เมื่อฝนฟ้าคะนองหยุดลง ถนนหนทางก็กลับมาสู่บรรยากาศร้อนอบอ้าวในไม่ช้า
"เหลียนเซวียน พวกเรายังจะเดินทางต่อหรือไม่" หลังจากเห็นท้องฟ้าสดใสแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นก็แล่นไปถามเหลียนเซวียนถึงห้อง
เขากำลังสนทนากับหงกู ได้ยินเสียงนางก็เงยหน้าขึ้น "พวกเราจะพักครึ่งวัน"
พอสิ้นคำเขา ดวงหน้าเล็กจ้อยหน้าประตูก็สว่างสดใสขึ้นมา
"งั้นข้ากับหลันฮวาและเสี่ยวเหล่ยจะออกไปเดินเล่นข้างนอกนะ"
ดวงตาของเหลียนเซวียนละมุนลงโดยไม่รู้สึกตัว "เสี่ยวเหล่ยกำลังฝึกยุทธ์กับเหลยลี่ พวกเ้าไปกันเถอะ ให้ฟางขุยตามไปด้วย"
"พวกเราแค่ไปเดินเล่นจะให้ฟางขุยตามไปทำไมกัน" เซวียเสี่ยวหรั่นประท้วง
"ยามอยู่นอกบ้าน ความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด สตรีสองคนอย่างพวกเ้าจะไปไหนมาไหนเองส่งเดชได้อย่างไร" คำค้านไร้ผล เหลียนเซวียนให้คนไปเรียกฟางขุยให้ตามไป
"มีหลันฮวาอยู่ ใครจะกล้าทำอะไรพวกเรา" เซวียเสี่ยวหรั่นเชื่อมั่นในตัวอูหลันฮวามากกว่า
"ใช่แล้วเ้าค่ะ" อูหลันฮวาตามอยู่ด้านหลัง ริมฝีปากทอยิ้มพลางผงกศีรษะอย่างแรง
หลังจากนั้นนางก็เห็นสายตาเข้มงวดดุดันมาจากหงกู อูหลันฮวารีบเก็บรอยยิ้ม กลับไปยืนในท่วงท่าสุขุมด้านหลังเซวียเสี่ยวหรั่น
เซวียเสี่ยวหรั่นก็เห็นสีหน้าเข้มขรึมของหงกู
ไอ้หยา เหมือนครูใหญ่ถือไม้เรียวคอยจับผิดนักเรียนที่ผิดระเบียบทุกวันไม่มีผิด
รูปโฉมสวยสะคราญแท้ๆ แต่กลับถูกความเคร่งขรึมเ้าระเบียบบนใบหน้าบดบังเสียสนิท
สายตาอันน่าเกรงขาม ทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นกับอูหลันฮวาต้องยืดตัวตรงโดยไม่รู้ตัว ผ่อนฝีเท้าให้เบาลง ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทีละก้าวให้พ้นจากสายตาของนาง
"เฮ้อ..." หลังออกมาจากโรงเตี๊ยมได้ เซวียเสี่ยวหรั่นก็พรูหายใจแรงๆ อย่างโล่งอก
"หลันฮวา ข้าละนับถือเ้าเลย ภายใต้สายตา... เยี่ยงนั้น เ้าเรียนรู้เื่ได้อย่างไร"
เดิมทีเซวียเสี่ยวหรั่นอยากพูดว่า สายตาดุดันเยี่ยงนั้น แต่พอเห็นใบหน้ายิ้มราวกับพระเมตไตรยของฟางขุยที่เดินอยู่ห่างออกไปสองสามก้าว ก็รีบตัดคำว่าดุดันทิ้งไป
อย่าเห็นว่าฟางขุยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสทุกวัน คล้ายเป็คนคุยง่าย ทว่ายามเขาลงมือแต่ละที ไม่มีเลอะเลือนสักนิด
วันก่อนขบวนรถของพวกเขาผ่านย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง หมู่บ้านสองหมู่บ้านกำลังพิพาทกันเื่คลองที่อยู่ติดกันจนไม่อาจเจรจากันได้ จึงรวมตัวกันปิดถนนด่าทอกัน ผลักกันไปผลักกันมา จนกระทั่งสถานการณ์เริ่มบานปลายไม่อาจประนีประนอม
รถม้าของพวกเขากำลังจะผ่านไป เกือบโดนลูกหลงของพวกก่อจลาจลสองสามร้อยคนเ่าั้
แต่ฟางขุยผู้นี้นำองครักษ์จำนวนหนึ่งบุกเข้าไปในพื้นที่ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด จับตัวผู้นำของทั้งสองฝ่ายเอาไว้ แล้วะโเสียงดังสนั่นระงับสถานการณ์ความวุ่นวายลงได้
หลังจากนั้นก็จับผู้รับผิดชอบหลักของทั้งสองฝ่ายไปโยนหน้าประตูศาลาว่าการ ให้พวกเขาเข้าไปเจรจาร้องทุกข์ที่นั่น
ตอนนั้นเซวียเสี่ยวหรั่นเกาะขอบหน้าต่างรถม้ามองฟางขุยพาคนฝ่าเข้าไปท่ามกลางฝูงชนที่กำลังต่อสู้กัน ยังวิตกแทนเขาอยู่
แต่ผลลัพธ์ก็คือ เพียงชั่วพริบตาฟางขุยก็จับตัวการก่อเื่ของสองฝ่ายออกมาแล้ว
ยามอยู่ท่ามกลางจลาจลอันดุเดือด สีหน้าของเขากลับสงบนิ่ง ปฏิบัติการรวดเร็วฉับไวและเด็ดขาดจนเซวียเสี่ยวหรั่นนึกเลื่อมใสอย่างล้ำลึก
แต่หลังจากนั้นยามเห็นดวงตาอาบรอยยิ้มของเขา ก็รู้สึกว่าคนผู้นี้เหมือนเสือยิ้ม ภายนอกแย้มยิ้มมีเมตตา แต่ในใจกลับมีเล่ห์กล
พวกนางนินทาหงกูลับหลัง ใครจะรู้ว่าเขาลอบเอาไปฟ้องเ้าตัวหรือเปล่า
"แหะๆ ตอนแรกข้าก็หวั่นใจเหมือนกัน ภายหลังถึงพบว่าหงกูดุแต่หน้า แท้จริงแล้วเป็คนดีมาก"
อูหลันฮวาไม่คิดอะไรมากมาย
่นี้นางอยู่กับหงกูทุกวัน มิเพียงแต่เรียนกฎเกณฑ์มารยาท ยังฝึกเขียนอักษร ฝึกออกเสียง ั้แ่เช้าจรดค่ำ
ตื่นเช้าขึ้นมาฝึกกระบอง คุณชายยังให้องครักษ์เหลยช่วยสอนทักษะเพิ่มเติมให้นางด้วย
มือขององครักษ์เหลยควงกระบองขึ้นลงอย่างดุดันทรงพลัง ท่วงท่าแพรวพราว รวดเร็วเฉียบขาด อูหลันฮวามองจนตาลาย
ความกระตือรือร้นในการฝึกยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปมองอูหลันฮวาอย่างพินิจ "อย่าว่าอะไร เ้าอยู่กับหงกูแค่ไม่กี่วัน ปัญหาเื่สำเนียงก็แก้ไขดีขึ้นไม่น้อย การออกเสียงและความเร็วก็มีการพัฒนา"
สีหน้าของอูหลันฮวาผุดแววภาคภูมิใจ "ใช่แล้วเ้าค่ะ หงกูเป็อาจารย์ที่เข้มงวด พูดผิดหนึ่งคำ นางก็แก้ให้ถูกต้อง นางมีไม้เรียวอันหนึ่ง หากข้าพูดผิดสามครั้ง ก็จะถูกเฆี่ยนที่ฝ่ามือหนึ่งที เจ็บตัวแล้วครั้งต่อไปจะได้จำไม่ผิดพลาดอีก"
"ความหมายของเ้าก็คือ เมื่อก่อนที่ไม่ค่อยก้าวหน้า เพราะข้ากับเสี่ยวเหล่ยใจดีมีเมตตาเกินไป ไม่เคยใช้ไม้เรียวหวดเ้าใช่หรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นปรายหางตามา นี่คืออยากหาเื่?
"คิกๆ คุณหนู ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น" อูหลันฮวาเข้ามาคล้องแขนนาง พลางหัวเราะคิกคักประจบสอพลอ
ทั้งสองอยู่ร่วมกันมานาน อูหลันฮวาย่อมรู้อารมณ์และความคิดของนางว่าไม่ได้โกรธจริงๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นก็หัวเราะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โรคพูดไม่ชัดของอูหลันฮวาดีขึ้นมากแล้วจริงๆ
ต้องกล่าวว่า การอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดไม่ใช่แค่ได้ผลแบบธรรมดา
ฟางขุยตามอยู่ด้านหลังพวกนางไม่ไกลนัก ใบหน้ายังคงอาบอิ่มด้วยรอยยิ้ม
แต่ั์ตาชั้นเดียวคู่นั้นกลับทอประกายคมปลาบ
ตลอดสองสามวันมานี้ ท่าทีขององค์ชายที่มีต่อคุณหนูเซวียล้วนอยู่ในสายตาพวกเขา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณหนูเซวียท่านนี้ต้องเป็คนพิเศษในพระทัยขององค์ชายอย่างแน่นอน
แต่จะพิเศษมากเพียงไหน ยังไม่อาจบอกได้
อย่างน้อยเมื่อก่อนนี้ องค์ชายก็ไม่เคยสนพระทัยสตรีนางไหนสักคน
"องค์ชาย อูหลันฮวาตั้งใจศึกษาจริงจังมาก แต่ไม่ค่อยมีผลต่อคุณหนูเซวียมากนัก ดูเหมือนว่าคุณหนูเซวียจะไม่ใส่ใจเื่เหล่านี้เลย"
หงกูยืนอยู่ด้านหลังของเหลียนเซวียนอย่างนอบน้อม
"อื้ม สถานที่ที่นางเติบโตมาค่อนข้างพิเศษ ไม่มีกฎเกณฑ์หรือจารีตธรรมเนียมมากมาย จึงค่อนข้างมีอคติกับสิ่งเหล่านี้"
เหลียนเซวียนเห็นสายตาหวาดระแวงของเซวียเสี่ยวหรั่นยามมองหงกูก็รู้แล้ว นางไม่ชอบหงกูที่ดูเ้าระเบียบและเคร่งขรึมเกินไป
เพราะในตัวหงกูมีบางอย่างที่นางไม่ชอบ
นางไม่ชอบสิ่งใด เหลียนเซวียนย่อมรู้แก่ใจ
"แต่หากองค์ชายทรง้าให้บรรลุตามพระประสงค์ สิ่งเหล่านี้คือหนทางเดียวที่จะไปถึงนะเพคะ" หงกูติดตามข้างกายเขามาสิบสี่ปีแล้ว
ภายในสิบสี่ปี จากเด็กผอมแห้งอ่อนแอ รักสันโดษและเอาแต่ใจก็เติบใหญ่กลายมาเป็ชายหนุ่มสูงใหญ่ผึ่งผาย
กล่าวได้ว่าหงกูเห็นเขาั้แ่เล็กจนโต
เซวียเสี่ยวหรั่นสำหรับองค์ชายแล้ว ต้องเป็คนพิเศษโดยมิต้องกังขา นอกจากผูกพันในฐานะผู้มีบุญคุณเคยช่วยชีวิตและดูแลซึ่งกันและกันมา ยังมีความรักแบบชายหญิง
ในที่สุดองค์ชายผู้โดดเดี่ยวและเ็าก็มีสตรีในดวงใจ หงกูปลื้มปีติเป็อย่างมาก แต่บางเื่ที่ควรเผชิญหน้าก็ยังต้องเผชิญหน้า
"หงกู เื่นี้ไม่รีบ" เหลียนเซวียนซึ่งมักไม่แสดงออกทางสีหน้ากลับออกอาการลนลานอยู่บ้าง
"เพคะ องค์ชาย ภารกิจเร่งด่วนคือการถอนพิษจากพระวรกาย" หงกูเปลี่ยนเื่คุยอย่างรู้กาลเทศะทันควัน "เหลยลี่รายงานว่าพบเบาะแสของคุณชายผูหยางแล้วเชื่อว่าไม่ช้าจะต้องมีข่าวดีเพคะ"
"หาเขาพบ แต่จะวางเื่ในมือแล่นมาช่วยข้าถอนพิษหรือไม่ก็ยังไม่แน่"
เหลียนเซวียนนวดคลึงกลางหว่างคิ้ว เขารู้จักศิษย์พี่ของตนเองผู้นี้ดีกว่าใคร หากพิษในกายเขาไม่ถึงแก่ชีวิต คนผู้นั้นไม่มีทางรีบมาช่วยถอนพิษให้แน่
"ให้เหลยลี่ปล่อยข่าวออกไปว่า สมุนไพรล้ำค่าที่ศิษย์พี่อยากได้มากที่สุดอยู่ในมือข้า"
ตราบใดที่มีเหยื่อ ปลาก็จะว่ายมาติดเบ็ดเอง
"เพคะ" ใบหน้าเคร่งขรึมของหงกูผุดรอยยิ้ม