“ฟู่ว...”
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เซียวเฉินหลั่งเหงื่อดุจสายฝนและหอบหายใจ
กุมกระบี่ยาวกึ่งเอนนอนอยู่บนพื้น อ้าปากหอบหายใจเหมือนสูญเสียพลังทั้งหมดในร่าง แม้แต่เขาที่บรรลุนิรวาณขั้นสามแล้วก็ยังทนรับไม่ไหว
หนักเกินไปแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ เซียวเฉินดีขึ้นเยอะ
อย่างน้อยก็ยังถือขยับไหว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวเฉินก็ฝึกกระบี่ต่อ เป็เช่นนี้ติดกันสามวัน เขาออกแรงเกินขีดจำกัดทุกวัน วันที่สองพึ่งพาความสามารถในการฟื้นฟูอันแข็งแกร่งของคัมภีร์หงสาานิรวาณ วันต่อมาพลังชีวิตเต็มเปี่ยมดุจัพยัคฆ์ ปรับตัวให้เข้ากับน้ำหนักของเบิกฟ้าอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งเดือนต่อมา เซียวเฉินก็ปรับตัวเข้ากับมันได้
เื่นี้ทำให้เซียวเฉินแตกตื่นยินดี
เซียวเฉินรับรู้ถึงกระบี่ในมือ เขารู้สึกเหมือนประสบความสำเร็จ จากนั้นก็ใช้เบิกฟ้าร่ายรำกระบวนท่าแรกในคัมภีร์กระบี่ทัณฑ์์ อานุภาพบรรลุถึงขั้นทำให้คนหวาดกลัว
หากบอกว่าเซียวเฉินในอดีตสามารถเปล่งอานุภาพคัมภีร์กระบี่ทัณฑ์์ได้สี่ส่วน เซียวเฉินในปัจจุบันสามารถเปล่งอานุภาพออกมาได้แปดส่วน เรียกได้ว่าพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
เห็นร่องรอยในลานเรือน เซียวเฉินก็สงบใจไม่ได้เป็เวลานาน
“นี่คืออานุภาพของเบิกฟ้าหรือ...”
เซียวเฉินส่งเสียงพึมพำ แววตาปีติยินดี
เขาเก็บสิ่งล้ำค่าได้
จากนั้น เซียวเฉินก็เคลื่อนคัมภีร์กระบี่ทัณฑ์์จากในห้วงการรับรู้มาเตรียมฝึกกระบวนท่าที่สองทันที
“ัตระหนกพิโรธ เก้าชั้นฟ้าเปี่ยมวายุคลั่งและอสนีบาต...”
เซียวเฉินเอ่ยช้าๆ ช่างเป็นามอันอหังการยิ่ง กระบวนท่าแรกเรียกว่า ใบไม้ร่วงพันสารท ประกายวาบห่านป่าตื่น เก่าแก่อย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะหรูหรา แต่กลับซ่อนเจตนาสังหารไว้ ส่วนกระบวนท่าที่สองกลับตรงกันข้าม แข็งแกร่งอหังการ ใช้ความรุนแรงสยบความรุนแรง
เ้าอ่อนแอข้าแข็งแกร่ง เ้าแข็งแกร่งข้าแกร่งกร้าวยิ่งกว่า!
เซียวเฉินสงบอารมณ์ จากนั้นเริ่มอ่านรายละเอียด เมื่ออ่านจนถึง่สุดท้าย เขาก็ถูกกระบวนท่าในคัมภีร์กระบี่ทัณฑ์์ดึงดูดอย่างลึกล้ำจนอยากอ่านต่อ แต่กลับพบว่าระดับขั้นของตนเองไม่เพียงพอที่จะอ่านกระบวนท่าที่สาม
เช่นนั้น กระบวนท่าที่สามต้องเป็ระดับขั้นใด?
ขั้นตานฟ้าเก้าชั้นฟ้า? หรือขั้นเสวียนฟ้า?
คัมภีร์กระบี่ทัณฑ์์ในสมองของเซียวเฉินค่อยๆ หายไปหลังรอยอักษรเลือนราง เซียวเฉินได้สติ กระบวนท่าเมื่อครู่ใช้เบิกฟ้าได้
ขณะที่เซียวเฉินกำลังฝึกกระบวนท่าที่สองอยู่นั้น เขาถึงกับมีความรู้สึกว่าโลหิตภายในร่างพลุ่งพล่าน แม้แต่พลังเสวียนก็ควบคุมไม่อยู่และคิดจะหลุดพ้นออกมา อีกทั้งเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากระบวนท่าที่สองยากขึ้น
เซียวเฉินใช้วิชากระบี่กระบวนท่าที่สองไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งติดต่อกันห้าวัน แต่เขามักจะรู้สึกว่ายังขาดอะไรบางอย่าง เป็เช่นนี้อยู่ห้าวัน จากนั้นก็อีกห้าวัน สิบห้าวันให้หลัง ในที่สุดเขาก็เข้าใจวิชากระบี่กระบวนท่าที่สองทั้งหมด
ออกกระบี่ดั่งัคำราม ควบคุมวายุและอัสนีแห่ง์เก้าชั้นฟ้า!
ตามการฝึกวิชาอย่างลืมตัวตนของเซียวเฉิน เวลาที่เขาเก็บตัวก็ผ่านไปสองเดือนกว่า แต่เขาเสมือนลืมเลือนวันเวลา จมดิ่งในการฝึกวิชายุทธอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
สามเดือนต่อมา ความสามารถของเซียวเฉินก็บรรลุแปดชั้นฟ้าระดับสูงสุด และย่างสู่เก้าชั้นฟ้าครึ่งก้าว
เขาที่เป็เช่นนี้ เกิดระลอกคลื่นในใจนับพันชั้น
เซียวเฉินเข้าสู่มรรคาบู๊ฝึกวิชาหนึ่งปี เลื่อนจากขั้นฐานจิตสี่ชั้นฟ้ามาเป็ขั้นตานฟ้าแปดชั้นฟ้าระดับสูงสุด ไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้ความพยายามไปมากมายเพียงใด
รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตนเองก็อดยิ้มไม่ได้
ผ่านการขัดเกลาตนเองหนึ่งปี เซียวเฉินยิ่งเติบใหญ่และสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด ให้ความรู้สึกเหมือนกระบี่ล้ำค่าซ่อนคมแต่เมื่อออกจากฝักต้องดื่มโลหิต แสดงความแหลมคมแต่กลับเข้าใจแอบซ่อน
“ท่านแม่ ท่านเห็นแล้วสินะ ลูกเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยเช่นในอดีตอีก ลูกจะดูแลตนเองให้ดี พกพาความคาดหวังของท่านเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป...”
เซียวเฉินก้าวออกจากประตู เดินออกไปข้างนอก
“เชี่ยนเอ๋อร์ จี๋เสวี่ย” เซียวเฉินส่งเสียงเรียกนอกประตู ใบหน้ามีรอยยิ้ม คนทั้งสองเดินออกมาจากหอสุ่ยเยวี่ย เมื่อเห็นเซียวเฉินต่างก็พากันยิ้ม
“ถูกกักบริเวณสินะ ใครใช้ให้เ้าเถียงกับผู้าุโสามล่ะ” จี๋เสวี่ยตำหนิ แต่ตอนนี้เซียวเฉินได้รับอิสระคืนมาแล้ว นางก็รู้สึกดีใจแทนเขา
มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์มองเซียวเฉินโดยไม่ได้เอ่ยวาจา แต่ในดวงตากลับรู้สึกโล่งอก ก่อนหน้านี้นางเป็กังวลแทนเขาอยู่นาน
“เ้าหมอนี่ ช่างทำให้คนเป็ห่วงจริงๆ”
เซียวเฉินยิ้มมองมู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ กล่าวว่า “เชี่ยนเอ๋อร์ เ้ายังจำประโยคที่ข้าเคยพูดได้หรือไม่?”
มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์มองเซียวเฉินแล้วอึ้งงัน
จากนั้นสายตาเลื่อนลง จับนิ่งอยู่บนกระบี่ในมือของเซียวเฉิน
“เ้าทำได้แล้วหรือ?”
มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ใสุดขีด คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำได้
“เมื่อข้าหยิบกระบี่เล่มนี้ขึ้นมา นั่นคือเวลาที่ข้าเซียวเฉินท้าสู้ซูเฉินเทียน...”
คำพูดประโยคนี้ดังก้องอยู่ในใจของมู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์
นี่เ้าจะท้าสู้ซูเฉินเทียนหรือ...
“เซียวเฉิน เ้า...”
ข้าส่งเทียบท้าสู้แล้ว แค่แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ได้ตัดสินเป็ตาย ข้ามาหาพวกเ้าเพื่อจะให้พวกเ้าไปเป็เพื่อนข้า
คนทั้งสามมาถึงตรงเวที เซียวเฉินก้าวขึ้นเวทีประลอง
ทอดสายตามองไปไกล
ซูเฉินเทียน ระยะห่างระหว่างข้ากับเ้ามีมากเพียงใดกันแน่
เห็นเซียวเฉินก้าวขึ้นเวที ทุกคนต่างชะงักฝีเท้าหยุดมอง บางครั้งบางคราวยังส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์
“เซียวเฉินจะท้าสู้กับใคร”
“เ้าคนไม่มีตาคนใดล่วงเกินเ้าบ้านี่ วอนตายเสียแล้ว...”
“นั่นสิ หรือลืมไปแล้วว่าซือถูอู่ตายอย่างไร?”
“เขาคือเ้าบ้าการต่อสู้แบบเต็มสิบไม่หักนะ”
ตามเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เงาร่างในชุดสีขาวสายหนึ่งพลิ้วมาดุจเซียนขี่สายลม ใบหน้าหล่อเหลาและท่วงท่าเหนือโลกีย์ทำให้ทุกคนมีสีหน้าใสุดขีด
ส่วนคนที่วิพากษ์วิจารณ์พลันเงียบกริบ
จากนั้นเปลี่ยนจุดยืนแบบร้อยแปดสิบองศา
“เซียวเฉินไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ ถึงกับกล้าท้าสู้เขา!”
“นั่นสิ ข้าว่าเซียวเฉินคงเสียสติจริงๆ”
“ข้าว่าเซียวเฉินวิปลาส ถึงกับท้าสู้เขา อีกสักครู่ หากเซียวเฉินไม่ถูกอัดลงมา ข้าไม่ขอแซ่สวี!”
ส่วนสีหน้าของมู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์และจี๋เสวี่ยก็นิ่งอึ้งอย่างเห็นได้ชัด
เนื่องจากเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น คือซูเฉินเทียน
ผู้มีพร์อันดับหนึ่งแห่งสถานศึกษาชางหวง อันดับหนึ่งบนผังชางหวง เป็การคงอยู่ที่ไร้คนสั่นคลอนมาโดยตลอด
ในใจของศิษย์สถานศึกษาชางหวง เขากับลั่วเฉินอวี่รวมเรียกว่าดาวคนคู่ เจิดจรัสอย่างยิ่ง นับจากซูเฉินเทียนเข้าสถานศึกษามาก็ไร้วี่แววพ่ายแพ้ ส่วนลั่วเฉินอวี่เคยแพ้เพียงครั้งเดียว นั่นคือพ่ายในเงื้อมมือของซูเฉินเทียน
ทว่าวันนี้เซียวเฉินถึงกับท้าสู้ซูเฉินเทียน!
ข่าวนี้ก่อคลื่นั์สูงเสียดฟ้าในใจของทุกคนทันที
ซูเฉินเทียนมองเซียวเฉิน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ ดุจบ่อน้ำโบราณที่สงบนิ่ง ยิ้มกล่าว “ศิษย์น้องเซียวเฉิน เ้าจะท้าสู้ข้าหรือ?”
หลังเซียวเฉินเห็นซูเฉินเทียนก็ใสุดขีด
“เ้าคือคนที่แอบดูข้าฝึกกระบี่มิใช่หรือ...”
ซูเฉินเทียนผงกศีรษะ
“ข้าเอง วันนั้นมีธุระแล้วผ่านมาเห็นเข้าพอดี รู้สึกว่ายอดเยี่ยมมากจึงมองอยู่ครู่หนึ่ง”
“ตอนนี้ศิษย์น้องมีพลังขั้นใด?” ซูเฉินเทียนถามด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้มองเซียวเฉินเป็ศัตรู ทว่าเป็เด็กน้อยคนหนึ่ง
“ขั้นตานฟ้าแปดชั้นฟ้าระดับสูงสุด ย่างสู่เก้าชั้นฟ้าครึ่งก้าว”
เซียวเฉินเอ่ย
ซูเฉินเทียนมองเซียวเฉินแบบในิดๆ จากนั้นเอ่ย “ข้าว่าเ้ายังอายุไม่ถึงยี่สิบปีสินะ”
เซียวเฉินพยักหน้า ยิ้มกล่าว “ยังขาดอีกหนึ่งเดือนสิบหกวันจะอายุสิบแปดปีแล้ว”
ชิ้ง!
คำพูดประโยคเดียวของเซียวเฉิน ทำให้คนแตกตื่นไปทั่ว
อายุไม่ถึงสิบแปดปี ขั้นตานฟ้าแปดชั้นฟ้าระดับสูงสุด มิน่าเซียวเฉินจึงมีความหยิ่งทะนงท้าสู้ซูเฉินเทียน พร์เช่นนี้ เกรงว่าซูเฉินเทียนและลั่วเฉินอวี่คงหลีกทางให้แทบไม่ทัน ถึงตอนนี้ยังเอาชนะเขาไม่ได้ วันหน้าก็อาจจะสู้ชนะ
“ศิษย์น้องเซียวเฉิน เ้ามีพร์มาก ตอนข้าอายุสิบเก้าปีย่างสู่ขั้นตานฟ้าเก้าชั้นฟ้าระดับสูงสุด หากเทียบด้านพร์แล้ว เกรงว่าข้าสู้เ้าไม่ได้”
ซูเฉินเทียนเอ่ยช้าๆ ดวงตาฉายแววชื่นชม