“ไม่เสียเงิน” จ้าวซื่อยิ้ม จากนั้นจึงเล่าถึงสาเหตุที่คนขายเนื้อแซ่จางนำเครื่องในหมูมาให้ “วันนี้เจี้ยนอันและฝูคังไปที่ในตำบล บังเอิญเจอคนขายเนื้อแซ่จางเข้าเลยถูกยัดเยียดให้รับเครื่องในหมูมาชุดหนึ่งน่ะ”
เฟิงซื่อพูดกับจ้าวซื่อว่า “คนขายเนื้อแซ่จางเป็คนรู้จักตอบแทนบุญคุณจริงๆ ถึงกับให้เครื่องในหมูมาสามครั้งเชียว”
จ้าวซื่อยิ้มตอบ “ใช่แล้ว หรูอี้บอกว่า ต่อไปหากคนขายเนื้อแซ่จางให้ของมาอีก พวกเราก็ให้ผักสดเขาไปบ้าง”
เฟิงซื่อและลูกสาวนั่งอยู่อีกครู่หนึ่งจึงเตรียมตัวจะกลับ จ้าวซื่อจึงพูดขึ้นว่า “อิงฮว๋า เ้าไปตักไส้ทอดมาอีกถ้วยหนึ่งแล้วไปส่งน้าเฟิงกลับบ้านด้วย ถ้าเจอคนในบ้านน้าเฟิงให้บอกว่า ข้าให้จื้อเกากิน”
เฟิงซื่อยิ้ม “เ้าช่างดีจริงๆ คิดถึงจื้อเกาของข้าด้วย”
หวังเยี่ยนมองจ้าวซื่อด้วยสายตาซาบซึ้ง
หลี่อิงฮว๋าเดินก้าวฉับๆ ออกมาจากห้องครัว “ท่านแม่ขอรับ ตับตุ๋นพะโล้เสร็จแล้ว น้องสาวบอกว่า กินตับดีกับสายตา ข้าหั่นแบ่งไปให้พี่จื้อเกากินชิ้นหนึ่งนะขอรับ”
“หั่นเถอะ” จากนั้นจ้าวซื่อจึงพูดกับเฟิงซื่อว่า “จื้อเกาชอบจุดตะเกียงอ่านหนังสือตอนกลางคืนทำให้เสียสายตา เ้าต้องเตือนเขาบ้าง”
เฟิงซื่อพยักหน้า ใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้ม “กินแล้วยังเอากลับไปอีก ข้าคงไม่มีหน้ามาบ้านเ้าแล้ว”
จ้าวซื่อตบไหล่ที่ผอมแห้งของเฟิงซื่อ “เ้าอย่าเห็นข้าเป็คนอื่นไปเลย”
หลี่อิงฮว๋าถือชามแบบสองชั้นออกมา ้ามีตับตุ๋นพะโล้ขนาดใหญ่เท่ากำปั้นผู้ใหญ่สองชิ้น ด้านล่างมีไส้ทอด รวมกันแล้วเกือบสองชั่ง
เฟิงซื่อและหวังเยี่ยนกล่าวขอบคุณครอบครัวหลี่แล้วเดินกลับบ้านพร้อมหลี่อิงฮว๋า
ไม่นานหลี่อิงฮว๋าก็เดินกลับมาพร้อมชามแบบสองชั้นในมือ ด้านในเต็มไปด้วยถั่วลิสงที่ถูกคั่วจนมีสีแดง พูดอย่างยินดีว่า “น้าเฟิงให้ถั่วลิสงมาด้วยขอรับ”
จ้าวซื่อย่อมยินดีเช่นกัน “เก็บไว้รอพ่อเ้ากลับมาก่อนค่อยนำไปให้เขากินแกล้มเหล้า”
หลี่หรูอี้ที่อยู่ในครัวหั่นเครื่องในตุ๋นพะโล้เสร็จแล้ว นางกินกระเพาะตุ๋นไปชิ้นหนึ่งแล้วจึงเดินไปที่ลาน พูดเสียงดังว่า “รอท่านพ่อกลับมาก่อนพวกเราพี่น้องค่อยซื้อถั่วลิสงให้เขา ส่วนถั่วลิสงถ้วยนี้ท่านต้องกินทุกวันเช้าเย็นครั้งละสิบเม็ดเพื่อบำรุงเื มีประโยชน์ต่อร่างกายเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อยิ้ม “กินไข่ไก่ทุกวัน ทั้งยังกินเนื้อเป็ครั้งคราว มีอะไรต้องบำรุงอีก?”
“ผู้อื่นตั้งท้องคนเดียวแต่ท่านตั้งท้องสองคนย่อมต้องบำรุงให้มาก” หลี่หรูอี้ส่งสายตาเป็สัญญาณให้หลี่ิ่หานที่ยืนอยู่ข้างๆ จ้าวซื่อ เขาจึงรีบหยิบถั่วลิสงออกมาจากถ้วยสิบเม็ด แบ่งเป็สามส่วน แล้วจึงป้อนใส่ปากจ้าวซื่อด้วยท่าทีกึ่งบังคับ
ลูกๆ กตัญญูเช่นนี้ ในใจของจ้าวซื่อย่อมเบิกบานราวบุปผา รีบพูดว่า “พวกเ้าก็กินด้วยเถิด”
เมื่อถึงตอนเย็น ในหมู่บ้านก็มีเสียงฆ้องดังขึ้นหลายครั้ง
หลี่ิ่หานออกไปสอบถามมาแล้วจึงกลับมาเล่าด้วยท่าทางเคร่งเครียด “ตระกูลหวังเริ่มประชุมเื่แยกบ้านที่โถงบรรพบุรุษแล้ว ได้ยินว่าหัวหน้าหมู่บ้านหวัง้าแยกบ้าน”
จ้าวซื่อเอ่ยเสียงอ่อย “หวังไห่บอกจะแยกบ้านก็แยกเลยหรือ เร็วเพียงนี้เชียว”
หลี่หรูอี้กระซิบ “น้าเฟิงได้รับคำสัญญาจากบ้านเราแล้วย่อมมีความมั่นใจมากขึ้น พอกลับไปก็เห็นด้วยกับเื่แยกบ้านทันที”
จ้าวซื่อย้อนคิดไปถึงเมื่อตอนกลางวัน เฟิงซื่อเล่าให้ฟังว่าครอบครัวของหวังลี่ตงและหวังชุนเฟินทั้งเห็นแก่ตัวและเกียจคร้าน ทั้งยังมีหวังไห่ที่ไม่มีความรักใคร่ต่อกันอีก นางจึงกังวลเกี่ยวกับชีวิตต่อจากนี้ของเฟิงซื่อและลูกๆ จนอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
หลี่หรูอี้ยืนอยู่ด้านหลังมารดา จึงบีบไหล่ให้นางเป็การปลอบใจ “ท่านแม่เ้าคะ ขอเพียงครอบครัวเราซื้อแป้งขาวและไข่ไก่จากน้าเฟิงตามที่สัญญาไว้ ก็นับเป็การช่วยเหลือที่ดีที่สุดแล้ว”
จ้าวซื่อถอนใจ “เช่นนั้นพวกเราก็ทำตามที่เ้าว่าเถิด”
แสงจันทร์สาดส่องแล้ว ทว่าเื่ครอบครัวหวังไห่แยกบ้านก็ยังไม่จบ หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังเดินกลับมาจากการขายแป้งย่างต้นหอมและแป้งย่างใส่ไข่ที่ตลาดในตัวอำเภอด้วยท่าทางเร่งรีบ
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานยืนรออยู่ที่รั้วบ้านของตนนานแล้ว พวกเขามองออกไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน อาการตาบอดกลางคืนของพวกเขาดีขึ้นมากแล้ว หากมีแสงจันทร์ก็มองเห็นได้ไกลหน่อย ตอนนี้เขามองเห็นร่างอันคุ้นเคยทั้งสองปรากฏจึงรีบวิ่งเข้าไปหา
หลี่ิ่หานถามว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง เหตุใดวันนี้จึงกลับช้าเช่นนี้ ขายไม่ดีหรือ?”
หลี่เจี้ยนอันมีสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ใช่”
หลี่ฝูคังพูดอย่างร้อนใจ “เกิดเื่แล้ว”
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานใจสั่น ถามขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “เอ๋? เกิดเื่อันใด?”
หลี่เจี้ยนอันปรายตามองหลี่ฝูคังก่อนจะพูดขึ้นว่า “เ้าอย่าพูดเพียงครึ่งเดียวสิ ทำเอาน้องชายใหมดแล้ว ที่ว่าเกิดเื่ไม่ใช่พวกเราเกิดเื่หรอก กลับไปค่อยพูดกันเถิด”
หลี่ฝูคังไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน ยังไม่ทันปิดประตูห้องโถงก็อดที่จะพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ท่านแม่ โชคดีที่พวกเราพี่น้องเชื่อฟังน้องสาวจึงไม่ได้ไปขายไส้ทอดค้างคืนที่ในตัวอำเภอ”
เมื่อหลี่หรูอี้จุดตะเกียงแล้วจึงถามขึ้นว่า “หรือว่ามีคนขายไส้ทอดค้างคืน ทำให้ลูกค้าที่กินเข้าไปท้องเสียจนเกิดเื่?”
“ใช่แล้ว” หลี่ฝูคังนั่งลงแล้วพูดต่อ “ตอนที่ข้ากับพี่ใหญ่ไปขายไส้ทอดครั้งแรกที่ตลาดเล็กในตัวอำเภอ หลิวจู้จากหมู่บ้านหลิวขายผักอยู่ข้างพวกเรา หลิวจู้เห็นพวกเราขายดีจึงอยากขายไส้ทอดบ้าง ต่อมาเขายังมาถามข้ากับพี่ใหญ่ด้วยว่า พวกเราจะทำไส้ทอดขายอีกหรือไม่ พี่ใหญ่บอกว่า ่นี้ยังไม่ทำขาย เขาจึงหันมาขายไส้ทอด”
หลี่หรูอี้ถามอย่างแปลกใจ “บ้านของหลิวจู้เริ่มขายไส้ทอดั้แ่เมื่อใด ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินพวกท่านพูดถึงเลย?”
ทั้งแป้งย่างต้นหอมก่อนหน้านี้และไส้ทอดในตอนนี้ ไม่ว่าบ้านหลี่จะขายอะไรก็ถูกผู้อื่นลอกเลียนสิ่งนั้น โชคดีที่ในแคว้นต้าโจวยังไม่มีใครทำแป้งย่างใส่ไข่ได้ ในเมืองอำเภอและตำบลจินจีก็ยังไม่มีใครคลำหาวิธีทำออกมาได้ในชั่วระยะอันสั้นนี้
หลี่ฝูคังยิ้มตอบ “บ้านหลิวจู้ขายไส้ทอดตอนฝนตก วันนั้นเ้าไม่ให้พวกเราออกไปตั้งร้าน พวกเราเลยไม่ได้ไปที่อำเภอและไม่ได้เจอคนของบ้านหลิวจู้ ได้ยินว่าหลิวจู้หกล้มกลางสายฝนตอนที่กำลังเดินทางกลับหมู่บ้านจนขาพลิกด้วย”
หลี่หรูอี้จึงกล่าวกำชับคนในบ้านอีกครั้ง “วันฝนตกห้ามออกไปตั้งร้านเด็ดขาด”
“ใช่แล้ว น้องสาวพูดถูกที่สุด พวกเราจะเชื่อเ้า” หลี่ฝูคังรู้สึกเช่นนี้จริงๆ เขาพูดเื่ครอบครัวหลิวจู้ต่อไป
ขณะที่หลี่เจี้ยนอันนำตะกร้าไผ่สานไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ หลี่ฝูคังก็เล่าเื่หลิวจู้ขายไส้ทอดออกมาก่อนแล้ว หลี่เจี้ยนอันจึงพูดด้วยเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย “น้องรอง ข้าพูดไปหลายรอบแล้วว่า ปิดประตูก่อนค่อยเล่า”
หลี่ฝูคังลูบศีรษะตนเองปลกๆ “ต่อไปให้พี่ใหญ่เล่าเถิด”
หลี่เจี้ยนอันนั่งลง และเล่าต่อเสียงเบา “ครอบครัวหลิวจู้ใจใหญ่ ครั้งแรกก็ทำเครื่องในหมูสองชุดแล้ว ทั้งหมดมีไส้ยี่สิบกว่าชั่ง แต่พวกเขาไม่ได้ย่างให้น้ำและน้ำมันออกมาก่อนก็เอาไปทอดเลย จึงไม่อร่อยเท่าไส้ทอดที่พวกเราทำ รวมกับที่วันนั้นฝนตก ลูกค้าที่ตลาดในตัวอำเภอก็น้อยเลยขายไม่ได้
คืนนั้นฝนตกไม่หยุด ระหว่างทางกลับบ้านหลิวจู้ลื่นล้มจนขาพลิก วันต่อมาฟ้าโปร่ง ลูกชายสองคนของหลิวจู้จึงนำไส้ทอดไปขายยังหมู่บ้านห้าแห่ง ในตำบลสามแห่งและที่ในตัวอำเภออีกสองแห่ง สุดท้ายต้องลดราคา ขายไส้ทอดยี่สิบชิ้นในราคาหนึ่งทองแดงจึงจะขายหมด
แต่มีห้าครอบครัวที่กินไส้ทอดไปแล้วท้องเสียไม่หยุดทั้งคืน เมื่อไปตรวจที่โรงหมอก็ต้องเสียเงินมากทั้งยังต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการป่วย คนของห้าครอบครัวนั้นจึงรวมตัวกันไปฟ้องร้องครอบครัวหลิวจู้ที่ศาลในอำเภอ”
วันนี้มีหลายคนที่ตลาดเล็กในตัวอำเภอวิพากษ์วิจารณ์เื่นี้ หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังก็รู้เื่นี้จากปากของลูกค้าเก่าที่ไปดูขั้นตอนทั้งหมดด้วยตนเองที่ศาลอำเภอ
จ้าวซื่อได้ยินดังนั้นก็ใจเต้นตึกตัก พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานตื่นเต้นจนสีหน้าขาวซีด
หลี่หรูอี้ทอดถอนใจเบาๆ ถามว่า “วันนี้ศาลอำเภอตัดสินคดีอย่างไร?”
.......................................