
คิดได้เช่นนั้น ซุนซื่อก็ใจอ่อน เอาผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ฉินฮุ่ยหนิงเช็ดน้ำตา “ร้องไห้อะไร อย่างกับแมวน้อย สักครู่จะเจอคนได้อย่างไร? คนที่ไม่รู้ก็คงจะนึกว่าคนในจวนติ้งกั๋วกงรังแกเ้าแล้ว”
ฉินฮุ่ยหนิงรีบเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว นางพูดอย่างกังวล “ข้าไม่ร้องไห้แล้ว ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ เ้าค่ะ”
“ข้ารู้ วันหลังเ้าจะต้องระวังให้มากกว่านี้ คำพูดล้อเล่นเพียงแค่ประโยคเดียว อาจจะทำให้คนทั้งหมดต้องรับโทษ เมื่อสักครู่ที่เ้าพูดมานั้น ก็ไม่รู้ว่าพี่สาวน้องสาวจะคิดอย่างไร”
“คนในจวนติ้งกั๋วกงต่างก็เป็คนที่มีจิตใจดี คงไม่คิดอะไร” ฉินฮุ่ยหนิงสั่งน้ำมูกและแสดงรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ต่อหน้าซุนซื่อ
หลังได้ยินคำตอบ ซุนซื่อไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรแล้ว
ครั้นบทสนทนาของทั้งสองสิ้นสุดลง ฉินหยีหนิงจึงลืมตาขึ้น เหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม นางมองไปที่ฉินฮุ่ยหนิงครั้งหนึ่ง พลางเอ่ยขึ้น “คุณหนูฮุ่ยหนิงอย่าได้สับสนในนิยามนี้เลย เ้าพูดผิด คนข้างๆ เขาไม่ได้เอามาคิดมากด้วย นั่นหมายความว่าเขาใจกว้าง เ้าสามารถพูดประโยคเช่นนั้น เป็เพราะว่าอุปนิสัยของเ้านั้นมีความหม่นหมอง ทั้งสองมีความหมายเดียวกันหรือ? ท่านแม่สั่งสอนเ้า นั่นก็คือสั่งสอนอุปนิสัยของเ้า แต่เ้ากลับคิดว่าคนในบ้านติ้งกั๋วกงไม่คิดอะไรมาก นั่นเป็เื่ที่ชอบธรรมแล้วหรือ?”
น้ำตาของฉินฮุ่ยหนิงร่วงลงมาอีกครั้ง ราวกับเปิดก๊อกออกมาอย่างไรอย่างนั้น นางสะอึกสะอื้นและเอ่ยขึ้น “เสี่ยวซี...หยีหนิงพูดก็ใช่ ข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ตั้งใจน่ากลัวเสียยิ่งกว่าตั้งใจเสียอีก ตั้งใจอย่างน้อยก็บอกได้ว่าเ้ายังมีความคิดรู้ผิดชอบชั่วดี อย่างน้อยในใจรู้ว่าเื่นี้เป็เื่ที่ผิด แต่เพียงแค่อดไม่ได้ที่มีจิตใจริษยาจึงทำเช่นนั้น แต่ถ้าไม่ตั้งใจ อย่างนั้นหมายความว่า แม้แต่รู้ผิดชอบชั่วดีทั้งหลายนั้นเ้าก็ไม่มี ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดไปแล้ว ทำร้ายคนอื่นแล้วยังมีหน้ามาทำตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ มันน่ารังเกียจเสียยิ่งกว่าตั้งใจเสียอีก”
ฉินหยีหนิงพูดรัวเร็วราวกับยิงด้วยปืนใหญ่ ดวงตาของนางจ้องมองที่ฉินฮุ่ยหนิง จนทำให้คู่สนทนาเสมือนเป็ใบ้ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย ทำได้เพียงปกปิดใบหน้าและร้องไห้
ไม่ปกปิดใบหน้าไม่ได้สิ เพราะว่านางเคยโดนฉินหยีหนิงตบหน้ามาก่อน ฉินฮุ่ยหนิงแค่มองสบตากับอีกฝ่ายเพียงครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกเย็นะเืไปทั้งตัว รู้สึกว่ากำปั้นของฝ่ายนั้นกำลังจะมากระทบใบหน้าของนางในอีกไม่ช้า
อีกอย่างนางนึกไม่ออกที่จะหาคำโต้แย้งในเหตุผลของฉินหยีหนิง
ซุนซื่ออยู่ไม่ห่างได้ยินเช่นนั้น ก็กลับมาครุ่นคิด
คำพูดของฉินหยีหนิงเมื่อสักครู่ คำต่อคำกระแทกมาที่หัวใจของนางทั้งหมด อุปนิสัยของนางเป็คนหุนหันพลันแล่นอยู่หลายส่วน แค่ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองโง่เง่า เพียงแค่บางครั้งใช้ความรู้สึกในการแก้ปัญหา ถูกคนอื่นพูดชักจูงง่ายดาย เพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็ถูกจูงใจได้แล้ว ทำให้ถูกปิดตาสองข้างได้
ท่านแม่บอกว่า ฉินหยีหนิงมองเื่ราวได้ชัดแจ้ง แต่เดิมนางไม่เชื่ออย่างนั้น แต่คราวนี้ได้ยินถ้อยคำของเด็กสาวซึ่งพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถเปิดเื่ราวทำให้เข้าใจ นางจะไม่ยอมรับไม่ได้อีกแล้ว เพราะท่านแม่มักดูคนไม่ผิดอย่างแน่นอน
ทว่าลูกสาวที่นางเลี้ยงมากับมือ นึกไม่ถึงว่าอุปนิสัยจะเป็เช่นนี้เลยหรือ?
มีหลายส่วนที่ซุนซื่อไม่สามารถยอมรับได้ ในความคิดของนาง ฉินฮุ่ยหนิงเป็คนอ่อนโยนสง่างามมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็คนถ่อมตัวและเป็เด็กดีต่อพี่สาวน้องสาว ทว่าั้แ่ฉินหยีหนิงกลับมา เสมือนว่านางเปลี่ยนไปเป็คนละคน เปลี่ยนไปจนกลายเป็ฝ้ายซ่อนเข็มไปแล้ว
ในฐานะที่นางเป็แม่ ถึงแม้ว่าจะเข้าใจที่มาของความไม่สงบใจของฉินฮุ่ยหนิง แต่ว่าในจวนติ้งกั๋วกงวันนี้ ผู้เป็มารดากระแทกตบตีด้วยคำพูดอยู่หลายครั้ง ก็กำลังจะบอกว่า แม้แต่ผู้าุโก็ไม่ค่อยชื่นชอบนาง คงจะเห็นอุปนิสัยของนางว่ามีปัญหาแล้ว
ในรถม้า ฉินหยีหนิงยิ่งเอาเื่ราวมาเปิดออกทีละกลีบ...
ซุนซื่อรู้สึกว่าสมองของนางมีความสับสนอยู่เล็กน้อย
ฉินหยีหนิงไม่ยอมมองฉินฮุ่ยหนิงที่กำลังร้องไห้ และทำท่าราวกับว่าถูกคนอื่นรังแก ยามนั้นนางก้มหน้ามองลวดลายดอกไม้บนมุมกระโปรง จากนั้นก็ก้มหน้าทำสมาธิของตนต่อไป
และแล้วรถม้าก็ตกอยู่ในความสงบ...เงียบสงบจนฉินฮุ่ยหนิงเองต้องตกตะลึง รู้สึกว่าเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของตนนั้นเป็เสียงดังเสียงเดียวในห้องโดยสาร นางรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง จึงไม่ส่งเสียงร้องอีก ทั้งยังไม่มีทางเลือกอื่น
แต่หลังจากหยุดร้อง ฉินฮุ่ยหนิงหันมองไปทางซุนซื่อซึ่งกำลังเหม่อลอย จากนั้นก็หันไปมองที่ฉินหยีหนิงที่กำลังก้มหน้าเงียบ นางรู้สึกว่าการที่นางเป็เช่นนี้ มันทำให้สถานะของตนเองยิ่งด้อยค่า
ถึงกระนั้นขณะที่นางกำลังจะเปิดปากพูด บ่าวข้างนอกที่ติดตามรถม้าข้างหลังก็ะโออกมา “ฮูหยิน คุณหนู พวกเราถึงบ้านแล้วเ้าค่ะ”
นางเก็บทุกถ้อยคำเอาไว้ในใจ ฉินฮุ่ยหนิงกัดริมฝีปากล่างของนางด้วยความโกรธและหงุดหงิด จนกระทั่งลงจากรถม้า นางถึงจะควบคุมอารมณ์ได้และไม่ได้ทำให้ตัวเองดูน่าเกลียดเกินไป
คนกลุ่มหนึ่งกลับมาถึงจวน แน่นอนว่าต้องไปเรือนสื่อเซี่ยวเพื่อไปคำนับล่าวไท่จุนก่อน
ขณะนั้นเรือนของล่าวไท่จุนกำลังจัดเตรียมอาหารเย็น ซุนซื่อก็รีบถอดเสื้อคลุมและก้าวเท้าเข้าไปดูแลรับใช้ใส่กับข้าวพร้อมๆ กับฮูหยินสองและฮูหยินสาม
ฉินฮุ่ยหนิงกับฉินหยีหนิงก้มศีรษะยืนอยู่ข้างๆ ล่าวไท่จุนกำลังรับประทานอาหาร เมื่อสังเกตเด็กทั้งสองคน เห็นั์ตาของฉินฮุ่ยหนิงออกแดงๆ จึงนิ่วหน้าขึ้นมา
“ฮุ่ยเจี่ยร์เป็อะไรหรือ? ทำไมถึงร้องไห้ด้วยล่ะ? เป็เพราะมีคนรังแกเ้าหรือ?”
ล่าวไท่จุนวางตะเกียบลง และโบกมือไปที่ฉินฮุ่ยหนิง
มีฉากในรถม้าเมื่อสักครู่แล้ว มีที่ไหนที่ฉินฮุ่ยหนิงยังจะกล้าพูดเท็จให้เป็จริงต่อหน้าอีก เพียงแค่ผงกศีรษะ “ไม่ใช่เ้าค่ะ ท่านย่าเอามาจากไหนกัน จะมีคนรังแกหลานที่ไหนกันเ้าคะ เป็เพียงแค่เศษฝุ่นเข้าตาทำให้ตาระคายเคืองก็เท่านั้นเองเ้าค่ะ”
“เศษฝุ่นเข้าตาทำให้ตาระคายเคือง? ตาผู้อื่นทำไมถึงไม่ระคายเคืองล่ะ เ้าถูกรังแกก็พูดออกมาเถิด ย่าจะช่วยหลานเอง”
ฮูหยินสองกับฮูหยินสามมองหน้ากัน มีความอยากรู้ผุดขึ้นมา ล่าวไท่จุนพูดออกไปทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้ถูกรังแกอะไรในจวนติ้งกั๋วกงหรือเปล่า
ซุนซื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น พลางพิจารณาปฏิกิริยาของล่าวไท่จุนและคำพูดที่ฉินหยีหนิงได้เอ่ยบนรถม้าเมื่อสักครู่ ทุกอย่างมีความเหมาะเจาะมาก ในใจของนางยิ่งรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีก
ต่อหน้าแม่สามี ซุนซื่อไม่มีทางทำให้ฝั่งบ้านมารดาของตนต้องลดสถานะลงได้?
“ท่านแม่ อย่าเข้าใจผิดเลยเ้าค่ะ” ซุนซื่อยิ้ม เดินเข้ามาพร้อมเอ่ยขึ้น “ฮุ่ยเจี่ยร์กระทำความผิด คนในครอบครัวของท่านยายของนางไม่มีใครว่าอะไรนางเลย เป็เพราะข้าสั่งสอนนางหลายประโยคตอนที่อยู่บนรถม้า ไม่มีอะไรมากเ้าค่ะ ทำไมถึงทำให้ท่านแม่ใถึงเพียงนี้ล่ะเ้าคะ”
ฉินฮุ่ยหนิงกัดฟันตนเองจนเกือบจะแตกอยู่แล้ว แต่นางไม่กล้าทำให้ซุนซื่อต้องโมโห นางไม่อาจสูญเสียซุนซื่อซึ่งเป็ที่พึ่งพิงที่ใหญ่เท่าูเาไปได้ ดังนั้นนางจึงรีบเอ่ยขึ้น “ใช่เ้าค่ะ เป็เพราะข้าทำความผิดเอง”
ซุนซื่อก็เอ่ยออกมาอีก “วันนี้ไปจวนติ้งกั๋วกง ท่านยายของหยีเจี่ยร์ยังให้ของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งให้กับนาง เอากิจการในเครือจ้าวหยุนซือทั้งหมดให้นางเป็คนจัดการ” เมื่อพูดถึงตอนนี้ ซุนซื่อเสมือนมีเกียรติและความภาคภูมิใจ นางเหยียดหลังตรง จากนั้นก็พูดเร็วขึ้นและเอ่ยสัพยอก “วันข้างหน้า หยีเจี่ยร์ของพวกเราก็กลายเป็เศรษฐินีน้อยๆ แล้วสิ”
ประโยคนี้ ทำให้คนที่ได้ฟังต่างหันสายตาไปจ้องมองฉินหยีหนิงทั้งหมด
ล่าวไท่จุนตกตะลึง เอ่ยขึ้นว่า “นึกไม่ถึงว่าฮูหยินจะให้มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้”
ฮูหยินสองกับฮูหยินสามต่างก็ยิ้มและชมเชยขึ้นมา “ยากมากเลยที่ฮูหยินติ้งกั๋วกงจะรักและเอ็นดูหยีเจี่ยร์ของพวกเรา”