สายตาของเฟิงซื่อหยุดอยู่ที่ลูกเจี๊ยบที่กำลังแย่งเศษผักกัน กล่าวถามราวไม่ใส่ใจว่า “บ้านพวกเ้าเลี้ยงไก่กันแล้วหรือ คิดจะเลี้ยงมากเท่าใด?”
หลี่ิ่หานตอบยิ้มๆ “บ้านพวกเราก็เลี้ยงเท่านี้แหละขอรับ อีกไม่กี่เดือนท่านแม่จะคลอดน้องแล้ว พวกเราจะเก็บไว้ให้ท่านแม่กินตอนอยู่เดือน”
เฟิงซื่อคิดในใจว่า จ้าวซื่อตั้งท้องห้าเดือนกว่าแล้ว อีกสี่เดือนกว่าก็จะคลอด ถึงตอนนั้นไก่สิบตัวคงหนักเกือบสองชั่ง สามารถนำไปตุ๋นกินได้พอดี “พวกเ้ากตัญญูจริงๆ ให้มารดากินไก่ตอนอยู่เดือนด้วย”
จ้าวซื่อได้ยินเสียงพูดคุยกันจึงเดินออกมาที่ห้องโถง เมื่อเห็นว่าเป็เฟิงซื่อและลูกสาวจึงกล่าวทักทาย นำงานปักผ้ากลับไปเก็บไว้ในห้องนอนแล้วออกมาพูดคุยกับพวกนางที่ห้องโถงอีกครั้ง
เฟิงซื่อยัดผ้าใส่มือของจ้าวซื่อ พูดว่า “ผ้านี้มอบให้หลานชายที่ยังไม่ออกมาดูโลกของข้า อาจไม่มากเท่าใด เพียงสามฉื่อเท่านั้น แต่ก็ถือเป็น้ำใจจากข้า”
เมื่อจ้าวซื่อััผ้าผืนนั้นก็รู้ทันทีว่าเป็ผ้าฝ้าย ร้านผ้าที่ตำบลขายผ้าฝ้ายในราคาหนึ่งฉื่อสี่ทองแดง สามฉื่อนี้ก็เป็เงินสิบสองทองแดงแล้ว นางพูดอย่างยินดีว่า “เ้าเกรงใจเกินไปแล้ว”
หลี่อิงฮว๋าและหลี่หรูอี้ยกถ้วยใส่น้ำสะอาดเข้ามา แม้อยู่ในห้องโถงก็ยังได้กลิ่นหอมของเนื้อที่โชยมาจากห้องครัว
หลี่หรูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ท่านน้า พี่เยี่ยน ดื่มน้ำก่อนเ้าค่ะ”
เฟิงซื่อไม่ได้พบหน้าหลี่หรูอี้มาหลายวันแล้ว เห็นเด็กหญิงมีใบหน้ากระจ่างใส แม้จะสวมเสื้อผ้าตัวใหญ่ไม่เหมาะกับขนาดตัว แต่ก็ดูสะอาดสะอ้านและคล่องแคล่ว จึงพูดชมไปว่า “แม่เ้าบอกว่า เ้ามีฝีมือครัวยอดเยี่ยม แป้งย่างที่เ้าทำแม้แต่เทพเซียนก็ยังอยากกิน นับเป็เด็กฉลาดมากความสามารถจริงๆ”
หลี่หรูอี้หันไปยิ้มให้หวังเยี่ยนที่มีหน้าตาธรรมดา “ทุกครั้งที่ท่านแม่กลับมาจากบ้านน้าเฟิง ท่านแม่มักจะชมว่าพี่เยี่ยนปักผ้าได้ยอดเยี่ยมมากเลยเ้าค่ะ”
เฟิงซื่อมองบุตรีของตนด้วยความภาคภูมิใจ “เยี่ยนเอ๋อร์ปักผ้าไปขายที่ร้านขายผ้า เดือนๆ หนึ่งหาเงินพอเลี้ยงตนเองได้แล้ว ทั้งยังเหลือเก็บอีกด้วย”
หวังเยี่ยนก้มหน้าอย่างเขินอาย กล่าวเสียงเบา “ผ้าปักของข้าแค่ธรรมดาเท่านั้นเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อหัวเราะ “หรูอี้ ต่อไปเ้าต้องเรียนปักผ้ากับพี่เยี่ยนเสียแล้ว”
หลี่หรูอี้วางน้ำชาลงบนโต๊ะตรงหน้าของหวังเยี่ยน จากนั้นจึงโบกมือทั้งสองไปมาต่อหน้าจ้าวซื่อ “มือของข้าเหมาะกับการถือไม้นวดแป้งหยาบหนา ไม่เหมาะจะถือของเล็กๆ อย่างเข็มหรอกเ้าค่ะ ข้าเรียนไม่ไหว แต่ข้าไปเล่นกับพี่เยี่ยนได้”
หวังเยี่ยนคิดว่าหลี่หรูอี้พูดจาน่าสนใจดี จึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ “ได้”
เฟิงซื่อพูดต่อ “พวกเ้าทั้งสอง คนหนึ่งทำอาหารเป็ อีกคนหนึ่งปักผ้าเป็ ต่างก็เป็เด็กดีทั้งคู่”
หลี่อิงฮว๋าขบคิดถึงเหตุผลที่สองแม่ลูกเฟิงซื่อมาหาพลางเดินออกจากห้องโถงไปยังห้องครัว ในหม้อยังตุ๋นเครื่องในหมู มีทั้งตับ หัวใจ ไต ปอด เอาไว้จนส่งกลิ่นหอมกรุ่น ทำให้เขาอยากกินขึ้นมาทีเดียว
ไม่นานหลี่หรูอี้ก็เดินเข้ามาในห้องครัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ขึ้นไปยืนบนม้านั่งไม้ เปิดฝาหม้อออก ใช้ตะหลิวพลิกคนเครื่องในที่อยู่ในหม้อ
หลี่อิงฮว๋าหันไปมองทางห้องโถง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเดินมาจึงกระซิบเสียงเบา “น้องสาว น้าเฟิงมาทำอะไรที่บ้านเราหรือ?”
หลี่หรูอี้ปิดฝาหม้อ ก้มตัวกระซิบตอบหลี่อิงฮว๋าว่า “น้าเฟิงวางแผนไว้ดีจริงๆ ต่อไปนี้นางอยากให้บ้านเราซื้อแป้งขาวและไข่ไก่จากบ้านของพวกเขาอีก”
หลี่อิงฮว๋าถาม “บ้านพวกเขามีแป้งขาวและไข่ไก่มากเพียงนั้นเชียวหรือ?”
หลี่หรูอี้ตอบ “พวกเขาคิดจะไปรับซื้อแป้งขาวและไข่ไก่จากนอกหมู่บ้านแล้วนำมาขายให้พวกเราอีกที”
หลี่อิงฮว๋าถลึงตาโต รีบร้อนพูดว่า “แต่ครอบครัวเราก็ไปซื้อแป้งขาวกับไข่ไก่จากนอกหมู่บ้านเองได้”
“ครอบครัวเราไม่มีเวลามากขนาดนั้น และไม่มีความสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย” หลังจากเื่วันนี้ทำให้หลี่หรูอี้ต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อน้าเฟิงเสียใหม่
หลี่อิงฮว๋ารีบพูดขึ้นว่า “น้องสาว พวกเรามีเวลานะ วันนี้พี่ใหญ่กับพี่รองไปทำการค้า ให้ข้ากับน้องสี่ไปซื้อแป้งขาวและไข่ไก่จากนอกหมู่บ้าน พรุ่งนี้พวกเราก็กลับมาแล้ว”
หลี่หรูอี้กล่าวอย่างเนิบช้า “หากพวกท่านไปข้างนอกกันหมด ใครจะปกป้องข้ากับท่านแม่เล่า แล้วยังมีแปลงผักของบ้านอีก ผู้ใดจะทำ น้ำอีกเล่า ผู้ใดจะหาบ? อีกอย่างท่านนำเงินติดตัวไปซื้อแป้งขาวและไข่ไก่มาก หากมีคนคิดร้ายมาดักปล้นกลางทางจะทำอย่างไร?”
หลี่อิงฮว๋ายิ้มเจื่อน “ดูเหมือนเ้าจะพูดมีเหตุผล”
“ข้าก็มีเหตุผลอยู่แล้ว” หลี่หรูอี้กระซิบอีกครั้ง “บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านจะแยกบ้านกันแล้ว” เฟิงซื่อจะคุยกับจ้าวซื่อเื่บ้านหวังจะแยกบ้าน นางจึงออกมาจากห้องโถง ไม่คิดอยู่ฟังเื่ของครอบครัวคนอื่น
หลี่อิงฮว๋าถามอย่างแปลกใจ “น้าเฟิงยอมแยกบ้านแล้วหรือ?”
หลี่หรูอี้พยักหน้า “น้าเฟิงบอกว่านางคิดตกแล้ว อีกอย่างแยกบ้านให้เร็วเสียหน่อยจะดีกว่าด้วย”
หลี่อิงฮว๋าพูดว่า “ความจริงน้าเฟิงดูถูกพี่จื้อเกาไปแล้ว”
หลี่หรูอี้ถามอย่างแปลกใจ “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“พี่จื้อเกาบอกว่า ั้แ่ปีนี้เป็ต้นไป เขาจะรับคัดตำราให้ร้านหนังสือ หาเงินได้สองร้อยกว่าทองแดงทุกเดือน พอจ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว ต่อให้ภายหลังเขาสอบซิ่วไฉไม่ได้ ก็ยังอาศัยการคัดตำราหาเลี้ยงครอบครัวได้” หลี่อิงฮว๋าเห็นหลี่หรูอี้ไม่มีท่าทีสนใจ จึงจงใจพูดเน้นว่า “พี่จื้อเกาเพิ่งอายุสิบสอง มากกว่าข้าปีเดียว”
“เขาคิดหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัวก็ดีแล้ว” ร่างเดิมของหลี่หรูอี้ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับหวังจื้อเกาเลย ส่วนตัวนางมาที่หมู่บ้านหลี่ร้อยกว่าวันแล้ว ก็ยังไม่เคยเจอหวังจื้อเกาด้วยซ้ำ แต่เมื่อเห็นหวังจื้อเกาไม่ล้มเลิกการเรียน รู้จักอาศัยการคัดอักษรหาเงิน จึงคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็คนดีคนหนึ่ง
หลี่ิ่หานให้อาหารไก่เสร็จแล้ว เมื่อล้างมือเรียบร้อยก็เดินเข้ามาในห้องครัว มองไปยังหม้อที่มีควันสีขาวพวยพุ่ง ถามด้วยรอยยิ้มกว้างว่า “ยังทำไม่เสร็จหรือ?”
หลี่หรูอี้ชี้ไปที่โต๊ะไม้สามขาที่ตั้งพิงอยู่บริเวณมุมกำแพง บนโต๊ะมีกะละมังไม้หนึ่งใบและชามใหญ่ที่มีน้ำมันหมูอยู่ข้างใน “ใกล้เสร็จแล้วเ้าค่ะ ตรงโน้นมีไส้ทอดโรยเกลืออยู่ หากท่านหิวก็ไปกินเถิด”
หลี่ิ่หานกำลังจะกินไส้ทอดสักหลายชิ้น ทว่ากลับมีเสียงจ้าวซื่อดังมาจากห้องโถงเสียก่อน น้ำเสียงมีความภาคภูมิใจเล็กน้อย “หรูอี้ เ้านำไส้ทอดมาให้น้าเฟิงและพี่เยี่ยนของเ้าชิมสักถ้วยเถิด”
“เ้าค่ะ” หลี่หรูอี้หันไปยิ้มให้พี่ชายทั้งสอง หยิบถ้วยที่เล็กที่สุดของครอบครัวมาสองใบด้วยความคล่องแคล่ว ตักไส้ทอดใส่จนเต็ม จากนั้นจึงหยิบตะเกียบมา สองคู่แล้วเดินไปที่ห้องโถง
“เด็กคนนี้จริงๆ เลย พวกเราสองคนกินถ้วยเดียวก็พอแล้ว เ้ายังยกมาให้พวกเราคนละถ้วยอีก” เฟิงซื่อมองไส้ทอดที่ถูกย่างจนมีสีเหลืองทองน่ากิน สูดกลิ่นหอมของเนื้อเข้าไปอีกครั้ง น้ำลายแทบจะไหลลงมาจากมุมปาก
หวังเยี่ยนมองไส้ทอดไม่ละสายตา เพียงเห็นอาหารและได้กลิ่นหอมก็รู้สึกว่าอร่อยแล้ว ในถ้วยมีไส้ทอดอยู่เต็ม คงมีประมาณสามสี่ชั่งเลยทีเดียว หลี่หรูอี้คนนี้รับแขกได้อย่างใจกว้างจริงๆ
“น้าเฟิง พี่เยี่ยน นานๆ ท่านจะมาบ้านพวกเราสักครั้ง ทั้งยังยอมชิมไส้ทอดที่ข้าทำเองด้วย ข้าดีใจจึงตักให้พวกท่านมากหน่อย” หลี่หรูอี้วางถ้วยทั้งสองใบลงบนโต๊ะเบื้องหน้าสองแม่ลูกแล้วส่งตะเกียบให้
จ้าวซื่อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่ไม่ใช่ของดีอะไร มิเช่นนั้นคงนำไปให้เ้าชิมนานแล้ว”
สองแม่ลูกเฟิงซื่อไม่ได้กินเนื้อมานานแล้ว จะต้านทานความหอมหวนของมันได้ที่ไหนกัน เมื่อเริ่มกินชิ้นแรกก็ต้องคีบกินชิ้นต่อๆ ไปจนวางตะเกียบไม่ลง ไม่นานถ้วยทั้งสองก็ว่างเปล่า เหลือเพียงน้ำมันส่องประกายอยู่ก้นถ้วย
หลี่หรูอี้พูดพร้อมรอยยิ้ม “ในกะละมังยังมีเหลืออยู่ ข้าจะไปตักให้พวกท่านอีก”
เฟิงซื่อรีบพูดว่า “พอแล้ว”
หวังเยี่ยนอดชมเชยไม่ได้ “อร่อยจริงๆ คิดไม่ถึงว่าฝีมือครัวของหรูอี้จะยอดเยี่ยมปานนี้”
หลี่หรูอี้พูดถ่อมตัว “ไม่ใช่ฝีมือของข้าคนเดียวหรอกเ้าค่ะ พี่ชายข้าเป็คนทำความสะอาดไส้หมู เขาล้างจนสะอาดสะอ้านเลยเ้าค่ะ” พูดจบก็เก็บถ้วยและตะเกียบเดินกลับเข้าไปในครัว
เฟิงซื่อชอบไส้หมูที่มีรสชาติอร่อยและช่วยให้หายอยากเนื้อได้บ้าง นางมองไปที่จ้าวซื่อ ถามว่า “บ้านเ้าซื้อเครื่องในหมูมาชุดละเท่าไรหรือ?”
.......................................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้