Chapter 5
Stranger who was kidnapped
เจย์ลีนตื่นนอนในตอนเช้าตรู่ แสงอาทิตย์ทำหน้าที่เป็ดั่งนาฬิกาปลุกเช่นเดิม สะลึมสะลือเล็กน้อยก่อนจะรีบดีดตัวลุกนั่งอย่างรวดเร็วเมื่อนึกถึงเื่ที่กังวลอยู่ ร่างเล็กก้าวเร็วไปยังห้องฝั่งตรงข้าม บิดประตูเปิดออกหวังว่าจะเจอกับคนที่ขาดการติดต่อไป ทว่าภายในห้องของจูเลียนยังไร้เงาเ้าของเช่นเดิม
ในอกสั่นและใจหวิวกว่าเก่า นี่เข้าวันที่สองแล้วที่คนน้องหายตัวไปแบบติดต่อไม่ได้ ความกังวลพาเจย์ลีนลงมายังชั้นล่าง รถยนต์ของจูเลียนจอดยิ่งสนิท จักรยานคันนั้นก็ยังคงหายวับไปพร้อมกับแฝดน้องเช่นกัน มันไม่ใช่ฝันแบบที่ภาวนาไว้เลย มันคือเื่จริง เื่จริงที่ทำให้หัวใจของเจย์ลีนลีบหดขึ้นทุกนาที
พลันนึกถึงบางสิ่งที่ได้ยินมาโดยบังเอิญ ตอนที่นั่งอยู่ในร้านเพชรที่ดูแลให้พอนั้น ลูกค้าหญิงวัยกลางคนสองคนคุยกันขณะกำลังเลือกแหวนเพชรและสร้อยเข้าชุดกัน หล่อนว่ามีข่าวลือเื่หนึ่งที่น่าหนักใจ เขาลือกันว่าละแวกแถวป่าชายเมืองกำลังมีฆาตกรต่อเนื่องออกอาละวาด เจย์ลีนตอนนั้นที่ได้ยินเองก็ถึงกับผงะและเบนความสนใจจากงานไปที่ลูกค้าสองคนนั้น
หล่อนว่าตำรวจเพ่นพ่านแถวนั้นบ่อยเหลือเกิน และบอกว่าไม่ใช่แค่สองสามศพ แต่ดูเหมือนจะมีจำนวนมากกว่าห้าเสียด้วยซ้ำ ทว่าไม่ยักกับมีใครได้ยินประกาศจากกรมตำรวจลอสแองเจลิสเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนว่าหากมันเป็เื่จริงอย่างที่ลือ คดีใหญ่แบบนี้ก็ยังคงถูกปกปิดจากตำรวจ และประชาชนอย่างเราๆเองก็ยังคงถูกปิดหูปิดตากันต่อไป
มันยิ่งทำให้เจย์ลีนกังวลหนักกว่าเก่าหลายเท่า ชายหนุ่มพยายามไล่เื่นี้ออกจากหัว มันคงจะเป็ไปได้ยากหรืออาจเป็ไปไม่ได้เลยที่คนอย่างจูเลียนจะไปเพ่นพ่านแถวนั้น เจย์ลีนทำได้เพียงหยุดความคิดลบนี้ซะ ก่อนจะรีบเดินขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อจัดการเตรียมตัวออกไปทำงานเหมือนเดิม แต่เขาคิดไว้แล้วว่าก่อนเข้าไปร้านคงจะต้องแวะไปหาใครคนหนึ่งที่บ้านให้ได้
“เมื่อวานพ่อไม่ได้กลับมาหรอ” คนลูกเอ่ยถามขณะรินกาแฟร้อนจากกาลงในแก้ว นายตำรวจใหญ่มองหน้าลูกชายเพียงคนเดียวด้วยสีหน้าอ่อนล้า เอนหลังอยู่บนโซฟาหน้าทีวี นี่คงจะเป็ที่ที่ได้นั่งอย่างสบายที่สุดในรอบอาทิตย์แล้วล่ะมั้ง
“อือ ไม่ได้กลับ มีคดีด่วน” เสียงเรียบเอ่ยตอบดูเหมือนเคยชิน ทว่าคนฟังแทบสำลักกาแฟในมือ เคนโตะเบิกตากว้าง ใจเต้นสั่นระรัวด้วยความใ
“คดีอะไรหรอพ่อ” ร่างสูงย้ายตัวจากห้องครัวตรงมายังห้องนั่งเล่นทันที ก่อนจะหย่อนตัวลงบนโซฟาเยื้องกับคนเป็พ่อ
“ก็นั่นแหละ เจอศพเพิ่ม” ซาโตรุผสานสองมือไว้ยังท้ายทอยและเงยหน้ามองเพดานพร้อมหลับตาขณะเอ่ยตอบด้วยความเหนื่อยอ่อน ท่าทีนิ่งเฉยต่างจากเคนโตะ มือถือแก้วกาแฟเริ่มสั่นเล็กน้อย ตัวเ็าวาบไปทั้งตัว ในสมองเริ่มคิดตีกันไปหลากหลายทาง ทว่ามีสิ่งหนึ่งก่อมวลหน้ายึดครองพื้นที่ในหัวไปเรียบร้อย
“แล้วพ่อระบุตัวตนได้หรือยัง” ซาโตรุลืมตา ก่อนจะปรายตามองคนลูกที่ดูสนใจออกนอกหน้าเป็พิเศษ ดูเหมือนไม่อยากจะเล่าแต่ก็ยอมเอ่ยปากออกมา เพราะเหลือกันแค่สองคนพ่อลูก เพราะฉะนั้นบางทีการสื่อสารเล็กๆน้อยๆมันก็จำเป็สำหรับเขาเหมือนกัน
“ได้แล้ว เป็ผู้ชายแก่กว่าพ่อไม่กี่ปี” คำตอบจากปากพ่อทำเอาเคนโตะลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่แบบที่คิดไว้
เคนโตะลุกเดินเลี่ยงมาอีกทางเพราะดูท่าพ่อ้าจะพักผ่อน เขาเดินขึ้นไปยังห้องนอนตามเดิม วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งและเอนหลังอย่างช้าๆบนเก้าอี้ล้อเลื่อนตัวโปรด
ถ้าเป็ผู้ชาย อย่างน้อยก็ไม่ใช่จูเลียน แม้มันจะดูเป็ความคิดที่ช่างติดลบไปสักหน่อย หากแต่การหายตัวไปแบบนี้มันก็น่าหวั่นใจ เคนโตะโทรหาจูเลียนวันละเกือบห้าสิบสาย จะกดโทรทุกครั้งที่นึกออก ทว่ามันไม่เคยได้รับการตอบรับจากอีกฝ่ายเลย ในอกคับแน่นอึดอัดไปหมด เป็ห่วงเหลือเกินแต่ก็ไม่รู้ว่าอีกคนหายไปไหน
หรือว่า… ร่างสูงดีดตัวหลังตรงทันที ครั้งล่าสุดที่ทะเลาะกันจนอีกคนไปทั้งที่น้ำตานองหน้านั้น มันก็เพราะเื่คดีนี้ ดวงตาคมมองส่ายไปมาอย่างสับสนและกังวลใจมาก ได้แต่ภาวนาขอให้อย่าเป็แบบนั้นเลย แต่เขาเองก็จะไม่อยู่เฉยแน่นอน ต้องทำอะไรสักอย่างให้หายวิตกและวางใจได้จริงๆว่าจูเลียนจะไม่ตกอยู่ในอันตราย
ชายวัยกลางคนจอดรถคลาสสิคคันหรูที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ชะเง้อมองเงาสะท้อนของตัวเองจากกระจกมองหลัง กระชับเสื้อโค้ตและปัดเบาๆเพื่อเพิ่มความมั่นใจ วันนี้ทิมแต่งตัวด้วยชุดที่ดูสบายและไม่ทางการสักเท่าไหร่ สวมแว่นกันแดดสีชาเพื่อบดบังตัวตน แต่เอาเข้าจริงๆก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่
เขาเปิดประตูรถและกดล็อก วาดแขนดูนาฬิกาบนข้อมือก็พบว่าเหลืออีกสิบห้านาทีกว่าจะถึงเวลานัด ทิมเดินตรงเข้าไปในร้าน สอดสายตาหลังแว่นกันแดดเพื่อมองหาที่นั่งที่ไม่เป็จุดสนใจมากที่สุด กุญแจรถอยู่ในกระเป๋ากางเกง อันที่จริงเขามีคนขับรถประจำตัว หากแต่นัดสำคัญแบบนี้ทิมถือว่าเป็ธุระส่วนตัว เขาไม่้าให้ใครมามีส่วนร่วมทั้งนั้น
ชายวัยสี่สิบห้านั่งลงที่โซฟาหนังตัวหนึ่ง พนักงานสาวเดินมาวางเมนูตรงหน้าพร้อมยิ้มให้หนึ่งที มองจากภายนอกก็พอรู้ว่าเป็คนมีตัง บวกกับบุคลิกที่ดูจะอ่อนวัยกว่าอายุจริงมากโข มันจึงไม่แปลกที่จะมีสาวน้อยสาวใหญ่ให้ความสนใจเขา ทว่าทิมเองไม่สนใจเื่ความรักอีกต่อไปั้แ่ภรรยาเขาตายไป
“ผมขอมอคค่าร้อนกับครัวซองครับ” เขาสั่งอาหารเล็กๆน้อยๆมาทานเพื่อรองท้อง พนักงานสาวจดยุกยิกลงในกระดาษ ก่อนจะรวบเมนูและเดินหายไปทางเคาท์เตอร์ ทิมยกข้อมือขึ้นดูเวลาอีกครั้ง ทว่าเสียงเปิดประตูและกล่าวทักทายของพนักงานก็ทำให้เขาไม่ต้องดูเวลาอีกต่อไป
ชายคนหนึ่งที่ทิมคุ้นเคยเป็อย่างดีใน่ชีวิตหนึ่งปรากฏตัวตามนัด เขามองซ้ายขวาก่อนจะเจอใบหน้าคุ้นเคยแล้วก็ยิ้มออก เดินตรงมาที่โต๊ะและนั่งลงตรงข้ามกับทิมทันที
“ไม่เจอกันนานเลยพวก” ชายคนนั้นเอ่ยทัก
“กี่ปีแล้ววะเนี่ย เกือบยี่สิบปีแล้วมั้ง”
ทิมจำได้ว่าครั้งล่าสุดคืองานศพของแคลร์ ภรรยาเขา ‘ร็อบ’ พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมหัวเราะเบาๆ ชายตรงหน้าทิมคือร็อบ เพื่อนเก่าั้แ่สมัยไฮสคูล ที่จริงโตมาด้วยกันั้แ่เด็ก ที่จริงมีเพื่อนอีกคนแต่ทิมและร็อบติดต่อไม่ได้ั้แ่จบไฮสคูลมา ร็อบตัวสูงกว่าทิมหลายเซน ผิวแทนจากแดด ตัวใหญ่โตเพราะเล่นกีฬามาั้แ่สมัยเด็ก ตอนนี้ก็ได้ดิบได้ดีเป็ถึงหัวหน้าฝ่ายสืบสวนสอบสวน
“นายสั่งอะไรมั้ย ฉันเลี้ยงเอง” ทิมเอ่ยถาม อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ดีกว่า ฉันกินอะไรตอนเช้าแล้วไม่ค่อยดีว่ะ วิ่งเข้าห้องน้ำเป็ว่าเล่น” ทั้งสองหัวเราะผสานกัน ก่อนจะคุยกันถึงเื่เก่าๆจนเกือบลืมว่าจุดประสงค์ในการนัดมาครั้งนี้คืออะไร
“เออว่าแต่ แกนัดฉันมาที่นี่เนี่ย มีอะไรหรอ” ร็อบเอ่ยถาม
“เอ่อ คือฉันมีเื่สำคัญจะให้ช่วยน่ะ” สีหน้าทิมดูเปลี่ยนไปหลังจากคำถามของร็อบ มันดูกลัดกลุ้มและหนักใจยังไงชอบกล ร็อบพยักหน้าเป็เชิงบอกว่าให้เล่ามาได้เลย ทิมคว้าแก้วมอคค่าร้อนขึ้นจิบหนึ่งทีก่อนจะเริ่มเปิดปากพูด
“คือลูกฉันน่ะ จูเลียนแฝดคนน้อง หายไปจากบ้านเข้าวันที่สองแล้วว่ะร็อบ”
“จริงหรอ แล้วติดต่อได้บ้างมั้ย” สีหน้าร็อบดูใพอสมควร เขาเขยิบตัวเข้ามาใกล้และเริ่มซักถามทันที
“ติดต่อไม่ได้เลย ฉันก็เลยนึกถึงแกคนแรก แกช่วยฉันได้ใช่มั้ยร็อบ ฉันรู้ว่าแกช่วยฉันได้” ทิมดูมีอาการเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เขาร้อนรนและแทบนั่งไม่ติดโซฟา ร็อบเองก็ดูมีสีหน้าลำบากใจไม่น้อย
“่นี้ติดคดีใหญ่กันทั้งนั้นเลยว่ะ ฉัน…”
“ได้โปรดนะร็อบฉันขอร้อง ฉันเหลือแกเป็ที่พึ่งสุดท้ายแล้วจริงๆ นะร็อบ” น้ำเสียงขอร้องและท่าทางที่ดูหมดหนทางจริงๆของมหาเศรษฐีตรงหน้านายตำรวจใหญ่มันช่างดูขัดแย้งกันเสียเหลือเกิน ทั้งที่จริงๆแล้วทิมนั้นมีอำนาจกว่าเขามากโข หากแต่คำว่าเพื่อนนั้นไม่มีแบ่งหรอกว่าใครจะอยู่สูงมากกว่าใคร ทิมเขย่าข้อมือของเพื่อนเบาๆ ร็อบพยักหน้าตกลงอย่างช้าๆ
“โอเคๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะพาไปเจอทีมสอบสวนก็แล้วกัน” สีหน้าของทิมดีใจเหลือเกินและพรั่งพรูถ้อยคำขอบคุณคนเป็เพื่อนเสียยกใหญ่ อย่างน้อยจะได้มีหวังขึ้นมาสักหน่อย เพราะเขาและเจย์ลีนนั้นร้อนใจเหลือเกิน ถึงแม้ความแข็งกระด้างของทิมในบางคราจะดูเหมือนไม่สนใจ หากแต่ความจริงนั้นเขารักลูกทั้งสองที่สุดในชีวิต เพราะมันเป็เพียงอย่างเดียวที่แคลร์เหลือทิ้งไว้บนโลกใบนี้ให้แก่เขา
ในห้องประชุมห้องเดิมที่คุ้นเคย สมาชิกเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน มีเพียงเดวิดที่แมททิวพึ่งจะโทรตาม เสียงปลายสายงัวเงียเต็มที่และตามมาด้วยเสียงกระป๋องเบียร์ล้มระเนระนาด แมททิวเห็นว่าคงจะเล่าให้ฟังทีหลังได้เลยเริ่มการประชุมก่อน เพราะกว่าจะรอให้เพื่อนร่วมทีมย้ายสารร่างมาถึงกรมก็คงอีกนานโข คนอื่นและรวมถึงเขาเองก็มีงานให้สะสางต่อไม่น้อย
“ภรรยาเขามานานแล้วหรือยัง?” ซาโตรุเอ่ยถามเพื่อตามความคืบหน้าเพราะมาถึงทีหลังสุด
“สักพักแล้วครับ อยู่กับพอล เดี๋ยวสักพักหมอนั่นก็คงมาที่นี่” แมททิวเอ่ยตอบ เขาติดต่อญาติศพล่าสุดได้แล้วั้แ่เมื่อวาน และหล่อนก็เป็ภรรยาของคนตายนั่นแหละ มาถึงเมื่อเช้าและไปยืนยันศพสามีตัวเองอยู่ที่ฝ่ายชันสูตร
“มานู่นละ” คริสเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นพอลโผล่พ้นประตูหน้าแผนกเข้ามา ก่อนที่จะเดินปรี่ตรงมายังห้องประชุมที่คนทั้งสี่รวมแดนอีกคนรออยู่ทันที
“ได้เื่ยังไงบ้างพอล” ซาโตรุเอ่ยถาม พอลปรายตามองกลับมานิ่งๆ คิดในใจว่าจะไม่รอให้เขาหายใจหายคอก่อนหรือไง มาถึงก็ยิงคำถามทันทีแบบนี้ รู้จักการรอคอยบ้างสิ
“มีคืบหน้าอยู่ ตอนแรกคิดว่าเธอจะช็อกกว่านี้นะ ดูข่มอารมณ์ได้อยู่ แต่น้ำตาไหลไม่หยุดเลย” พอลว่าหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง เอนหลังพิงด้วยความเมื่อยล้า ก่อนจะพูดต่อทันทีโดยไม่รอให้คนใหญ่สุดในนี้ตั้งคำถามอะไรที่ขัดหูต่อ
“เธอบอกว่ามีบางอย่างหายไปจากตัวสามี ทีแรกเหมือนจะไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามันหายไป แต่พอฉันยืนยันว่ามันไม่มีจริงๆถึงยอมเชื่อ”
“อะไรล่ะที่หายไป ฉันก็ว่าฉันตรวจครบหมดไม่เคยเก็บพลาดนะ” แดนเอ่ยขึ้นท่าทางงุนงง มันก็จริงอย่างที่เขาพูด เพราะทุกคนรู้ดีว่าตลอดระยะการทำงานของแดน ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานที่พ่วงหน้าที่เก็บของกลางในจุดเกิดเหตุหรือที่พบศพนั้น ไม่เคยมีสักครั้งที่จะมีอะไรรอดสายตาที่แหลมคมราวเหยี่ยวแบบเขาไปได้
“ฟันทอง” พอลโพล่งออกมาหน้าตาเฉย ทว่าคนที่เหลือขมวดคิ้วงงเป็ไก่ตาแตก
“ฟันทองเนี่ยนะ” คริสอุทานออกมาด้วยความสงสัย
“อื้อ หล่อนบอกว่าเบอติชไปทำฟันทองเอาไว้ั้แ่สมัยหนุ่มๆมั้ง มันเป็ฟันกรามซี่ในสุด พอหล่อนว่าอย่างงั้นฉันก็เลยลองตรวจดูมันซะตอนนั้นเลย ก็จริงอย่างที่ว่า มันดูเหมือนว่าเคยมีอะไรอยู่ตรงนั้นจริงๆนั่นแหละ” พอลไล่เรียงเหตุการณ์อย่างใจเย็น
“หรือว่ามันจะเอาไปด้วย ไอ้บ้านั่นน่ะ” คริสเกลี่ยนิ้วเรียวที่ปลายคางเบาๆอย่างครุ่นคิด
“เออจริงด้วย! ฉันจำได้อยู่ว่าแอชลีย์ศพที่สองน่ะ ภรรยาเขาก็เคยมาถามกับฉันที่แผนกว่าเจอแหวนแต่งงานบ้างมั้ย” แดนโพล่งขึ้นกลางวงสนทนาท่าทางตื่นเต้น
“แล้วนายตอบไปว่าไง” แมททิวหันหน้ามาถาม ในตอนนี้ทั้งวงสนทนาพุ่งเป้ามาที่แดนทันที
“ฉันก็บอกไปว่าไม่เจอจริงๆ เพราะฉันน่ะจะตรวจสถานที่สามรอบอย่างต่ำ แต่หล่อนก็ยืนยันว่าแอชลีย์ไม่เคยถอด มันเป็ไปไม่ได้ที่จะหายไป ฉันแค่คิดว่ามันร่วงหรือเปล่า แต่ฉันลองย้อนกลับไปดูมันก็ไม่มีจริงๆนะ” แดนเล่าด้วยน้ำเสียงตั้งคำถาม ดูเหมือนว่าขณะนี้ทั้งห้าคนในห้องจะมีความคิดเดียวกันไม่มีผิด
“มันมีเยอะอยู่นะ พวก collector แบบว่าเก็บเอาไว้เป็ตัวแทนของสิ่งที่มันทำลงไป เรียกว่าแบบ เก็บไว้ชื่นชมน่ะ” คริสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวเล็กน้อย เขาพอจะคิดออกเพราะจากคดีเก่าๆที่เคยได้ยินมามันก็มีไม่น้อยที่พวกฆาตกรต่อเนื่องจะทำแบบนี้ ดูอย่างเอ็ด กีนสิ หมอนั่นเล่นถลกหนังทุกศพที่ฆ่าเอามาทำเป็เฟอร์นิเจอร์ด้วยซ้ำ เพราะงั้นถ้าไอ้คนที่ทีมสามกำลังต่อกรอยู่ มันจะเก็บอะไรเล็กๆน้อยๆติดตัวไปด้วยก็คงไม่แปลกสักเท่าไหร่
เสียงปิดประตูดังลั่นกระท่อมเมื่อครู่ของมันยังทำจูเลียนสะดุ้งไม่หาย หันมองเด็กหนุ่มอีกคนในบ้านที่ท่าทางดูเคยชินแล้วก็ถอนหายใจออกมา โล่งอกที่มันไปซะที อย่างน้อยถ้าจะถามอะไรอีกคนสักหน่อยก็คงไม่ยาก
“นี่” จูเลียนเอ่ยเรียกเสียงเบา แฟรงค์เพียงปรายตามองอย่างช้าๆ ดวงตาคมทว่าั์ตาใสแจ๋วดูไร้พิษภัย
“มันน่ะ เป็คนทำเื่ทั้งหมดใช่มั้ย ทั้งหกศพนั่นน่ะ” คนตัวเล็กเอ่ยถามอย่างไม่เกรงกลัวว่าเด็กหนุ่มจะเป็พวกเดียวกับมันหรือเปล่า ทว่าท่าทางของแฟรงค์ดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อจูเลียนพูดถึงเื่นั้นขึ้นมา เขาหลบตาไม่มองสบและจัดการอาหารในจานต่อ
“ฉันว่าแล้วว่าฝีมือมันจริงๆด้วย เพราะตอนที่ฉันเข้าใกล้กระท่อมหลังนั้น มันต้องเป็คนยิงปืนห้านัดนั้นไล่ฉันแน่ๆ” แฟรงค์ลอบมองและทำทีไม่สนใจที่อีกคนพูด ที่ว่ากระท่อมหลังนั้น เพราะมันไม่ใช่หลังเดียวกันกับหลังนี้ แฟรงค์รู้ดีว่าทำไม
กระท่อมหลังนั้นที่เดาว่าอีกคนหมายถึงคือกระท่อมร้างหลังเล็กที่ไม่ได้ลึกเข้ามาไกลขนาดนี้ ที่นั่นมันไม่มีอะไรเลยนอกจากเศษใบไม้แห้งและเศษดินเกรอะกรังเหมือนไม่มีคนอยู่และถูกทิ้งไว้ ทั้งที่จริงแล้วมันยังคงแอบใช้อยู่บ้าง แต่ไม่บ่อยนัก เพราะตำรวจเคยมาถึงที่นั่นครั้งหนึ่ง เลยทำให้ต้องปล่อยทิ้งไว้ให้ดูร้างกว่าเก่า
ขณะที่ในหัวจูเลียนเองก็มั่นใจว่ามันคือคนละหลัง ชายหนุ่มค่อนข้างแน่ใจว่าตอนนี้เขาอยู่ในป่าลึกไม่ผิดแน่ และเดาว่าคงเป็พื้นที่ที่เขาเองก็ยังไม่ได้สำรวจถึงแน่นอน
“จะกินหรือเปล่า” หลังจากจัดการมื้อเช้าในจานจนหมด แฟรงค์เอ่ยถามคนที่คาดว่าคงโตกว่าเบาๆ เขาทำท่าจะเก็บจานและลุกเอาไปล้างให้สะอาดก่อนที่มันจะกลับมา
“ฉันไม่กิน เกิดไอ้นั่นมันเอาอะไรใส่ให้ฉันกินจะทำยังไงล่ะ” จูเลียนเอ่ยตอบ แฟรงค์ไม่สบตา เพียงแต่หยิบจานของตัวเองและล้างมันลงในอ่างสังกะสีที่มีถังใส่น้ำเต็มปริ่มที่ทำจากวัสดุเดียวกันวางอยู่ข้างๆ
จูเลียนมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่ยืนห่างจากเขาไปประมาณหนึ่งเมตร คะเนจากสายคงน่าจะสักสิบแปดไม่เกินนี้ เรือนผมสีมะฮอกกานีและั์ตาสีเขียวมรกต กระเป็จุดบนหน้าแก้ม แววตาใสซื่อดูไม่มีพิษภัยและไม่น่าจะทำอะไรเขาได้
“ฉันจะหนีไปจากที่นี่” จูเลียนโพล่งขึ้นด้วยถ้อยคำโง่เขลา หากแต่้าจะดูปฏิกิริยาของอีกคนมากกว่า แฟรงค์ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะจัดการจานในมือให้เสร็จและวางคว่ำไว้บนโต๊ะ
“รอนานกว่านี้ให้พ่อมาช่วย มีหวังฉันได้โดนมันฆ่าเข้าสักวันแน่” หางเสียงอ่อนลง เด็กหนุ่มหันมาอย่างช้าๆ ยืนนิ่งและมองจ้องมาที่คนโตกว่าบนเก้าอี้ สีหน้าเรียบเฉย
“หนีน่ะหนีได้ เพราะผมเองก็คงไม่มีปัญญาจะไล่ตามคุณทันหรือต่อสู้อะไร” จูเลียนนั่งนิ่งฟังสิ่งที่แฟรงค์กำลังจะพูด
“แต่คุณไม่มีทางหนีเขาพ้นหรอก เขาอยู่ที่นี่มานาน หลับตาเดินเขายังไล่ตามคุณทันแน่ๆ หนีไปก็เปล่าประโยชน์”
“แต่นายจะให้ฉันรอความตายอยู่ที่นี่หรือไง” จูเลียนเอ่ยเสียงแข็ง แววตาดูหงุดหงิดต่างจากอีกคนที่นิ่งเฉยสงบราวกับมหาสมุทร
“ไม่ใช่คุณคนเดียวที่รอความตายสักหน่อย”
พูดจบก็โน้มตัวลง มือเรียวของเ้าของเรือนผมสีมะฮอกกานีเอื้อมจับชายกางเกงผ้าขายาวของตัวเอง เลิกมันขึ้นอย่างช้าๆ จูเลียนจ้องมองไม่นานนักก็ตาเบิกกว้างและอ้าปากค้างด้วยความใ
“มันทำ มันทำนายหรอ” จูเลียนกำลังพูดถึงรอยช้ำแดงรอบข้อเท้าที่ดูแล้วน่าจะมาจากการกักขังโดยไม่ต้องเดา เด็กหนุ่มปล่อยชายกางเกงลงตามเดิม ก่อนจะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมของตัวเอง
“กินซะเถอะ เขาไม่ได้มีเงินถึงขนาดจะไปซื้ออะไรที่เป็พิษมาใส่ให้คุณหรอก” แฟรงค์เลื่อนจานอาหารให้เข้าไปใกล้จูเลียนมากขึ้น สายตาของคนโตกว่าแม้ดูเปิดรับแต่ท่าทางยังไม่ไว้วางใจสักเท่าไหร่
“แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไง” จูเลียนเอียงคอเล็กน้อยอย่างตั้งคำถาม ดวงตาคมเรียบเฉยสีเขียวมรกตมองคนขี้สงสัยครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบช้อนและตักไข่กวนในจานของจูเลียนเข้าปากหนึ่งคำ เคี้ยวสักพักก็กลืนลงคอ
“ถ้าคุณไม่กินก็ไม่มีแรงหนีแบบที่อยากทำ แล้วก็จะไม่มีแรงทำงานช่วยผมแบบที่เขาสั่งด้วย” แฟรงค์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตรงไปยังถังสังกะสีบนพื้นที่บรรจุน้ำอยู่เต็มปริ่ม
“เขาจะฆ่าคุณกับผมวันไหนก็ยังไม่รู้เลย” พูดจบก็ยกถังสองใบจนเส้นเืที่แขนปูดโปนและเดินออกไปทางหลังบ้าน
จูเลียนมองตามพักหนึ่งและเริ่มตักอาหารในจานกินอย่างช้าๆ รสชาติไม่ได้ดีเด่อะไรแต่ก็ไม่ได้แย่ จริงอย่างที่แฟรงค์พูด ถ้ากินได้ก็ควรกินไว้จะดีกว่า อีกอย่างเด็กนั่นดูท่าทางเป็มิตร ถ้าหากจะตีเนียนสนิทสนมก็ไม่น่ายาก และเผลอๆเขาอาจจะช่วยจูเลียนหรือทำประโยชน์อะไรก็ได้ในวันข้างหน้า
มือหนาหยิบของจากชั้นวางในร้านของชำทีละอย่าง ทั้งหมดในตะกร้าบางอย่างเหมือนเดิม ปกติแล้วจะไม่ได้ใช้ตะกร้าหรอก หากแต่วันนี้มีของต้องซื้อเพิ่ม เพราะดูเหมือนว่าจะมีสมาชิกที่ไม่ได้รับเชิญโผล่เข้ามาโดยบังเอิญ ไม่สิ อาจจะตั้งใจก็ได้
เสื้อผ้าสองชุดที่เดาว่าเด็กนั่นคงใส่ได้ รวมไปถึงของใช้ส่วนตัวสองสามอย่างวางเรียงกันพร้อมหน้า ราคามันก็ไม่ได้ถูกนัก แต่ก็ใช้ว่าเขาจะยากจนแบบบุคลิกภายนอกที่คนทั่วไปเห็น เด็กคนนั้นยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่าั้แ่เขาอุ้มกลับมาที่กระท่อม เห็นทีพรุ่งนี้คงต้องพาไปลำธารในป่า
ขณะที่เขาหยุดยืนเลือกแปรงสีฟันอยู่นั้น พลันเสียงคุยกันจากลูกค้าคนอื่นก็แว่วมาให้ได้ยินโดยบังเอิญ มันทำทีไม่สนใจ ทว่าหัวข้อที่คุยกันนั้นทำเอาคนแอบฟังชะงักไปครู่หนึ่ง
“เขาว่าตำรวจเจอศพเพิ่มอีกแล้ว ฉันก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไมไม่แถลงข่าวให้เป็เื่เป็ราวสักที จะรอคนทั้งเมืองตายหมดก่อนหรือไง” มันชะโงกหน้าก็พบกับหญิงแก่สองคนยืนคุยกันอยู่ที่หน้ากระบะผลไม้ หญิงร่างท้วมเอ่ยบ่นท่าทางหัวเสีย ขณะที่อีกคนที่ผอมสูงกว่าพยักหน้าเชิงเห็นด้วย
“ก็จริงนะ ฉันได้ยินแบบนี้แล้วก็พาลกลัวไปด้วยเลย ภาวนาขอให้มันเป็แค่ข่าวลือเถอะ” หล่อนลูบสร้อยกางเขนที่สวมอยู่ที่คอ ราวกับจะเอ่ยขอร้องกับผู้เป็เ้าก็ไม่ปาน สักพักทั้งสองก็พากันเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ ทิ้งไว้ก็แต่คนแอบฟังที่ยืนนิ่ง ใจเต้นระส่ำ ขัดกับในหัวที่ความคิดบางอย่างโลดแล่นในสมองจนร่างกายเย็นวาบทั้งตัว
สุดท้ายจึงตัดสินใจก้าวเดินต่อหลังจากหยิบของครบเรียบร้อย ยังไม่วายต้องมาต่อแถวคิดเงินถัดจากหญิงสองคนนั้น หล่อนพรั่งพรูข้อมูลใส่พนักงานหนุ่มคนนั้นไม่หยุดหย่อน กระทั่งทั้งสองคนจากไป มันขยับตัวและวางตะกร้าลงบนเคาท์เตอร์ ข้าวของที่เพิ่มจำนวนขึ้นทำเอาพนักงานอย่างแซมขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร และไม่คิดจะถามอะไรอยู่แล้ว
“พวกตำรวจ เอ่อ เขาพบศพกันที่ไหนหรอ” แซมชะงักเล็กน้อย เป็ครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้ยินเสียงของชายคนนี้ ไม่คิดว่าเขาจะพูดด้วย แซมเงยหน้ามอง พบว่าชายคนนั้นมองเขาอยู่ก่อนแล้ว แววตาของคนตรงหน้านั้นดูอ่อนโยนกว่าภายนอกที่แซมเห็นอยู่เป็ไหนๆ
“เห็นคุณป้าสองคนเมื่อกี้บอกว่าลำธารเล็กชายป่าครับ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะห่างจากถนนใหญ่ยี่สิบกิโล” แซมเอ่ยตอบเสียงเจื้อยแจ้วขณะมือสองข้างก็หยิบข้าวของเพื่อคิดเงินทีละชิ้น เป็อย่างที่คิดว่าไร้เสียงตอบกลับ แซมแจ้งราคาของ มันยื่นเงินให้ และรวบของทั้งหมดออกจากร้านไปทันที
แซมขมวดคิ้วงุนงงเล็กน้อย มองกลุ่มควันขาวเทาจากกระบะของชายคนนั้นและเสียงเครื่องยนต์ระงมลับหายไป นึกแปลกใจว่าทำไมอยู่ดีๆวันนี้เขาถึงพูดขึ้นมาได้นะ ปกติแค่หน้าก็ไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ แต่อีกใจก็คิดว่าคงเปล่าประโยชน์ที่จะคิดอะไรต่อ เพราะดูเหมือนว่าความแปลกมันจะเป็เื่ปกติของชายคนนี้ไปเสียแล้ว ไม่รู้สิ ช่างเถอะ