Chapter 3
Walking through the scariest night
ท่ามกลางความมืดมิดภายใต้หลังคาของกระท่อมไม้ชั้นเดียวหลังหนึ่ง ลึกเข้าไปในป่าที่หากไม่คุ้นชินคงจะหาทางออกไม่เจอและอดตายเป็ศพอยู่ได้ไม่ยาก ดวงตาคมที่มองโลกใบนี้มาร่วมเกือบห้าสิบปียังคงเปิดอยู่แม้จะผ่านไปนานหลายชั่วโมงหลังพระอาทิตย์ตกดิน ร่างสูงของชายวัยกลางคนนอนราบก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง ห้วงความคิดสับสนปนเปตีกันระเนระนาดราวกับา
แผ่นหลังปวดร้าวเล็กน้อยเนื่องจากอายุอานามที่มากขึ้นทุกปี ซ้ำร้ายที่ซุกหัวนอนเองก็ไม่ได้สะดวกสบายเสียเท่าไหร่ ห้องสี่เหลี่ยมที่ทำหน้าที่เป็ห้องนอนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ประกอบจากไม้ที่ลงมือปลูกสร้างเป็กระท่อมขนาดย่อมด้วยตัวเอง มันสร้างที่นี่กลางป่าลึกร่วมยี่สิบปี ถัดจากกระท่อมไปก็เป็ผืนป่าไกลสุดลูกหูลูกตา
ความเงียบสงัดปกคลุมจนได้ยินเสียงลมหายใจที่เข้าออก ความมืดมิดยามค่ำคืนกลางป่ามีเพียงแสงจากดวงจันทร์เหลืองนวลเท่านั้น ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีอะไร มีแต่ตัวเขาแต่ไม่ใช่ลำพัง ดวงตาคมกะพริบอย่างเชื่องช้าขัดกับหัวสมองที่ขบคิดอะไรมากมาย
ตัดสินใจเอื้อมมือที่วางอยู่บนอกไปใต้หมอน คว้าเอารูปถ่ายสีซีดหนึ่งใบออกมามองจ้องอย่างยากลำบากเล็กน้อยจากแสงสว่างที่ไม่เพียงพอ หากแต่ในใจรู้ดีว่าหญิงงามในรูปใบนี้ยังคงยิ้มกว้างให้ช่างภาพอย่างเขาเสมอ แม้ตัวหล่อนจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ทว่าเขาเองยังคงจดจำทุก่เวลาที่ผ่านมาด้วยกันได้ชัดเจน
เสียงแ่เบาแหบแห้งที่ถูกมวนมะเร็งเล่นงานเอ่ยขึ้น ดวงตามองจ้องรูปภาพในมือไม่ย้ายหนี พึมพำสนทนากับคนในรูปถ่ายแม้รู้ดีว่าจะไม่มีเสียงใดตอบกลับนอกจากเสียงลมพัดหวิวไวของใบไม้เพียงเท่านั้น แต่มันคงเป็สิ่งเดียวที่จะทำได้ยามรู้สึกอ้างว้างและตัวคนเดียวเช่นนี้
พลันขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา และก่อนที่หยดน้ำสีใสไร้ราคาจะไหลอาบแก้มเหี่ยวย่นนั้น มันเลื่อนรูปใบซีดเข้ามาใกล้และจรดริมฝีปากแห้งผากจุมพิตเบาๆด้วยความคิดถึงที่สุมแน่นเต็มอกอันแสนร้าวระบม บรรจงสอดรูปไว้ใต้หมอนที่ส่งกลิ่นอับอย่างเบามือ คว้าเอาผ้าห่มผืนบางที่เก่าเก็บมาห่มแผ่นอกและหลับตาลงจนเข้าสู่ห้วงนิทรา
อีกฟากหนึ่งในกระท่อมหลังเดียวกัน หลังประตูไม้บานตรงข้ามกันนั้นเองก็ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดเฉกเช่นเดียวกัน ร่างสูงผอมเหยียดราบบนฟูกอับขึ้นรา ไร้เตียงเหล็กที่ผุพังแบบอีกห้อง ลมหายใจแ่เบาเข้าออกพร้อมแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะ
ข้อเท้าขาวซีดถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนเส้นไม่หนานัก แต่มันก็เพียงพอที่จะลิดรอนอิสระของเขาให้หมดสิ้นในตอนกลางคืนได้เป็อย่างดี รอยแดงรอบๆบ่งบอกชัดเจนว่าเขาถูกล่ามแบบนี้เป็ประจำ และจะถูกมอบเสรีภาพคืนในตอนเช้าตรู่หลังจากที่อีกคนใต้ชายคาเดียวกันตื่น แม้จะปวดช้ำเพียงใดหากแต่เขาเองก็ตกอยู่ในสภาพจำยอมและไม่มีสิทธิ์มีปากเสียงใดใดกับการถูกตรึงไว้แบบนี้
รอบตัวถูกตีปิดด้วยแผ่นไม้ เขาจ้องมองหลังคานี้ทุกวันเพื่อให้ผล็อยหลับไปเอง แม้การขยับเขยื้อนจะยากลำบากสักหน่อยแต่ความเคยชินก็สอนให้ปรับตัวไปได้เอง เพราะเลือกเกิดไม่ได้มันก็คงต้องยอมรับ แม้โลกภายนอกจะรอเขาอยู่ทว่าเขาเองก็ไม่ได้อยากจะออกไปเผชิญกับมันสักเท่าไหร่ ลืมตาดูโลกมาก็อยู่ที่นี่เสียแล้ว ที่แห่งนี้ กระท่อมหลังนี้ที่ขังเขาไว้อย่างไร้ทางดิ้นรน
ชายหนุ่มหลังพวงมาลัยรถคันหรูจอดเทียบที่หน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังงาม ก้าวลงจากรถเหยียบลงบนสนามหญ้าหน้าบ้าน ดูเหมือนพุ่มไม้ที่ช่วยเคนโตะเลือกมาปลูกจะออกดอกเสียแล้ว สีม่วงสดใสแบบที่จูเลียนชอบ รถยนต์ของซาโตรุไม่อยู่ สายเอาป่านนี้แล้วเขาคงออกไปกรมตำรวจ จูเลียนเร่งฝีเท้าเดินเข้าบ้านอย่างเคยชิน เขามาที่นี่บ่อยราวกับเป็บ้านหลังที่สอง แต่ที่แตกต่างออกไปคือวันนี้จูเลียนมีเื่ด่วนที่ไปเจอมาเมื่อวานจะเล่าให้เคนโตะฟังโดยด่วน
“เคน!” เ้าของดวงตากลมร้องทักอดีตคนรักที่กำลังง่วนอยู่กับการคนไข่กวนในกระทะ เคนโตะสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองก็พบกับประกายสดใสในดวงตาคู่โปรด ทว่าจูเลียนกลับสังเกตเห็นความขุ่นมัวเจืออยู่เล็กน้อยในดวงตาคมของเ้าของบ้าน
“กินอะไรมั้ย” เคนโตะเอ่ยถามขณะกวาดไข่กวนในกระทะใส่จานโต๊ะกินข้าวกลางห้องครัว
“ไม่ล่ะ นี่ ฉันมีเื่อะไรจะบอกด้วย เมื่อวานน่ะ…” ยังไม่ทันจะจบประโยคปากบางอิ่มก็ต้องปิดลงเมื่อเห็นสายตาของอีกคน เคนโตะนั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะกินข้าว กอดอกจ้องมองคนตัวเล็กอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“เป็อะไรไป ทำหน้าบูดแต่เช้า”
“ไปป่ามาใช่มั้ย” เสียงเรียบเอ่ย จูเลียนรีบสาวเท้านั่งลงตรงข้าม สงสัยว่าอีกคนรู้ได้ยังไงเพราะเมื่อวานเขาไม่ได้บอกว่าจะไปไหน ที่บอกเคนโตะก็มีแค่ถ้าหากพี่ชายหรือพ่อโทรมาหาถามถึงเขาให้ตอบไปแค่ว่าอยู่กับเคนโตะ ไอ้เื่ไปป่าเขาไม่ได้บอกเพราะมั่นใจว่าคนตรงหน้าต้องไม่ยอมแน่ๆ
“คือฉัน…”
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกดื้อรั้นหัวชนฝาซะที รู้มั้ยว่าเมื่อวานเจย์ลีนโทรมาหาฉัน พี่ชายเธอโทรมาหาฉัน โอเค ฉันรู้แหละว่าต้องโกหกให้เธอว่าเธออยู่กับฉัน ทั้งที่ในใจฉันไม่ได้อยากโกหกเลย และฉันเองรู้ดีว่าเธอต้องไปที่นั่นแน่ๆ เธอเลิกพยายามสักทีเถอะ…”
“ฉันรบกวนนายมากขนาดนั้นเลยใช่มั้ย” เสียงหวานเอ่ยตอบอย่างสั่นเครือไม่ต่างจากแววตาที่เริ่มจะสั่นระริกและเอ่อคลอไปด้วยม่านน้ำตา เคนโตะถอนหายใจเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง รู้ดีว่าเมื่อครู่เสียงตัวเองแข็งและโมโหมากแค่ไหน
“มันไม่ใช่แบบนั้นจูล ฉันไม่เคยว่าหรอกถ้าจะให้ช่วยโกหกอะไรเล็กๆน้อยๆ แต่ฉันห่วงเธอ ถ้าเธอเข้าไปยุ่งกับเื่นี้จนเกิดอันตรายฉันจะทำยังไง…” จูเลียนส่ายหน้า ดวงตากลมมองขึ้นบนเพดานเพื่อข่มอารมณ์และหักห้ามไม่ให้น้ำตาไหลออกมาต่อหน้าอดีตคนรัก
“ถ้านายไม่อยากช่วยฉันขนาดนั้นก็น่าจะบอกกันให้ไวกว่านี้ ฉันขอโทษก็แล้วกันที่รบกวน” ร่างเล็กผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว หางเสียงขาดหายจนคนตรงหน้าใจอ่อนยวบ
“ฉันช่วยเธอได้ทุกอย่าง แต่ฉันขอได้มั้ย ฉันขอนะจูล ฉันรู้ว่าตอนนี้คงจะห้ามเธอได้แค่ในสถานะเพื่อนแค่นั้น แต่ฉันมีเธอแค่คนเดียวนะจูล เรากำลังเดินเข้าไปหาอะไรก็ไม่รู้ ถ้าฉันเสียเธอไปฉันจะทำยังไง” ดวงตาคมของเคนโตะฉายแววห่วงหาอาทรแบบที่เขาว่าจริงๆ ทว่าจูเลียนมองไม่เห็นมันและคิดเอาแต่ว่าเขาไม่อยากจะช่วยเหลืออะไรอีก หลังมือขาวปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มกลม ทำท่าจะเดินถอยหลังจากไป
“ไม่ใช่เราหรอก ฉันคนเดียวต่างหาก มันเป็ฉันคนเดียวมาั้แ่แรก”
“จูลเดี๋ยวก่อน จูล!” ไวกว่าเสียงเรียกของเ้าของบ้านก็คือเสียงปิดประตูที่ดังสนั่น จูเลียนปรี่ออกไปด้วยความเร็ว ความน้อยใจถาโถมอย่างรุนแรง สตาร์ทและขับออกไปอย่างยากลำบากเพราะม่านน้ำตาบดบังภาพตรงหน้าจนพร่าเบลอ
คิดไว้แล้วไม่มีผิดว่ามันคงจะมีแค่เขาเท่านั้นที่เข้าใจตัวเองดีที่สุด สุดท้ายที่พึ่งเพียงแห่งเดียวอย่างเคนโตะก็ปล่อยมือเขาจนได้ จูเลียนสะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ หากแต่มันกลับยิ่งผลักดันเขาให้อยากจะทำให้สำเร็จมากขึ้นไปอีก เพราะถ้าหากยอมแพ้กลางคัน คนอื่นก็จะเห็นว่าเขาทำอะไรไม่สำเร็จเหมือนอย่างเคย เพราะแบบนี้มันยิ่งทำให้เขาไม่ถอยยิ่งกว่าเดิม
“มันก็ไม่ได้หายากขนาดนั้น”
“ก็รู้ มันยิ่งยากตรงนี้นี่แหละ” นายตำรวจในเครื่องแบบที่เรียบกริบกว่าทุกวันเอ่ยตอบหลังพ่นควันขาวเทาออกจากปาก สีหน้าเดวิดดูขบคิดหนักไม่ต่างจากเพื่อนในทีมที่นั่งคีบบุหรี่อยู่ข้างๆ
ทั้งคู่กำลังพูดถึงจุดร่วมที่พบเหมือนกันในทุกศพ มัจจุราชในรูปของหัวตะกั่วที่เจาะทะลุร่างทั้งหกร่าง .45 ACP ะุที่ใช้มาอย่างยาวนานในกองทัพทหารอเมริกาั้แ่ปี 1905 ลากยาวมาจนถึงปัจจุบันก็ปาเข้าไปมากกว่าร้อยปีแล้ว มันไม่ได้พิเศษหรือหายากอะไรนัก กลับกันมันแพร่หลายในหมู่นักกีฬายิงปืนหรือใครก็ตามที่มันอย่างถูกกฎหมายด้วยซ้ำ นี่แหละถึงทำเอาทั้งสองหน้านิ่วคิ้วขมวดกันแบบนี้
ที่จริงแค่เพียงนัดเดียวก็แทบปลิดทั้งิญญา เพราะหน้าตัดมันใหญ่ แถมวิถีะุก็ราบเรียบและแม่นมากๆ เรียกได้ว่าไม่ต้องตั้งใจเล็งมากเท่าไหร่นักก็เข้าเป้าได้ไม่ยาก หากแต่ต้องเคยจับปืนมาสักหน่อยจึงจะสามารถควบคุมมันได้ และมากกว่าหนึ่งนัดที่ปลิดชีวิตทุกศพนั้นมันจงใจยิงอย่างไม่ต้องสืบ เดาไม่ยากว่ามันต้องจับปืนจนชิน
“นายว่ามันใช้โคลท์หรือบาร์เร็ตต้า” แมททิวโพล่งขึ้นมาหลังจากทั้งคู่เงียบเชียบใช้ความคิดอยู่ข้างตึกของกรมตำรวจอยู่นานจนบุหรี่ในมือแทบหมดมวน
“สมัยนี้คงใช้ M9 กันหมดแล้วแหละมั้ง คงไม่มีใครใช้โคลท์แล้วแหละ นอกเสียจากว่ามันจะเป็ตาแก่นักสะสมปืนสมัยาล่ะก็นะ” เดวิดพูดติดตลกเล็กน้อยพอให้แมททิวยิ้มมุมปาก ทั้งที่ความจริงแล้วมันตึงเครียดทุกครั้งที่พยายามหาช่องโหว่ให้ไปต่อ ทว่ามันดูมืดมนไปหมดทุกหนทาง
“เดฟ แต่ฉันว่าแค่ที่ขามันก็น่าจะเจ็บปางตายแล้วมั้ยวะ ไหนจะร่องรอยของความทรมานทั้งหลายนั่นอีก ถ้าแค่จะฆ่ามันน่าจะ…”
“ก็เพราะมันสนุกไงแมท” เดวิดเอ่ยตอบ ทั้งสองหันมองหน้ากันโดยไม่มีใครพูดอะไร รู้สึกถึงความเย็นะเืทุกครั้งที่ต้องนึกถึงสภาพศพที่เจอตอนไปยังจุดพบ
“พอลว่านัดสุดท้ายที่เข้าตรงกลางอกของทุกศพมันเป็รูกว้างมากกว่าที่ขา นายคิดว่าไง”
“ที่ขามันคงยิงจากระยะไกลแต่ไม่มาก ฉันเดาเอาว่ามันคงปล่อยให้เหยื่อหนีสักหน่อยแล้วค่อยไล่ตาม จากนั้นก็คงยิงสกัดที่ขาให้ไปต่อไม่ได้” เดวิดร่ายยาวตามข้อมูลที่ขบคิดในหัวมาตลอด
“โรคจิตฉิบหาย” แมททิวเอ่ยเสียงหลงยามคิดภาพตัวเองกำลังวิ่งหนีใครสักคนที่ไล่ตามพร้อมปืนในมือ
“คนปกติที่ไหนเขากรีดเนื้อคนอื่นทั้งเป็ขนาดนั้น ไม่นับรวมที่มันเฉือนเนื้อออกมาอีกนะ ไหนจะทุบให้กระดูกแตกทั้งตัวอีก” เดวิดกำลังพูดถึงแอชลีย์ศพที่สอง เจนีน่าศพที่สาม และเฮนรี่ศพที่สี่ แอชลีย์ถูกเลาะิับางส่วนออกมาแต่ในที่เกิดเหตุไม่พบส่วนที่หายไป เดวิดคิดว่ามันคงเก็บไปด้วย ซึ่งตามข่าวฆาตกรต่อเนื่องที่ผ่านๆมาไม่แปลกเลยที่ฆาตกรจะเก็บบางอย่างจากเหยื่อติดตัวไปด้วย มันคือการชื่นชมผลงานจากจิตใจที่บิดเบี้ยวของตัวเอง
ส่วนเจนีน่าที่อายุแค่สิบแปดปีมีรอยกรีดทั่วร่างและรอยไหม้จี้เป็จุด บางส่วนเนื้อเยื่อถูกเผาไหม้จนเสียหายถึงระดับสาม พอลว่าตอนที่มันทำแบบนั้นเจนีน่าเองรับรู้ทุกอย่าง เด็กสาวยังคงมีลมหายใจเปิดรับความเ็ปทุกอณูของร่างเสียด้วยซ้ำ และเฮนรี่ที่ถูกของแข็งทุบจนกระดูกแหลกละเอียดทั่วร่าง เดวิดเดาว่าเขาคงขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ ลำพังแค่ะุที่ขาก็ว่าแย่แล้ว ทว่าร่างยังแหลกเหลวไปเสียอีก แต่พอลบอกว่ารอยถลอกบนิัก็ฟ้องเป็อย่างดีว่าคนตายพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดแค่ไหน
“หรือว่ามันจะเป็นักล่าสัตว์วะเดฟ” ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ได้พึ่งหลุดออกมาเป็ครั้งแรก ทั้งทีมคิดไว้ว่าวิธีการฆ่ามันเหมือนกับการล่าสัตว์ไม่มีผิด ในสารคดีที่เดวิดเคยดูนายพรานมักจะยิงที่ขาของสัตว์ก่อนเพื่อให้มันล้มลงหนีต่อไม่ได้ จากนั้นเขาจึงจะทำการปลิดชีวิตมันทิ้งซะ นี่ก็ไม่ต่างกัน มันเหมือนกับว่าเห็นเหยื่อเป็แค่ความบันเทิงเท่านั้น
“จะอะไรก็แล้วแต่ แต่ฉันว่าไอ้ระยำนี่มันเกินเยียวยา ถ้าเจอหน้าคงต้องขอประเคนบาทาให้สักทีวะ ไปเถอะแมท ทำงานที่เรารักกันดีกว่า” เดวิดลุกขึ้นบิดี้เีพูดจาดูติดตลกไม่สนโลก เดินนำแมททิวเข้าไปในตึก แมททิวมองแผ่นหลังกว้างของคนข้างหน้าแล้วก็ส่ายหัว มันทำเหมือนไม่ยี่หระต่ออะไรใดใด ทั้งที่จริงมันเองนั่นแหละเปราะบางที่สุด และไอ้คนไม่สนอะไรมันก็เป็เหมือนมันสมองของทีมเสมอมา
บุโรทั่งคันเก่าเคลื่อนตัวไปบนถนนลาดยางมุ่งตรงออกจากในเมือง เบาะข้างคนขับเต็มไปด้วยข้าวของที่ซื้อมาร้านของชำร้านประจำ ของที่มันซื้อเหมือนกันทุกวันและคิดว่าเด็กวัยรุ่นคนนั้นก็คงจะจำมันได้ขึ้นใจ ดูจากสายตาที่ฉงนสงสัยยามมองก็เดาไม่ยากว่าในใจของเด็กหนุ่มคงคิดว่ามันพิลึกคนเสียเต็มประดา
แต่นั่นก็ไม่ใช่หน้าที่ที่มันจะต้องทำให้ใครมาเข้าใจ มันหักเลี้ยวพวงมาลัยไปทางขวาด้วยมือที่ยังคีบมวนบุหรี่อยู่ เหยียบเบรกและเปิดประตูลงจากรถก่อนจะยกคานไม้ที่กั้นปิดพื้นที่กว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยซากรถเก่าอยู่ กลับขึ้นรถและขับไปข้างหน้าพอให้พ้น จากนั้นจึงลงจากรถอีกครั้งเพื่อยกคานไม้กั้นปิดไว้ตามเดิม ไม่นานกระบะคันเก่าสนิมเขรอะก็กลมกลืนกับเศษเหล็กรอบๆได้เป็อย่างดี
มันก้าวลงจากรถของตัวเอง ผืนดินที่เหยียบอยู่คือที่ทิ้งซากรถเก่านอกเมือง ไม่เพียงเศษเหล็กที่ครั้งหนึ่งเคยเป็พาหนะจะถูกทิ้งร้างเท่านั้น หากแต่พื้นที่ผืนนี้เองก็เต็มไปด้วยพงหญ้ารกสูงเช่นเดียวกัน ตั้งอยู่นอกเมืองที่แสนห่างไกลโดยฝั่งตะวันตกติดต่อกับเขตชายป่าที่มันกำลังหอบข้าวของด้วยสองมือเดินมุ่งหน้าเข้าหาความซับซ้อนเบื้องหน้า
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากเหี่ยวย่นและโทรมทั่วกายจนเสื้อที่สวมอยู่เปียกเป็ดวง เดินร่วมชั่วโมงลัดเลาะต้นสนสูงชะลูดที่แทบปกปิดท้องฟ้าจนหมดสิ้น หนทางข้างหน้าที่รออยู่สลับซับซ้อนสำหรับผู้มาเยือนหน้าใหม่เสมอ ทว่าสำหรับมันนั้นเรียกได้ว่าหลับตาก็ยังคลำหาทิศเจอและไม่มีทางหลง เพราะซ่อนตัวอยู่ในนี้มานานกว่าครึ่งชีวิตของตัวเองแล้ว
ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงที่หมาย กระท่อมเบื้องหน้าทำจากไม้ทั้งหลัง ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออะไรทั้งสิ้น มันโดดเดี่ยวอยู่กลางป่าที่หากไม่ชำนาญคงจะหลงและหาทางออกไม่ได้เลย ไม่มีใครสักคนรู้ว่ามันอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเคยย่างกรายมาถึงและสังเกตเห็นตัวมันกับเด็กหนุ่มภายใต้กระท่อมหลังเล็กเลย พื้นที่แห่งนี้ไม่เคยถูกสำรวจถึงเพราะมันซับซ้อนและลึกลับเกินกว่าจะถูกค้นพบได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น
เด็กหนุ่มเ้าของเรือนผมสีมะฮอกกานีและั์ตาสีเขียวมรกตหันมาหามันทันทีที่ได้ยินย่ำเท้าใกล้เข้ามา มันปรายตามองเพียงปราดเดียวก็ผลักประตูเข้าไปในกระท่อมเพื่อเตรียมอาหารเช้าในเวลาเที่ยงกว่าสำหรับสองคน มันวางข้าวของทั้งหมดลงบนโต๊ะไม้ที่เอียงกระเท่เร่ ฝุ่นจับเบาบางเพราะไม่ได้ทำความสะอาดบ่อยนัก คว้ากระทะใบเล็กและวางลงบนเตาปิกนิกที่มีเชื้อเพลิงคือแก๊สกระป๋อง จำได้ว่ากระป๋องนี้พึ่งซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เดาว่าน่าจะยังไม่หมดคงใช้ได้อีกประมาณสองสามวัน
“มากิน” เสียงแข็งเอ่ยหลังจากชะโงกหน้าไปทางหลังบ้านเพื่อเรียกอีกคนให้มากินมื้อเช้าในบ้าน ไข่กวนสองจานและเบคอนราวๆสี่ห้าชิ้นพร้อมนมอีกสองแก้ววางบนโต๊ะไม้อีกตัวที่ใช้สำหรับกินอาหารโดยเฉพาะ เด็กหนุ่มละมือจากการถอนวัชพืช ล้วงลงไปในถังสังกะสีเพื่อล้างมือก่อนจะเดินเข้ามาและนั่งลงบนเก้าอี้
มันคว้าเบคอนในจานตรงกลางโต๊ะส่งเข้าปาก ก่อนจะตักไข่กวนตาม ก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจคนร่วมโต๊ะสักเท่าไหร่ วันๆมันกับอีกคนคุยกันแค่สองสามประโยค เด็กหนุ่มเองก็ไม่ค่อยพูดจาอะไรมากนัก จึงทำให้กระท่อมทั้งหลังตกอยู่ในสภาวะไร้เสียงแบบนี้เป็ประจำ
“วันนี้อาจจะไม่ได้กลับ คงค้างที่นู่น” มันเอ่ยเสียงเรียบขณะจัดการไข่กวนคำสุดท้าย เด็กหนุ่มเงยหน้ามอง จานของเขายังคงเหลือเกินครึ่ง
“อย่าออกไปไหน เข้าใจที่สั่งนะ” มันเงยหน้าสบตา เด็กหนุ่มผลุบมองต่ำก่อนจะพยักหน้ารับ มันสำรวจใบหน้าเยาว์วัยที่มีกระเล็กน้อยบนหน้าแก้มก่อนจะรวบจานของตัวเองไปวางข้างกระทะบนโต๊ะไม้ข้างหลัง
สักพักก็หยิบปืนลูกซองคู่กายสะพายข้างตัวและเดินออกไปทางประตูหลัง เด็กหนุ่มมองตามแผ่นหลังหนาลับหายไปในป่าอย่างช้าๆจนกระทั่งกลมกลืนไปกับต้นไม้สูงชะลูด ถอนหายใจและรีบจัดการอาหารตรงหน้าให้หมดเพื่อทำงานของตัวเองที่มันสั่งไว้ต่อ บางทีเขาเองก็อยากจะพูดคุยอะไรบ้างกับคนโตกว่าสักหน่อยแต่ดูเหมือนพอเขายิ่งโตขึ้นมันก็ยิ่งห่างเหินเข้าไปทุกวันไม่รู้เพราะเหตุใด
เสียงหัวเราะสดใสของชายหนุ่มสองคนที่หน้าละม้ายคล้ายกันดังปกคลุมอย่างต่อเนื่องในร้านอาหารหรูใจกลางเมือง จูเลียนและเจย์ลีนร่วมโต๊ะอาหารกันเป็ประจำในทุกมื้อกลางวัน คนน้องสั่งสเต๊กเนื้อมีเดียมและร็อคเกตสลัดดูน่ารับประทาน ส่วนคนพี่สั่งสเต๊กปลาเพียงอย่างเดียว หัวข้อในวันนี้เป็เื่เพชรที่พ่อพึ่งนำเข้ามาและคอลัมน์ใหม่นี่จูเลียนได้รับมอบหมายให้เขียนลงนิตยสาร
จู่ๆเจย์ลีนก็นิ่งไป ดวงตากลมจ้องมองคนเป็น้องด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาจนจูเลียนที่กำลังหัวเราะร่าหยุดชะงักลง ขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันด้วยความสงสัย
“อะไรหรอเจย์” คนถูกทักสะดุ้งเล็กน้อย เจย์ลีนละสายตาจากใบหน้าของคนตรงข้ามก่อนจะส่ายหน้าเป็เชิงปฏิเสธ ทว่าจูเลียนดูจะจับสังเกตความผิดปกติของพี่ชายได้ จึงถามย้ำอีกครั้งเพื่อคาดคั้นเอาความจริงจากท่าทางที่ดูพิลึก
“อยู่ดีๆก็จ้องหน้าจูล เจย์มีอะไรหรือเปล่า” คนถามละส้อมและมีดหั่นสเต๊กในมือ วางลงบนจานก่อนจะกอดอกจับตามองท่าทีของพี่ชาย
“คือพี่…” เจย์ลีนอึกอัก คิดในใจว่าจะเล่ามันออกไปดีมั้ย ฝันที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่คืนก่อน ทว่าคิ้วเรียวของคนน้องเลิกขึ้น จูเลียนไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้วในตอนนี้นอกจากสิ่งที่เจย์ลีนกำลังจะพูดเพียงอย่างเดียว
“พี่ฝันน่ะ ฝันถึงจูล มันค่อนข้างเป็ฝันที่ ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เลย”
จูเลียนมีท่าทีสนใจหนักกว่าเก่า แฝดพี่สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าความฝันที่เหมือนจริงจนน่ากลัว ทุกถ้อยคำที่พรั่งพรูจากปากเจย์ลีนมันมีแต่ความหวาดกลัวและระแวง ระคนเป็ห่วงน้องชายอย่างสุดซึ้ง ทว่าท่าทางของคนฟังนั้นต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง จูเลียนพยักหน้ารับทุกประโยค แววตาเป็ประกาย หัวใจเต้นรัวขึ้นด้วยความตื่นเต้นและสนอกสนใจเป็อย่างมาก
“ทั้งหมดก็นั่นแหละ พี่ก็เลยห่วงจูล ห่วงมากๆ จูลยังจำได้ใช่มั้ย ตอนเด็กๆที่เรามักจะฝันกันแบบนี้ และวันรุ่งขึ้นหรืออีกสองวันต่อมามันก็จะเป็แบบในฝันเป๊ะเลย” สีหน้าของเจย์ลีนฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด คนน้องไม่ตอบอะไรเพียงพยักหน้ารับ
“จูลว่าไม่มีอะไรหรอก เจย์อาจจะดูหนังมากไปหรือเปล่า” คำพูดกลั้วหัวเราะของจูเลียนที่พยายามจะทำให้พี่ชายเบาใจมันไม่เป็ผลเท่าไหร่นัก เจย์ลีนยังมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แปรเปลี่ยน หากแต่ลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“พี่ก็พยายามคิดแบบนั้น ถ้ามันเป็ที่ที่จูลไปบ่อยๆพี่คงกังวลมากกว่านี้ แต่มันเป็ป่า จูลคงไม่ไปทำอะไรในป่าหรอกเนอะ จริงมั้ย” เสียงหนักแน่นเชิงตั้งคำถามของเจย์ลีนทำเอาน้องชายหันมองไปทางอื่น ไม่กล้าสบตาสักเท่าไหร่ เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตัวเองกำลังทำอะไร และกำลังจะตัดสินใจทำอะไรในอนาคต
“อื้อ จูลไม่ ไม่ไปทำอะไรในที่แบบนั้นหรอก เจย์สบายใจได้” คนน้องดูอึกอักเล็กน้อยแต่ก็ตีเนียนไปจนคนเป็พี่จับพิรุธไม่ออก
“ไปกันเถอะ จูลมีงานต้องเคลียร์อีกเยอะเลย” จูเลียนเอ่ยชวนหลังจากยกนาฬิกาข้อมือดูเวลา เจย์ลีนพยักหน้ารับก่อนจะโบกมือเรียกพนักงานสาวเพื่อชำระเงินมื้ออาหารมื้อนี้
ชายหนุ่มหลังพวงมาลัยเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย หลังจากแยกกับพี่ที่ร้านอาหาร เจย์ลีนกลับไปที่ร้านเพชรเพื่อทำงานต่อ ในขณะที่ตัวจูเลียนเองทำทีขับรถออกมา ก่อนจะจอดเทียบข้างทางทันที ในหัวครุ่นคิดถึงสิ่งที่พี่เล่าไม่ยอมหยุด
เจย์ลีนว่าในฝันเกือบจะเห็นคนร้าย ถ้างั้นก็แปลว่ามันจะปรากฏตัว จูเลียนจะได้เห็นหน้ามันจริงๆหรอ อย่างนี้ก็แปลว่ามาถูกทางใช่มั้ย ความคิดตีกันในหัวไม่หยุด แต่บทสรุปสุดท้ายคือทางเดียวเท่านั้น เขาต้องไปที่นั่นอีกครั้ง ไม่มีอะไรที่มั่นใจเท่านี้แล้ว เพราะถ้าฝันมันมาจากแฝด มันไม่เคยพลาดเสมอจูเลียนรู้ดี
ค่ำคืนที่เงียบสงบในละแวกบ้านคนรวย คฤหาสน์นับสิบเรียงกันซ้ายขวา ดึกขนาดนี้เ้าของทุกหลังคงหลับใหลกันจนหมดแล้ว เว้นเสียแต่ลูกชายคนเล็กของตระกูลนี้ที่ยังตื่นเต็มตาพร้อมหัวใจที่เต้นระส่ำ ร่างเล็กนอนราบบนเตียงมองเพดานมาครู่หนึ่งแล้ว ดูเหมือนกำลังจะตัดสินใจแต่ความจริงแล้วเขาสวมชุดอื่นที่พร้อมออกไปข้างนอกแทนที่จะเป็ชุดนอน
ทันใดนั้นก็ลุกพรวดจากเตียงนอนทันที คว้าไฟฉายหนึ่งกระบอกและโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม ก้าวออกจากห้อง ปิดประตูและลงฝีเท้าบนพื้นหินอ่อนให้เงียบเชียบมากที่สุด มองซ้ายมองขวาตลอดทางให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาเห็นเขาแอบออกจากบ้านในเวลานี้ ไม่อย่างนั้นแผนทั้งหมดมันพังทลายไม่เป็ท่าแน่ๆ
จูเลียนก้าวลงบันไดทีละขั้นอย่างระมัดระวัง ไฟในคฤหาสน์ดับสนิททุกดวง ดีที่แสงจากพระจันทร์เหลืองนวลยังส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างบานยาวอยู่บ้าง จึงทำให้พอจะคลำทางในความมืดได้อยู่หน่อย
ผลักประตูไม้เข้าสู่โรงรถ รถคันหรูเกือบสิบจอดเรียงรายกันอยู่ เขาไม่โง่เอารถยนต์ออกหรอก หากแต่้าเดินผ่านไปอีกห้องที่อยู่ข้างๆโรงรถ เปิดประตูไม้บานเล็กเข้าไป กดส่องไฟฉายไปยังมุมห้อง จักรยานคันขนาดกลางจอดนิ่งราวกับรอให้เขามาพามันออกไปโลดแล่นยามดึกสงัด ยังดีที่ห้องเก็บของมีประตูอีกบานที่เปิดไปนอกบ้านได้ ไม่งั้นจูเลียนลำบากและเสียเวลากว่านี้แน่
ร่างเล็กท่ามกลางความมืดจูงจักรยานลัดผ่านสนามหญ้าที่คนสวนประจำคฤหาสน์ดูแลเป็อย่างดี จูเลียนมุ่งหน้าไปทางมุมหนึ่งของรั้วสูงท่วมหัว เมื่อเย็นตอนกลับบ้านมาเขาแอบมาดูรอบหนึ่งแล้ว ไม้แผ่นหนึ่งมันเกิดชำรุดอยู่และคนสวนเองก็ยังไม่ได้ซ่อมมันเพราะรอช่างไม้มาเปลี่ยนให้อยู่ น่าจะเป็วันพรุ่งนี้
จูเลียนมองซ้ายมองขวาอีกครั้ง พิงจักรยานไว้ที่รั้ว ก่อนจะเอื้อมมือไปขยับแผ่นไม้แผ่นนั้น ออกแรงดึงสักพักจนเรียกเหงื่อเม็ดเล็กผุดบนหน้าผากจากนั้นมันก็หลุดออก ปรากฏช่องว่างไม่เล็กไม่ใหญ่แต่คิดว่าคงจะพอให้แทรกตัวเองและจักรยานได้อยู่ อาจจะทุลักทุเลนิดหนึ่งแต่คงไม่เกินความสามารถคนหัวรั้นอย่างเขาเท่าไหร่
ร่างเล็กแทรกผ่านช่องแคบนั้นได้สำเร็จหลังจากส่งจักรยานเข้าไปก่อน จูเลียนโน้มตัวเอื้อมมือมาหยิบแผ่นไม้ที่พิงไว้และปิดมันตามเดิม ยืนมองฝีมืออันแสนแยบยลของตัวเองครู่หนึ่ง กระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่าถ้าสำเร็จขนาดนี้น่าจะไปเป็สายลับให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยคงดีกว่า
ก่อนที่จะมีใครมาเห็นเข้าแม้อันที่จริงดึกป่านนี้คงไม่มี จูเลียนจูงจักรยานมาจนถึงถนนคอนกรีตอีกฝั่ง คร่อมมันและปั่นไปตามถนน แรงลมปะทะร่างบางเล็กน้อยพอให้รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาบ้าง ก่อนที่จะลับหายไปในความมืดตามที่ใจ้า
ความเงียบเชียบยามค่ำคืนมันดูน่ากลัวก็จริงแต่คงไม่อาจห้ามเขาได้ หนทางไกลแค่ไหนแต่ในที่สุดก็ปั่นออกมานอกเมือง ผ่านผู้คนหน้าบาร์ที่ยังคงเปิดประมาณสี่ห้าคน หากแต่คงไม่มีใครสังเกตเขานัก เพราะเล่นเอาฮู้ดคลุมหัวจนกระทั่งถึงที่หมาย จูเลียนจอดจักรยานห่างออกมาพอสมควร พิงมันไว้หลังพุ่มไม้ใหญ่ ถอยออกมานิดเพื่อดูว่ามันพรางได้ดีมากแค่ไหนก่อนจะพบว่ามันบดบังยานพาหนะคันเล็กจนมิด
เสียงกู่ร้องของแมลงตัวเล็กและเสียงหวีดไหวของใบไม้ที่สีกันยามลมพัดดำเนินต่อเนื่องราวกับเป็ดนตรีพื้นหลังประกอบฉาก ความมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องกับร่างเล็กในชุดเสื้อสเวตเตอร์มีฮู้ดสีเทากับกางเกงวอร์มสีเดียวกันและรองเท้าผ้าใบกำลังเดินตรงไปยังเส้นทางสำรวจธรรมชาติที่คุ้นเคย
แน่นอนว่ามันปิดให้บริการแล้ว แต่คงไม่เกินความสามารถที่จะลักลอบเข้าไป ขาเรียวก้าวข้ามรั้วที่ชำรุด กระบอกไฟฉายในมือยังคงไม่ถูกกดเปิด จูเลียนเองก็ไม่แน่ใจว่ามันมีถ่านพอมั้ย แต่อย่างน้อยถ้าถ่านหมดก็ยังมีแฟลชจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงวอร์มอยู่
กลางวันว่าชวนเย็นะเืแล้วกลางคืนยิ่งหนักกว่า มันมืดมิดจนแทบไม่เห็นอะไร รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในอกเล็กน้อย แต่ความกล้าที่รวบรวมมาจนเต็มปริ่มยิ่งกว่าเมื่อวานมันสั่งให้เขาไปต่อ จูเลียนกดเปิดไฟฉายในมือและส่องไปข้างหน้า ก้าวเท้าเดินเข้าไปเรื่อยๆ อากาศเย็นและลมพัดเอื่อยแวะมาทักทายจนบาง่ต้องลูบต้นแขนภายใต้สเวตเตอร์ตัวหนาด้วยความหนาวเหน็บ
ไม่นานก็ถึงทางแยกที่คุ้นชิน แน่นอนว่าทางซ้ายคือตัวเลือก ป้ายห้ามยังคงทำหน้าที่ของมันหากแต่มิสามารถใช้งานกับจูเลียนได้ ชายหนุ่มก้าวข้ามรั้วกั้นเข้าไป เดินต่ออย่างแน่วแน่โดยไม่มองกลับหลัง ความมืดมิดโอบล้อมร่างเล็กอย่างน่าวังเวง มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่เริ่มริบหรี่ลงจากการถูกต้นไม้สูงชะลูดบดบังลงทุกย่างก้าว คงมีเพียงแสงไฟดวงเล็กจากกระบอกไฟฉายเท่านั้นที่นำทางได้
มันเงียบจนใจเต้นระรัวทุกก้าวที่เหยียบบนพื้นดิน เสียงลมหายใจของตัวเองดังชัดเจนจนบางครั้งต้องพยายามข่มให้มันเบาลง ในหัวคิดแต่ว่าขออย่าให้มีใครมาขัดขวางอีกเลย และเ้าของเสียงปืนนั้นได้โปรดอย่าพึ่งตื่นมาในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นเขาได้หลงทางเพราะความใและความมืดในป่าแน่ๆ
ใช้เวลานานกว่าปกติเพราะกลางคืนมันยากเย็นกว่ากลางวันหลายเท่า กลืนน้ำลายไม่รู้จักกี่อึกแม้ลำคอแห้งผาก อะดรีนาลีนสูบฉีดเต็มที่ แค่เพียงเสียงขยับของใบไม้ก็ทำจูเลียนหยุดชะงักได้เสมอ แต่พอส่องไฟไปทางเสียงแล้วไม่พบอะไรก็ตั้งสติสูดหายใจเข้าและเดินต่อ ภาวนาให้ถึงหินก้อนนั้นสักทีเถอะ
พลันความรู้สึกนั้นแล่นเข้าจับขั้วหัวใจอีกครั้ง มันอึดอัดและไม่สบายใจจนต้องหยุดยืนนิ่ง รู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว รู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว รู้สึกเหมือนกำลังตกเป็เป้าสายตาขนาดใหญ่ ลำพังภูตผีหรือสิ่งเร้นลับเขาไม่กลัวหรอก แต่ถ้าเป็คนด้วยกันเองมันน่ากลัวกว่าเยอะ
กระทั่งแสงจากไฟฉายสาดส่องไปข้างหน้ากระทบกับบางสิ่งที่คุ้นเคย จูเลียนยิ้มออกเมื่อเห็นจุดหมายอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่ความรู้สึกคับแน่นในอกและเย็นวาบที่หลังคอมันทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคมกะพริบปริบ ใจเต้นกว่าเดิมจนแทบจะหลุดทะลุอก ก่อนจะตัดสินใจก้าวขาต่อ ทว่า…
พลั่ก!
“โอ๊ย!” ดวงตากลมหลับปี๋ทันทีที่รู้สึกเ็ปท้ายทอยอย่างรุนแรง ไฟฉายในมือร่วงลงไปกองกับพื้นดินพร้อมกับเ้าของร่าง ยกมือกุมที่มาของความเ็ปแน่น พลันเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูที่แนบติดกับพื้นดินทันที
ยังไม่ทันจะอ้าปากร้องะโ เพราะเสียงที่ได้ยินมันคือเสียงฝีเท้าไม่ผิดแน่ ร่างเล็กที่เ็ปแสนสาหัสก็ลอยขึ้นในอากาศทันที ใครบางคนอุ้มจูเลียนขึ้นพาดบ่าก่อนจะออกเดินพร้อมสติของเขาที่ค่อยๆดับวูบลงไปโดยไม่รู้ตัว ร่างสูงที่แบกคนจุ้นจ้านไว้บนบ่าเริ่มออกเดินและถูกกลืนหายเข้าไปในความมืดของป่าลึก
“ฮัลโหล” เสียงงัวเงียไม่สบอารมณ์ตอบรับปลายสายที่โทรมาในเวลานอนของเขา เดวิดปัดป่ายควานหาโทรศัพท์และกดรับทั้งๆที่ตายังปิดสนิท
“รีบมาที่นี่ด่วน ฉันส่งโลเคชันให้ในข้อความแล้ว” เสียงคุ้นเคยของเพื่อนร่วมทีมอย่างแมททิวสวนกลับมาจากในสาย
“บ้าอะไรวะ นัดดื่มกลางดึกหรือไง ฉันไม่ไปหรอกนะเว้ย” เดวิดทำท่าจะกดวาง แต่แล้วเสียงที่ตอบกลับมาก็ทำเอานายตำรวจหนุ่มเบิกตาโพลงและเด้งตัวจากที่นอนทันที
“เออๆ สิบ เอ้ย ไม่สิ ห้านาทีฉันถึง” ตาลีตาเหลือกวิ่งไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อควานหาเครื่องแบบและรีบสวมมันทันที ก่อนจะเปิดประตูวิ่งลงบันไดจนแทบล้มคะมำและสตาร์ทมัสแตงเหยียบคันเร่งจนแทบมิดไมล์หลังจากดูโลเคชันที่แมททิวส่งมาให้
“เจอศพว่ะเดฟ ใกล้กับที่เคยเจอเลย ตอนนี้ทุกคนอยู่นี่หมดแล้ว รีบมาด่วน”