อาหารขึ้นตั้งโต๊ะ เซวียเสี่ยวหรั่นยังอารมณ์ไม่ดี พุ้ยข้าวเข้าปากทีละคำอย่างซังกะตาย
เซวียเสี่ยวเหล่ยลอบมองสองคนที่กินข้าวอย่างอึดอัด แล้วก็ก้มหน้ากินข้าวไปเงียบๆ
"เสี่ยวเหล่ย กินเนื้อด้วย อย่ากินแต่ข้าวเปล่า"
เซวียเสี่ยวหรั่นคีบน่องไก่ให้เขาชิ้นหนึ่ง ถึงพบว่ากับข้าวเต็มโต๊ะที่สั่งมาเพิ่งพร่องไปไม่กี่คำ
"เหตุใดถึงสั่งอาหารมากมายเช่นนี้ พวกเราแค่สามคนเอง กินอย่างไรถึงจะหมด ไม่สิ้นเปลืองแย่หรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นลองนับดู สามคนสั่งอาหารแปดอย่าง
"แฮ่ม เมื่อครู่ข้าให้เ้าเป็คนสั่งมิใช่หรือ" เหลียนเซวียนประหม่าเล็กน้อย นางแง่งอนไม่ยอมสั่งอาหาร เขาก็เลยเลือกส่งๆ ไปตามอำเภอใจ
"ยังมาพาลใส่ข้าอีก พวกเราแค่สามคน เพิ่มอาเหลยอีกตัว จะกินอาหารแปดอย่างไหวหรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นถลึงตาใส่เขา ตอนสั่งอาหาร ความเปรื่องปราดของเขาหายไปไหนหมด
"นั่น... ปรกติเ้าก็เป็คนสั่งตลอดมิใช่หรือ" พอเห็นนางกลับมามีชีวิตชีวาอีกหน ดวงตาของเหลียนเซวียนก็มีประกายวาบผ่าน
หรือว่าข้าไม่อยู่ ท่านก็ไม่ต้องกินหรือไร" เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกตาใส่เขาอย่างอารมณ์ไม่ดี "ท่านดู อาหารเยอะขนาดนี้ สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว"
เหลียนเซวียนหัวเราะ "ไม่สิ้นเปลืองหรอก มีพวกเหลยลี่อยู่ เท่าไรพวกเขาก็กินหมด"
"เช่นนี้ก็รีบเลย อาหารหลายอย่างยังไม่ได้แตะต้อง อย่าให้เปลืองโดยใช่เหตุ" เซวียเสี่ยวหรั่นรีบยกอาหารที่ยังไม่แตะต้องไปไว้ด้านข้าง
"ใครอยู่ข้างนอก" เหลียนเซวียนขานเรียกออกไปด้านนอกห้องพิเศษ
"ข้าน้อยพ่ะย่ะค่ะ" ฟางขุยเปิดประตูห้อง
บนโต๊ะเหลืออาหารสามอย่าง กับน้ำแกงหนึ่งอย่าง ส่วนที่เหลือให้ฟางขุยยกออกไป
"ต่อไปสั่งอาหารสามน้ำแกงหนึ่งก็พอ สั่งมาเยอะก็กินไม่หมด" เซวียเสี่ยวหรั่นคีบเนื้อให้เซวียเสี่ยวเหล่ยจนพูนชาม ถึงค่อยชะลอ
"เ้าเองก็ควรกินเนื้อมากหน่อย" เห็นนางห่วงแต่คีบเนื้อให้น้องชาย ส่วนตนเองกลับคีบผักแค่คำเดียว เหลียนเซวียนก็ย่นคิ้วโดยไม่รู้ตัว
"ข้ากินปีกไก่ไปชิ้นหนึ่งแล้ว ท่านดู" เซวียเสี่ยวหรั่นชี้ไปที่กระดูกไก่ด้านข้าง
"..."
เหลียนเซวียนทั้งฉิวทั้งขัน "แค่นี้เนี่ยนะ?"
"อื้อ แค่นี้แหละ กินเนื้อมากเดี๋ยวพุงหนาต้นขาใหญ่ ข้ายังไม่อยากอ้วนหรอกนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นพอใจกับน้ำหนักเบาหวิวอย่างตอนนี้แล้ว ต้องรักษาอย่างดี "ท่านกินเยอะหน่อย ผอมเกินไปแล้ว"
ในสายตาเธอเขายังค่อนข้างผอม ถึงคีบน่องไก่ให้ชิ้นหนึ่ง
"ตอนนี้เ้าก็ผอมมาก อ้วนหน่อยถึงจะน่ารัก"
เหลียนเซวียนคีบน่องไก่ใส่ชามของนาง ใบหน้าใหญ่แค่ฝ่ามือ เหตุใดถึงคิดแต่เื่อ้วน ใครที่ไหนจะอ้วนง่ายดายปานนั้น
"ไม่เอา ข้าอยากเป็สตรีผอมเพรียว ไม่ได้อยากเป็หญิงอ้วนผู้น่ารักเสียหน่อย"
เซวียเสี่ยวหรั่นปฏิเสธ แล้วคีบน่องไก่คืนกลับใส่ชามเขา ด้วยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม
"..."
เหลียนเซวียนมองน่องไก่ในชาม รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หันไปมองเซวียเสี่ยวเหล่ยซึ่งก้มหน้ากินข้าวอย่างพะอืดพะอม ก่อนกระซิบมาประโยคหนึ่ง
"ถึงอ้วนก็งาม"
พอถ้อยคำนี้มาถึงหูของเซวียเสี่ยวหรั่น ความรู้สึกหวานล้ำซาบซ่านในหัวใจ ยามเห็นใบหน้าอมยิ้มของเขา ใบหูพลันแดงเรื่อ จากนั้นก็พึมพำเสียงเบาหวิว
"นั่นเพราะท่านไม่เคยเห็นตอนข้าอ้วน"
หลายปีที่ผ่านมา เซวียเสี่ยวหรั่นมักถูกเพื่อนร่วมชั้นหัวเราะเยาะเื่อ้วนเสมอ หากเธอไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดี ก็คงกลายเป็โรคซึมเศร้าไปแล้ว
ว่ากันว่าคนอ้วนทุกคนล้วนมีตัวตนน่าทึ่งซ่อนอยู่ เมื่อก่อนเธอล้มเหลวเื่ลดน้ำหนัก ถึงไม่เคยรู้ว่ารูปร่างแท้จริงของตนเองเล็กนิดเดียว และสามารถเพรียวบางได้ขนาดนี้
เหลียนเซวียนมองดวงหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่น นึกจินตนาการยามใบหน้าเล็กจ้อยอ้วนขึ้นจนกลมแป้น หากบอกว่า นางอ้วนอีกหน่อยจะงามยิ่งกว่าตอนนี้ เขาจะถูกทุบจนน่วมหรือไม่...
รอยยิ้มกรุ่นกำจายภายใต้ก้นบึ้งดวงตา ยามนางร่าเริงสดใส เต็มไปด้วยชีวิตชีวา น่ารักมากทีเดียว
"เอ่อ... คือว่า เงินค่าเห็ดหุยซิน ท่านอย่าให้ข้าอีกเลยนะ เมื่อวานที่ให้มาก็มากพอแล้ว ท่านเอามาแก้พิษ ไม่ใช่เอามาขาย ไหนเลยจะต้องจ่ายเยอะเพียงนั้น"
เซวียเสี่ยวหรั่นเก็บเงินห้าพันตำลึงในอกเสื้อ ก็รู้สึกเหมือนแบกเงินจำนวนมหาศาลไว้กับตัวแล้ว หากมากกว่านี้ เธอก็ไม่รู้ว่าควรเอาไปซุกที่ไหน
"เื่นี้เ้าไม่ต้องเป็ห่วง รอให้ข้าหาศิษย์พี่พบก่อน เขาเห็นเห็ดหุยซินเหล่านี้ อย่าว่าแต่แสนตำลึง ต่อให้ห้าแสน เขาก็ซื้อ"
ศิษย์พี่ตามหาเห็ดหุยซินมาหลายปีไม่เคยสำเร็จ ครานี้โผล่มาเองถึงเจ็ดดอก มีหรือจะไม่ดีใจจนแทบคลั่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นเบิกตาโต "ศิษย์พี่ของท่านร่ำรวยเพียงนั้นเชียว?"
"อื้อ แม้ชื่อเสียงของเขาจะไม่ได้โด่งดังมากมาย แต่วิชาแพทย์กลับไม่ด้อยกว่าอาจารย์แม้แต่น้อย"
ผูหยางชิงหลันมีกฎเกณฑ์ในการรักษาคนที่แปลกประหลาด ไม่ถูกชะตาไม่รักษา บีบบังคับไม่รักษา อารมณ์เสียไม่รักษา บางครั้งช่วยคนไม่เก็บค่ารักษาสักอีกแปะ แต่บางครั้งก็เรียกค่ารักษาจนผู้อื่นแทบสิ้นเนื้อประดาตัว
เพราะทำตัวประหลาดเกินไป จึงไม่มีใครอยากตามหาเขาโดยไม่จำเป็
หากพบเขา ก็เตรียมใจหมดเนื้อหมดตัวกันได้เลย
แต่คนเรายิ่งมั่งมีเท่าไรก็ยิ่งกลัวตายเท่านั้น แม้รู้ว่าอาจผลาญสมบัติจนไม่เหลือหลอ แต่ส่วนมากก็ยังจ่ายหนักเพื่อยื้อชีวิต
ดังนั้นผูหยางชิงหลันจึงร่ำรวยมาก ส่วนจะมีเงินถึงขั้นไหน เกรงว่าแม้แต่เ้าตัวก็ยังไม่รู้
"แล้วท่านมีข่าวคราวของเขาแล้วหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นถามอย่างกระตือรือร้น พิษในตัวเขามีแต่ศิษย์พี่ของเขาเท่านั้นที่รักษาได้
เหลียนเซวียนส่ายหน้า "แต่ไรมาศิษย์พี่ไม่เคยอยู่กับร่องกับรอย ตอนนี้รู้แต่ว่าเขากลับมาแคว้นฉีแล้ว แต่ยังไม่พบหลักแหล่งที่แน่นอนว่าอยู่ที่ไหน"
"เช่นนั้นพิษในกายท่านคงต้องรออีกนานถึงจะขับออกได้ ไม่สะดวกเลย" ผู้เยี่ยมยุทธ์สง่าผ่าเผยคนหนึ่ง กลับต้องมาถูกวางยาพิษจนมือเท้าสิ้นกำลัง เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกโกรธแค้นแทนเขา
"ไม่เป็ไร ตราบใดที่ศิษย์พี่ยังอยู่แคว้นฉี ก็ต้องหาพบจนได้" เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าขุ่นเคืองของนาง
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นใบหน้ายิ้มของชายหนุ่ม ก็นึกถึงคำพูดของเขาเมื่อคืน เธออยากถามไปตรงๆ ว่าคำพูดเ่าั้หมายความว่าอย่างไร
แต่เธอไม่กล้าถาม ถ้าหาก... เป็จริงขึ้นมาจะทำอย่างไร จิตใจพลันสับสนว้าวุ่นอย่างหนัก
สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกไป
คณะคนของพวกเขาเดินทางสามวันต่อเนื่อง ความเร็วไม่นับว่าเร็วหรือช้าเกินไป ทุกวันก่อนฟ้ามืดก็จะหยุดพักที่โรงเตี๊ยมตามเมืองรายทาง
วันนี้วันที่เก้าเดือนห้า ขบวนรถซึ่งเดินทางมาครึ่งวันแวะกินมื้อกลางวันที่เมืองเล็กๆ นามว่าเมืองชิงหลิง หลังกินมื้อเที่ยงเตรียมออกเดินทาง เมฆครึ้มกลุ่มใหญ่ก็ลอยมาแต่ไกล
ลมแรงท้องฟ้าแปรปรวน สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ทันใดนั้นฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา
การเดินทางย่อมล่าช้าออกไป ฝนเทลงมาไม่หยุด จนกระทั่งถึงยามเว่ย [1] เหลียนเซวียนก็ให้คนหาโรงเตี๊ยม ก่อนที่จะพาทุกคนเข้าพัก
"คุณหนู ท่านจะเปลี่ยนอาภรณ์หรือไม่" ขณะที่อูหลันฮวาย้ายสัมภาระเข้ามาในห้องพักของเซวียเสี่ยวหรั่น ก็สังเกตเห็นว่าชายกระโปรงของนางเปียกชื้นไม่น้อย
นึกถึงคำสอนของหงกูตลอด่เวลานั้น อูหลันฮวาก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที
"ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวก็แห้งแล้ว เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาวุ่นวายเปล่าๆ เ้ายังต้องซักเสื้อผ้าเพิ่มอีกเป็สองชุด" เซวียเสี่ยวหรั่นส่ายหน้า
หลายวันมานี้อูหลันฮวาเรียนรู้ธรรมเนียมมารยาทกับหงกูมากมาย นางเป็คนหัวไว พื้นฐานที่สาวใช้รุ่นใหญ่พึงต้องฝึกให้ชำนาญ นางก็เรียนรู้ทุกอย่างแล้ว บัดนี้ถึงคราปฏิบัติจริงแล้ว
"ซักผ้ามีสิ่งใดวุ่นวาย ข้าไม่กลัวซักเสื้อผ้าของท่านเสียหายหรอกเ้าค่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่อนุญาตให้อูหลันฮวาเรียกแทนตนว่าบ่าว อูหลันฮวาก็ตามใจนาง
"เอาน่า เ้าอย่าเสียเวลาวิ่งไปวิ่งมาเลย ดูเหมือนว่าฝนจะเบาลงแล้ว อีกประเดี๋ยวฝนหยุด พวกเราออกไปเดินเล่นกัน ยากนักที่จะได้พักครึ่งวันเช่นนี้"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึง่เวลาที่ได้กินอาหารพื้นเมืองแสนอร่อยเ่าั้
"เ้าค่ะ" อูหลันฮวายิ้มพลางพยักหน้า นางชอบเดินชมตลาดเป็ที่สุด
...
[1] ยามเว่ยคือ่เวลา 13.00-14.59 น.