Chapter 4
One missing, one gone
เจย์ลีนลุกจากที่นอนหลังจากตื่นได้ประมาณสิบนาที เช็กโทรศัพท์ดูกล่องอีเมลที่เข้ามาใหม่ เหลือบมองดูเวลาก็พบว่าเจ็ดโมงกว่าแล้ว มือเรียวผลักประตูบานใหญ่และเดินลงบันไดมายังชั้นล่าง
ร่างเล็กในชุดนอนผ้าคอตตอนสีครีมเลี้ยวไปทางห้องทานอาหารหลังจากลงบันไดขั้นสุดท้าย วันนี้เป็วันเสาร์ก็จริงแต่ยังคงต้องไปทำงานเหมือนเดิม เสียงกุกกักดังแว่วมาจากห้องตรงหน้าที่ห่างไปไม่กี่ก้าว แม่บ้านเดินสวนกันไปมา
“อรุณสวัสดิ์ครับพ่อ” เจย์ลีนเอ่ยทักชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ‘ทิม’ ชายวัย 45 ปี พ่อแท้ๆของสองแฝด และเป็ที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทิมในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มยิ้มให้ลูกชายคนโตก่อนจะจิบกาแฟร้อนในแก้วช้าๆ วันเสาร์เป็วันที่รู้กันดีในครอบครัวว่าจะต้องทานมื้อเช้ากันอย่างพร้อมหน้า และมันเป็แค่วันเดียวในสัปดาห์เท่านั้นที่เป็แบบนี้ เพราะพ่อไม่ค่อยจะมีเวลามากสักเท่าไหร่
“น้องล่ะ?” ก้นคนพี่ยังไม่ทันจะหย่อนลงบนเก้าอี้ดี ทิมเอ่ยถามถึงลูกชายอีกคนทันที
“เดี๋ยวผมไปตามให้ก็ได้ครับ สงสัยจะยังไม่ตื่น” คนเป็พ่อพยักหน้า เจย์ลีนรีบปรี่ไปยังบันไดและเดินขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ดีว่าพ่อไม่ชอบการรอคอย และถ้าหากสมาชิกไม่พร้อมหน้ากัน พ่อจะไม่ยอมเริ่มมื้อเช้าเป็อันขาด เจย์ลีนหยุดอยู่หน้าประตูห้องของน้องชาย เคาะเบาๆและส่งเสียงเรียก
“จูล ถึงเวลามื้อเช้าแล้วนะ” เจย์ลีนขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความประหลาดใจ ปกติของจูเลียนไม่ใช่คนปลุกยากเย็น คนหน้าประตูลองเคาะและส่งเสียงเรียกอีกครั้ง กระทั่งรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เอื้อมบิดลูกบิดประตูก็พบว่ามันไม่ได้ถูกล็อกไว้
“พี่เข้าไปนะ” ไม่มีเสียงตอบรับเช่นเดิม เจย์ลีนผลักบานประตูเข้าไป ความเงียบเชียบโบกมือทักทายพร้อมกับบนเตียงขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่า จูเลียนไม่ได้อยู่ในห้อง แฝดพี่ประหลาดใจเล็กน้อย ถ้าจูเลียนออกไปข้างนอกพ่อก็ต้องรู้สิ อย่างน้อยป้าเมย์แม่บ้านที่ตื่นเช้าที่สุดในบ้านก็ต้องบอกพ่อ
เจย์ลีนก้าวลงบันไดอย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าลงบนพื้นตรงดิ่งไปยังห้องทานข้าว ก่อนจะบอกกับพ่อตามที่เห็นมา
“พ่อ จูลไม่อยู่ในห้องครับ” ทิมมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย วางแก้วกาแฟในมือลงกับโต๊ะทันที
“ไม่อยู่? แต่ก็ไม่มีใครเห็นออกไปไหนนี่ ใช่มั้ยคุณเมย์?” ทิมหันไปถามแม่บ้านประจำคฤหาสน์ที่ยืนอยู่มุมห้อง หล่อนส่ายหน้าปฏิเสธทันที ในใจเจย์ลีนเริ่มร้อนรุ่มเล็กๆ มันมีความกระอักกระอ่วนบางอย่างที่ทำให้นั่งไม่ติดเก้าอี้เลยแม้แต่นิดเดียว
“เจย์จะไปดูในโรงรถ เผื่อว่าป้าเมย์อาจจะไม่เห็นตอนจูลออกไป” ยังไม่ทันที่ใครจะตอบรับอะไร ร่างเล็กเดินเร็วไปทางโรงรถทันที ผลักประตูไปก็พบว่ารถทุกคันยังจอดสนิทครบถ้วน ไม่มีคันไหนหายไปเลยสักคน เจย์ลีนใจเต้นระส่ำ มันรู้สึงโหวงๆแปลกๆในอกชอบกล
กระทั่งตัดสินใจเดินไปที่อีกห้องในโรงรถ ถ้าจูเลียนไม่ได้ไปไหนล่ะก็ ของสิ่งนั้นมันต้องอยู่คู่กัน จะต้องไม่มีอันไหนหายไป ทว่าไม่เป็ดั่งความคิด จักรยานที่เจย์ลีนหวังว่าจะให้มันจอดคู่กันแบบที่คิดไว้นั้นมันหายไปหนึ่งคัน ดวงตากลมมองส่ายไปมาด้วยความสับสน ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปหาคนโตกว่าทันที ในใจเริ่มคิดถึงอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เกิด อะไรบางอย่างที่ขอให้เป็เพียงฝันก็เกินพอ
ภายในห้องประชุมที่ล้อมด้วยกระจกบานใสบนชั้นยี่สิบสามในกรมตำรวจ สีหน้าของคนในห้องเคร่งเครียด ไร้การสนทนาใดใดบนโต๊ะยาวที่ล้อมด้วยเก้าอี้ นายตำรวจทีมสามทั้งสามคน สองคนนั่งอยู่ อีกหนึ่งกำลังเขียนยุกยิกที่กระดานหน้าห้อง หัวหน้าทีมสามอย่างซาโตรุ พิสูจน์หลักฐานอย่างแดนที่ตรงหน้ามีหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุภายในซองพลาสติกซิปล็อกวางอยู่
“พอลได้บอกมั้ยว่าใกล้เสร็จหรือยัง” ซาโตรุเอ่ยเสียงเรียบทว่าใบหน้าเคร่งขรึมและดูหัวเสียไม่น้อย หัวหน้าทีมลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกาที่ทำงานในกรมตำรวจมาเกือบครึ่งชีวิตจนเรือนผมมีสีเทาปะปน เดวิดเองก็ถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเอ่ยปากตอบ
“เขาว่าคงอีกสักพัก” หัวหน้าทีมกลอกตาไปมาดูท่าจะคุมอาการหงุดหงิดไม่อยู่ เดวิดมองด้วยหางตาอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่เข้าใจว่ามันจะหงุดหงิดอะไรนัก เพราะลำพังพอลเองก็เป็นิติชันสูตรที่ทำงานคนเดียวอยู่แล้ว กระทั่งคริสหันมาจากกระดาน ทั้งห้องจึงดูเหมือนว่าจะเริ่มกลับมาสนใจคดีอีกครั้ง
“เบอร์ติช สเตอวิช เพศชาย อายุ 47 ปี สถานที่พบศพคือลำธารเล็กที่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 20 กิโล ผู้พบศพคือเกษตกรแถวนั้นที่เข้าป่าไปหาสมุนไพรให้สัตว์” คริสเอ่ยตามข้อมูลคร่าวๆที่รวบรวมมาได้ั้แ่พบศพเมื่อเกือบรุ่งสางจนถึงตอนนี้
“ส่วนหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุคือกระเป๋าเงิน คาดว่าทรัพย์สินอยู่ครบเหมือนเดิม ไอดีการ์ดก็มี ตอนนี้ฉันโทรหาญาติให้มาแล้ว คงอีกสักพักน่าจะถึง” แดนพูด ‘แดน’ นายตำรวจฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน ผิวขาวเหลือง เรือนผมสีดำขลับและตาชั้นเดียวได้มาจากแม่ที่เป็คนเกาหลี เดวิดนั่งนิ่งั้แ่ที่คริสเริ่มพูด ในหัวตอนนี้มันมีเพียงสิ่งเดียวฉายชัดขึ้นมา
ทั้งที่พบศพ ทั้งสภาพศพที่ประเมินด้วยสายตา ทั้งทรัพย์สินที่ไม่สูญหายไปเลยสักชิ้น แต่อาจต้องรอการยืนยันจากญาติก่อน ทว่าแค่นี้มันก็ทำให้ใจลึกๆของเดวิดนั้นหวาดหวั่นพอสมควร เพราะมันเหมือนกับ… เหมือนกับที่ผ่านมาไม่มีผิด แถมรอยแผลบนตัวศพนั้นมันแทบจะทนมองไม่ได้เลย ถ้าพอลชันสูตรเสร็จคงจะได้รู้กันอีกทีว่าใช่แบบที่เขาคิดไว้หรือเปล่า
คนเป็พี่กดหน้าจอโทรศัพท์ในมืออย่างเร่งรีบ พยายามโทรหาปลายสายที่หายไปมาร่วมครึ่งชั่วโมงแต่ก็ไม่มีทีท่าเลยสักนิด สัญญาณติดแต่ไม่มีคนรับ เจย์ลีนใจเสียอย่างมากถึงมากที่สุด พลันนึกถึงใครบางคนที่น่าจะช่วยเขาได้ รีบเปิดหาในรายชื่อและกดโทรออกทันที
“ฮัลโหลครับ”
“เคนหรอ พี่รบกวนถามหน่อย จูลอยู่กับเคนหรือเปล่า ได้ไปค้างบ้านเคนมั้ย” ปลายสายที่โทรเข้ามาละล่ำละลักด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนเคนโตะเองก็พลอยใไปด้วย เงียบไปครู่หนึ่งเพื่อประมวลผลในหัวว่าควรตอบไปยังไงดี
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เคนโตะเลี่ยงที่จะตอบคำถาม หากแต่ถามกลับไปเพื่อให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าคำตอบของปลายสายทำเอาหัวใจเขาตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
“จูลหายไปไหนก็ไม่รู้เคน พี่โทรหาเป็สิบๆสายแล้วก็ไม่รับเลย จูลอยู่กับเคนใช่มั้ย ใช่มั้ยเคน” สติขาดหายเป็่ๆเมื่อได้ยินเจย์ลีนพูด ถ้าจูเลียนจะไปไหนก็ต้องบอกเขาก่อนสิ ต้องโทรหาเขาก่อนว่าให้ช่วยบอกด้วยถ้าคนที่บ้านโทรมาตาม หรือว่าจะน้อยใจเื่ที่ทะเลาะกันล่าสุดนะ แล้วถ้าแบบนั้นจูเลียนจะไปไหนล่ะ
“ไม่ได้อยู่กับผมครับ จูลไม่ได้มาที่บ้าน” หลังจากสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เคนโตะเลือกที่จะตอบตามความจริง หากแต่ในหัวรีบคิดอะไรมากมาย ถ้าไม่ได้มาหาเขาแล้วจะไปไหนกัน เพื่อนสนิทของจูเลียนที่ถึงขั้นจะไปมาหาสู่ได้ก็มีเขาเพียงคนเดียวเท่าที่รู้
“จูลได้บอกเคนมั้ยว่าจะไปไหน หรืออะไรก็ได้ พี่ร้อนใจมากเลยเคน บอกพี่หน่อยนะ” น้ำเสียงของเจย์ลีนนั้นร้อนรนและน่าสงสารในคราเดียวกัน เคนโตะฟังแล้วพยายามคิดแต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก มีเพียงทางเดียวที่คิดว่าเป็ไปได้ แต่มันคงไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน
“ไม่ได้บอกเลยครับ”
“งั้นถ้าจูลติดต่อกลับมา เคนรีบโทรหาพี่เลยนะ โทรหาพี่ทันทีเลย”
“ครับพี่เจย์”
เจย์ลีนกดวางสาย พยายามหายใจเข้าออกอย่างช้าๆเพื่อควบคุมสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งที่ร้อนรนจนแทบจะเป็บ้า ที่ต้องเป็แบบนี้ก็เพราะว่าเื่งานหรืออะไรก็ตามที่อาจทำให้จูเลียนหายไปนั้น คนเป็พี่ยอมรับว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับน้องเลย อาจเพราะไม่เคยเอ่ยปากถามเพราะกลัวจะละลาบละล้วงหรือวุ่นวายจนกลายเป็ว่าน้องรำคาญ เจย์ลีนตัดสินใจไล่ทักหาเพื่อนของจูเลียนทีละคนในเฟซบุก เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง
ทว่ามันกลับยิ่งไม่เป็ผลและดูเหมือนจะทำให้คนที่ถือโทรศัพท์อยู่ในตอนนี้มือสั่นระรัวไม่แพ้หัวใจยิ่งกว่าเดิม คนเป็พ่อที่เดินลงมาจากชั้นบนเห็นอาการลุกลี้ลุกลนของเจย์ลีนแล้วก็เดินตรงเข้ามาหาที่ห้องนั่งเล่นทันที
“เจย์ ใจเย็นๆก่อนลูก น้องอาจจะไปเที่ยวตามประสา เดี๋ยวก็คงกลับมาเอง จูลน่ะดื้อจะตายลูกก็รู้” น้ำเสียงเย็นเรียบของพ่อทำเอาเจย์ลีนหันขวับ ดวงตากลมสั่นระริก เอ่ยปากตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดไม่ให้มันสั่นเครือมากที่สุด
“แต่น้องไปไหนไม่เคยที่จะไม่บอกเจย์ แล้วถ้าไปเที่ยวจริงๆก็ต้องเอารถไปสิ ทำไมต้องปั่นจักรยานไปด้วย”
“เจย์ พ่อว่า…”
“พ่อไม่ห่วงน้องเลยหรือไง ถ้าจูลกำลังตกอยู่ในอันตรายล่ะจะทำยังไง”
เจย์ลีนเสียงแข็งจนคนเป็พ่อใ ทิมรู้ดีว่าคนพี่รักน้องมากแค่ไหน ตัดสินใจโผเข้ากอดลูกนกที่กำลังตัวสั่น เจย์ลีนปล่อยโฮออกมาทันที ทิมลูบแผ่นหลังลูกแ่เบาเพื่อ้าปลอบประโลมให้ใจเย็น
“พ่อห่วงสิ พ่อจะไม่ห่วงลูกตัวเองได้ยังไง พ่อจะช่วยอีกแรงเอง ไม่ต้องเป็ห่วงนะเจย์”
“เจย์มีจูลแค่คนเดียวนะพ่อ จูลเป็เหมือนอีกครึ่งของเจย์ เราต้องหาน้องให้เจอให้ได้นะพ่อ” เสียงสั่นระคนสะอื้นดังอู้อี้จากคนในอ้อมกอด ทิมรับรู้ได้ถึงความกังวลในน้ำเสียงนั่น
“พ่อสัญญา” คนเป็พ่อผละอ้อมกอดและลูบเรือนผมสีบลอนด์ของลูกชายอย่างแ่เบา ดวงตากลมแดงก่ำเต็มไปด้วยม่านน้ำตาที่คลอหน่วย เพียงครู่ทิมก็เดินไปยังโรงรถและขับรถคันหรูออกไปทำงานเหมือนเดิม ทิ้งไว้ก็แต่คนตัวเล็กที่ในอกหวั่นใจยังไงบอกไม่ถูก ลางสังหรณ์ในหัวเริ่มฉายแววชัด ฝันคืนนั้นหวนกลับมาเป็ฉากๆราวกับเล่นตลก เพราะแบบนี้แหละเขาถึงกังวลจนร้องไห้ ขออย่าให้มันเป็อะไรแบบนั้นเลย
ก้านนิ้วเรียวคีบบุหรี่ที่ไหม้ไปครึ่งมวนขณะสายตาเหม่อมองไปยังภาพตรงหน้าที่กว้างไกล ร่างผอมสูงนั่งอยู่บนหินก้อนั์ที่มีตะไคร่ขึ้นอยู่เต็มไปหมด อากาศเย็นะเื ลมพัดจางๆทำเอาเรือนผมสีดำสลับขาวขยับปลิวเบาๆตามแรงลม
ร่างสูงขยี้บุหรี่ที่ยังไม่หมดมวนเข้ากับหัวรองเท้าบูทที่สวมอยู่ ร่องรอยจากความร้อนของมันปรากฏมากมาย แสดงถึงนิสัยว่าเขาทำแบบนี้ประจำ มือเรียวเสยเรือนผม ก่อนจะหันหลังกลับ ก้าวขาเดินไปตามทางที่ข้างๆมีพงหญ้ารกสูง ไม่นานนักก็ถึงประตูไม้เก่าๆบานหนึ่ง
ริ้วรอยหยาบกร้านบนใบหน้า รวมไปถึงตอหนวดที่พึ่งขึ้นมาจากการโกนด้วยใบมีดราคาถูกขึ้นสนิม เส้นขนแซมสีขาวเล็กน้อยบ่งบอกถึงอายุของชายคนนี้ได้เป็อย่างดี เอื้อมมือไปจัดการถุงข้าวของที่ขับรถกระบะคันเก่าไปซื้อมา วางมันบนโต๊ะไม้ที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่น
สองมือประกอบอาหารเช้าอย่างง่ายๆสำหรับคนสามคน ไม่นานนักอาหารเช้าอย่างไข่คน เบคอนทอดเกรียมๆแบบที่เขาชอบ และนมจืดก็วางอยู่บนโต๊ะ จานกระเบื้องที่ขอบบิ่นทั้งสาม ช้อนส้อมที่มีคราบดำวางขนาบข้าง มองภาพบนโต๊ะอาหารที่เหมือนกันทุกวันแล้วบางครั้งก็รู้สึกเอียนเล็กน้อย หากแต่เงินในกระเป๋ามันมีอย่างจำกัด ดีที่สุดแล้วก็คงจะทำกินได้แค่นี้
พลันเสียงฝีเท้าของอีกคนในก็เปิดประตูหลังกระท่อมเข้ามาพร้อมกับถังเหล็กสนิมเขรอะที่มีน้ำอยู่เต็มสองใบ เด็กหนุ่มวางมันลงอย่างช้าๆ ได้ยินเสียงเรียกจึงรีบเดินมาที่นี่
“ไปเรียกมันมาซะ เดี๋ยวเย็นหมด”
“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ดวงตาเรียวไม่เคยสบสายตาเขาดังเดิม มันกอดอกรอให้อีกคนไปตามสมาชิกใหม่ที่ค่อนข้างไม่เต็มใจนักขึ้นมาร่วมโต๊ะอาหาร
“ถ้ามันไม่ยอมมา ก็ทำยังไงให้มันขึ้นมาให้ได้”
“อย่าให้ถึงมือฉันต้องลงไป”
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ดวงตาหลุบต่ำเช่นเคย ก่อนจะหันหลังเปิดประตูลงไปยังชั้นใต้ดินพร้อมกับตะเกียงในมือ
“เสร็จแล้วก็มาเอาน้ำไปรดแปลงผักซะ เข้าใจมั้ย”
“ครับพ่อ”
เขาพยักหน้ารับก่อนจะก้าวลงบันไดไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดยามที่ทิ้งน้ำหนักตัวลงไป มันมองตามจนร่างสูงที่เห็นมาั้แ่เกิดค่อยๆลับหายลงไปยังใต้ดินชั้นล่างที่ขุดเอาไว้ด้วยตัวเอง ดวงตาของมันเรียบเฉย ทว่าแฝงอะไรไว้อยู่ที่ไม่อาจคาดเดาได้
เด็กหนุ่มก้าวเท้าลงบันไดขั้นสุดท้ายจนเหยียบพื้นปูนที่เปียกชื้น ห้องใต้ดินนี่มืดสนิท มีเพียงแสงจากหน้าต่างบานที่เล็กเพียงฝ่ามือและแสงไฟจากตะเกียงในมือเท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมร่างเล็กที่นอนอยู่บนฟูกเก่าๆขึ้นรานั่นถึงยังหลับสนิทได้ และเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมคนตรงหน้าที่ห่างไปไม่กี่ก้าวถึงมาโผล่ในบ้านเขาได้
ก้าวฝีเท้าให้เบาที่สุดเพราะกลัวว่าอีกคนจะตื่น ทั้งๆที่เขาต้องปลุกคนคนนั้นขึ้นมาด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ ตอนพ่อพามาเขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนไหน เดาว่าคงเมื่อคืนที่พ่อบอกว่าจะไม่กลับ เขามองจ้องสำรวจอย่างเงียบๆ เปลือกตาสีอ่อนปิดสนิท จมูกโด่งรับกับปากอิ่มเล็ก ผิวขาว เนื้อตัวสะอาดสะอ้านหากแต่เสื้อผ้าที่สวมอยู่ตอนนี้ดูมอมแมมเหลือเกิน
“นี่”
เด็กหนุ่มนั่งยองๆ แตะที่ต้นแขนของอีกคน ก่อนจะออกแรงเขย่าเบาๆเพื่อเป็การปลุก ไม่นานนักเปลือกตาที่ปิดสนิทก็เปิดขึ้น เมื่อเห็นว่ามีคนมาใหม่ยืนอยู่ข้างฟูก ร่างเล็กก็ถอยกรูดไปติดฝาผนังทันที
“คุณเป็ใคร” ร่างเล็กมองคนแปลกหน้า เสียงแหบเครือเอ่ยถามด้วยความระแวง
“ผมแค่มาตามไปกินมื้อเช้าข้างบน”
มีเพียงแสงจากตะเกียงและแสงแดดรำไรที่พอจะทำให้มองเห็นใบหน้าและแววตาของอีกฝ่ายชัดเจน จูเลียนมองดวงตานั้นด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย เป็พวกเดียวกับไอ้บ้านั่นที่จับเขามาแหงๆ จูเลียนมองคนที่นั่งยองอยู่หัวจรดเท้าอย่างไม่มีมารยาท จนกระทั่ง…
“เฮ้ย ทำไมช้านักวะ”
เสียงะโโวยวายจากข้างบนทำเอาทั้งสองสะดุ้งด้วยความใ ดวงตาเรียวของอีกคนฉายแววตระหนกชัดเจนไม่แพ้จูเลียน
“ได้ยินมั้ย ผมว่าไม่ดีแน่ถ้าเขาลงมาตามเอง”
“…”
“มาเถอะ นะ”
จูเลียนจำใจค่อยๆยันตัวลุกยืน เขาเกิดอาการเซเล็กน้อยเพราะความเจ็บหน่วงๆตรงท้ายทอยยังคงเล่นงานเขาอยู่ อีกคนเห็นอย่างนั้นก็ทำท่าจะปรี่เข้ามาช่วย ทว่าจูเลียนถอยหลังหนีทันที
“อย่าเข้ามาใกล้”
ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหยุดยืนนิ่งตามเดิม จูเลียนทรงตัวได้และพยักพเยิดให้อีกคนเดินนำไปก่อน คนคนนั้นหันหลังและก้าวขึ้นบันไดไม้ไปทีละขั้นโดยมีจูเลียนตามมาติดๆ ตามน้ำไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าตุกติกอะไรตอนนี้มันจะทำอะไรกับเขาบ้างก็ไม่รู้ ยังไงก็ต้องมีชีวิตรอดกลับไปให้ได้ ไม่งั้นก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามันที่อยู่ข้างบนและอีกคนที่เดินอยู่ข้างหน้าเขาตอนนี้เป็ใครกันแน่
“เดฟ ตื่นเร็ว” เสียงดังแว่วมาจากภายนอกรถ เดวิดที่กำลังงีบได้ที่สะดุ้งตื่น ลืมตาก็เห็นว่าแมททิวเคาะกระจกที่แง้มอยู่และเรียกเขาด้วยท่าทางตื่นเต้น เดวิดบิดี้เีสองทีและเปิดประตูลงมาจากรถ
“อะไร”
“ผลชันสูตรออกแล้ว”
ทันทีที่ก้าวขาเหยียบพ้นประตูฝ่ายสืบสวน เดวิดปรี่ตรงไปยังประตูห้องประชุมและเปิดเข้าไปทันที พอลนั่งอยู่หัวโต๊ะดูสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างจากคนอื่นๆสักเท่าไหร่ เมื่อหมอชันสูตรเห็นเพื่อนสนิทตัวเองที่ไปแอบหลับในรถเข้าห้องมา ก็คว้ากระดาษบนโต๊ะตรงหน้าและเริ่มอ้าปากพูดทันที
“มาครบแล้วนะ ฉันพูดเลยก็แล้วกัน” พอลมองหน้าทุกคนที่ใจจดใจจ่อรอฟังราวกับลุ้นหวยขูดยังไงยังงั้น ถอนหายใจเบาๆและเริ่มรายงานผลที่พึ่งพิมพ์เสร็จด้วยตัวเอง
“เบอร์ติช สเตอวิช เพศชาย อายุ 47 ปี ผิวขาว สูง 181 เิเ น้ำหนัก 89 กิโลกรัม ผิวขาว คาดว่าเสียชีวิตก่อนพบศพประมาณเจ็ดชั่วโมง จุดพบศพคือลำธารเล็กห่างจากถนนใหญ่ 20 กิโลเมตร” พอลเว้น่หายใจเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“สภาพศพถูกกรีดด้วยของมีคมเป็แผลลึกที่บริเวณหน้าผาก ส่วนทั่วใบหน้าไม่ลึกมาก ลำคอถูกปาดด้วยของมีคมชนิดเดียวกันจนถึงหลอดลม พบร่องรอยการต่อสู้หลายแห่ง เล็บมือและเล็บเท้าบางนิ้วหลุด บางนิ้วเปิดออก” มาถึงท่อนนี้นายตำรวจในห้องเบือนหน้าหนีกันยกใหญ่ แมททิวจับที่ลำคอตัวเองด้วยความรู้สึกเสียวแวบ คริสทำท่าจะเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่พอลยกนิ้วชี้เป็เชิงห้ามปรามว่าเขายังพูดไม่จบ
“มีจุดสำคัญมากที่พวกนายต้องฟัง เบอติชเสียชีวิตเพราะเสียเืมาก สาเหตุมาจากาแบนร่างกายและอีกหนึ่งอย่าง”
“มีรอยะุเจาะทะลุที่ต้นขาด้านหลังทั้งสองข้าง และเหนือราวนมฝั่งซ้ายเกือบทะลุขั้วหัวใจ” นายตำรวจในทีมสามมีสีหน้าหวาดวิตกอย่างชัดเจนเมื่อได้ยินคำว่าะุ แมททิวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หันมองคริสและจ้องหน้ากัน ส่ายหน้าเบาๆเป็เชิงภาวนาว่าอย่าให้เป็แบบที่คิดเลย ทว่า…
“ะุที่ฝังอยู่คือ .45 ACP เ้าเก่าเ้าเดิมทั้งสามนัด จบการรายงาน”
พอลวางกระดาษลงกับโต๊ะ กอดอกมองอากัปกิริยาของทุกคนที่สติแตกกระเจิง ซาโตรุหัวหน้าทีมสีหน้าหงุดหงิดและหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด เดวิดนั่งลงบนเก้าอี้หน้าตาเคร่งขรึม แมททิวกุมหัวและเงยหน้าขึ้นมองเพดานพร้อมส่งเสียงต้อนรับความฉิบหาย ส่วนคริสกุมขมับ ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น
“มันอีกแล้วสินะ คิดไว้ไม่มีผิดว่ามันจริงๆด้วย” เดวิดเอ่ยทำลายความเงียบ ดวงตาคมกริบว่างเปล่า เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
“ฉันว่าเราแถลงข่าวเถอะ นี่มันศพที่เจ็ดแล้วนะ คนข้างนอกรวมถึงเราเองยังไงก็ไม่ปลอดภัยแน่ๆ ไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่ศพตามมาตอนไหน” คริสเอ่ยเสียงหลง มันเพิ่มขึ้นจนได้แบบที่กลัวกันมาตลอด มันยังคงสานต่องานวิปริตของตัวเองอยู่ ดูท่าคงจะชะล่าใจน่าดูว่าฝีมือตำรวจยังห่วยและตามหลังมันอยู่เสมอ
“ไม่ได้หรอก ร็อบสั่งห้ามเอาไว้ คนข้างบนก็สั่งร็อบมาอีกที” ซาโตรุเอ่ยเสียงเครียด ร็อบให้เหตุผลแค่ว่ามันจะแตกตื่นกันทั้งชาวเมืองและฆาตกรเอง เขาว่าหากมันย่ามใจ สักวันก็คงเผยตัวออกมาเอง แต่ความเป็จริงแล้วมันมีแต่ผลร้ายตามมา เพราะยิ่งปิดบังมากเท่าไหร่ คนบริสุทธิ์ที่ต้องตายไปก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ทุกคนในทีมตอนนี้ยิ่งมืดแปดด้านเข้าไปใหญ่ เหมือนกับว่าตาบอดทั้งสองข้างและคลำทางอันมืดมิดไร้แสงสว่างไม่มีผิด คนที่เจ็บแค้นที่สุดคงหนีไม่พ้นคนใกล้ชิดของผู้สูญเสีย แน่นอนว่ามีเดวิดที่นั่งเงียบรวมอยู่ด้วย เขาขบฟันกรอดจนสันกรามนูนเด่น กำมือแน่นจนเส้นเืปูดโปด และดวงตาที่แน่วแน่คิดแต่เพียงว่าช้าไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่ก้าวเดียวก็ต้องไล่มันให้ทัน
จูเลียนมองคนแปลกหน้าทั้งสองกำลังจัดการอาหารบนโต๊ะด้วยแววตาไม่ไว้วางใจ คนแก่กว่านั่งกินและตักเข้าปากอย่างสบายใจไม่สนโลก ทว่าอีกคนที่น่าจะเด็กกว่าเขากำลังตักเข้าปากอย่างเชื่องช้า จูเลียนละสายตาและสำรวจรอบๆ เหมือนจะเป็กระท่อมมากกว่าบ้าน มันสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง แต่ดูเหมือนไม่ใช่หลังเดียวกันกับที่เขาจะเข้าใกล้ ไม่รู้ว่าเดาถูกหรือเปล่าแต่คิดว่าใช่ ที่นี่ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรสักอย่าง มีแค่โต๊ะเก่าๆสองสามตัว และเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ ฝุ่นเองก็จับหนาเตอะเหมือนไม่มีคนอยู่
“มองอะไร ไม่กินหรือไง” จูเลียนสะดุ้งเล็กน้อย หันกลับมายังต้นเสียงก็พบว่าชายคนนั้นจ้องหน้าเขาเขม็ง
“เดี๋ยวก็ตายห่ากันพอดี” มันพูดกลั้วหัวเราะ เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงนิ่งเงียบ จูเลียนเองก็เช่นกัน เขาไม่แตะเพราะกลัวว่าอาหารที่มันทำจะไม่ปลอดภัย เกิดมันเล่นตุกติกอะไรขึ้นมาจะทำยังไง
“แกเป็ใคร” จูเลียนเอ่ยเสียงแข็ง จ้องเขม็งกลับไปด้วยแววตาที่เรียกว่าสั่นสู้ มันวางช้อนลงและจ้องหน้ากลับ กระตุกยิ้มมุมปากท่าทางกวนประสาท
“ฝีมือแกใช่มั้ย ศพทั้งหมดนั่นน่ะ” จูเลียนเอ่ยถามอีกครั้ง ทว่ามันไม่ตอบอะไรเอาแต่ยิ้มบางๆและทำหน้าเฉยเมย จัดการอาหารในจานของตัวเองจนหมดสักพักก็ลุกขึ้นยืน คว้าปืนลูกซองยาวที่แขวนบนฝาผนัง ทำท่าจะเดินออกจากกระท่อมไป
“ฉันไม่อยู่ก็ดูมันด้วย เข้าใจมั้ยแฟรงค์” เด็กหนุ่มเพียงพยักหน้ารับ ‘แฟรงค์’ งั้นหรอ จูเลียนหันไปมองคนที่ถูกเรียกกำลังก้มหน้าก้มตาตักไข่กวนในจานเข้าปากอย่างเชื่องช้า
“ส่วนแกก็อย่าทำตัวมีปัญหา ช่วยแฟรงค์หยิบจับนู่นนี่ซะ และอย่าคิดจะหนี แกไม่มีทางหนีพ้นหรอก” มันเอ่ยเสียงท้าทายพร้อมใบหน้ากวนประสาทเต็มที่
“แกคิดผิดแล้วแหละ อีกไม่นานทุกคนก็จะหาฉันเจอ แกต่างหากที่หนีไม่พ้น ไอ้ชาติชั่ว” มันกระตุกยิ้มมุมปาก พยักหน้าอย่างพึงพอใจที่ฝีปากคนตรงหน้านั้นเผ็ดร้อนเอาเื่
“แน่นอน พ่อแกมันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้วไอ้หนุ่มน้อย”
พูดจบมันก็เดินจากไปพร้อมปิดประตูหลังกระท่อมดังสนั่น ทิ้งให้จูเลียนนั่งหน้างงและสงสัยจนขมวดคิ้วแน่น พ่อแก? มันรู้จักพ่อเราด้วยหรอ มันเป็ใครกันแน่ หรือว่ามันก็แค่ขู่ไปอย่างนั้นเอง
แน่นอนว่าพ่อทำได้ทุกอย่างแบบที่มันบอกจริงๆ
แต่จะทำหรือเปล่าก็แค่นั้นแหละ