“หืม?”
กงอี่โม่รู้สึกประหลาดใจดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถตัดขาดกับองค์รัชทายาทได้ไม่ใช่หรือ?
กงเจวี๋ยพลันยกมืออีกข้างขึ้นลูบศีรษะนาง
เวลานี้เขาสูงกว่ากงอี่โม่มากแล้วทว่าการกระทำเช่นการลูบศีรษะเช่นนี้ เป็สิ่งที่เขาทำได้หรือ? กงอี่โม่กำลังจะะเิอารมณ์ เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นว่าดวงตาสีหยกน้ำหมึกของกงเจวี๋ยเต็มไปด้วยความเ็ป
“ข้าต้องทำเช่นไร เสด็จพี่จึงจะไม่ต้องลำบากเพื่อข้าอีก?”
ไม่ว่าจะเป็การพยายามหาเงินทุกวิถีทางการวางแผนต่างๆ นานา หรือความกังวลและความเป็ห่วงเขาก็ดี
ทั้งๆที่ข้า้าเพียงขอให้เสด็จพี่มีความสุขก็พอแล้ว
ทั้งๆ ที่เขาอยากปกป้องนางอยากทะนุถนอมนาง ให้นางมีความสุขโดยไม่ต้องเป็กังวล แต่ไม่ได้เหมือนตอนนี้ ที่นางต้องครุ่นคิดไตร่ตรองตลอดเวลาต้องวางแผนทุกย่างก้าว
“ตอนนี้ข้าก็มีความสุข” กงอี่โม่รู้สึกสงบลงในชั่วพริบตานางคลี่ยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้น
ท่าทางของนางไม่เหมือนคนกำลังเสแสร้งราวกับว่าการวางแผนเพื่อเขาเป็สิ่งที่ทำให้นางมีความสุขอย่างหนึ่ง เวลานี้กงเจวี๋ยอยากกอดนางแน่นๆไว้ในอ้อมกอดยิ่งนัก
เขาอยากกอดนาง อยากจูบหน้าผากนางเขาอยากหลอมตัวของนางเข้าสู่ร่างกายของเขา เป็สายเืใกล้ชิดแล้วอย่างไร? ต้องตกเป็ที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนหมู่มากแล้วอย่างไร? เขาไม่กลัว เขาไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
ทว่ามือที่ยกขึ้นกลับวางลงอีกครั้งเวลานี้ความคิดของหนุ่มน้อยกำลังขัดแย้งกันจนถึงที่สุด
แต่ตอนนี้ข้ามีอะไร? ข้ามีสิทธิ์อะไรที่จะไปโอบกอดนาง?
กงเจวี๋ยพลันคิดถึงประโยคนี้อยู่ในใจ ดูเหมือนว่าสายลมพัดพาความหนาวเย็นขึ้นมา
กงเจวี๋ยมองนางสายตาของเขาเกิดกระแสคลื่นซัดสาด ทว่ามือของเขากลับวางลงอย่างหนักๆเขาถอนหายใจเล็กน้อย
ไม่รีบ ยังไม่รีบตอนนี้เขายังไม่มีสิทธิ์ ทว่าต่อไปเขาต้องมีอย่างแน่นอน
อดทนไว้ก่อน ไม่เป็ไรเขาไม่กลัวการรอคอย ขอแค่นางยังอยู่ก็พอแล้ว
กงอี่โม่เห็นเขาดูเศร้าสร้อยเป็ความรู้สึกที่ไม่ควรปรากฏบนตัวเขาที่มีอายุเพียงเท่านี้ นางจึงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้จากนั้นนางจึงก้มหน้าลูบท้องของตน
“ตอนแรกคิดจะมอบของให้เ้าแล้วกลับไปทานอาหารคาดไม่ถึงว่ามันจะยืดเยื้อจนค่ำมืดถึงขนาดนี้ เ้าก็ยังไม่ได้ทานใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปทำอาหารเล็กๆ น้อยๆ ด้วยกัน?”
สีหน้าของนางพลันแสดงออกอย่างสดใสมีชีวิตชีวา กงเจวี๋ยมองนาง ผ่านไปชั่วครู่เขาจึงถอนหายใจอย่างอ่อนใจั์ตาของเขาเต็มไปด้วยความรักความใส่ใจอย่างเต็มเปี่ยม เขาเม้มริมฝีปากยิ้ม
“ดี”
......
ครั้งนี้กงเจวี๋ยไปแดนประจิมเพื่อบรรเทาภัยพิบัติรวมทั้งยังมีภารกิจสำคัญก็คือการก่อสร้างช่องทางน้ำ ดังนั้นผู้ติดตามยังมีช่างฝีมือทหารทางน้ำ และนายช่างด้านอื่นๆ
เนื่องจากโครงการนี้เป็โครงการใหญ่ดังนั้นสิ่งของที่นำไปจึงมากกว่าแต่ก่อนเป็เท่าตัวเมื่อกงอี่โม่เสนอขอเดินทางผ่านสามประตูในเวลาเดียวกัน กงเซิ่งจึงตัดสินใจอนุญาตทันทีทว่าผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้ผู้ที่้าหาผลประโยชน์จากเื่นี้ต่างร้อนใจ
เวลากระชั้นชิดมากพวกเขามีคนไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถเตรียมคนดักทั้งสามประตูในเวลาเดียวกันจากเื่ง่ายๆ จึงกลายเป็เื่ซับซ้อนทันที พวกเขาทำได้เพียงเดิมพันเท่านั้น
“ตอนนี้เวลากระชั้นชิดมากได้ข่าวมาว่าแต่ละเส้นทางต่างมีรถม้าหนึ่งร้อยห้าสิบคัน แต่คนของพวกเรามีจำกัดทั้งสามประตูนี้พวกเราดักได้เพียงประตูเดียว หวังว่าใต้เท้าจะกำหนดให้ชัดเจนมิฉะนั้นอาจพลาดแล้วพวกเราไม่อาจรายงานเบื้องบนได้ขอรับ” ชายสวมหน้ากากคนหนึ่งกล่าวกับหัวหน้าของตน
“สามประตูแต่ละประตูมีรถม้าหนึ่งร้อยห้าสิบคัน? พวกเขามีของเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร?ไหนว่ารถม้ามีทั้งหมดร้อยห้าสิบคันไม่ใช่หรือ? คนจากกรมคลังพวกนั้นเข้าใจผิดหรือเปล่า?”
จากเดิมที่รู้สึกร้อนใจจนรำพึงรำพันกับตนเองเมื่อได้ยินลูกน้องคนหนึ่งเข้ามารายงานอย่างรีบร้อนแล้ว เขาจึงรู้สึกใจเย็นขึ้น
ที่แท้เมื่อสักครู่องค์รัชทายาทได้ออกคำสั่งลับสั่งให้ทหารรักษาประตูรอรับคำสั่ง เมื่อสิ่งของออกนอกเมืองแล้วให้ส่งทหารไปอารักขา
แม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดองค์รัชทายาทจึงช่วยองค์ชายเก้าทว่าการกระทำขององค์รัชทายาทเป็การสะท้อนปัญหาหนึ่งนั่นก็คือสิ่งของไม่ได้ถูกแบ่งส่งออกนอกเมืองผ่านสามเส้นทางแต่ยังคงเป็เส้นทางใดเส้นทางหนึ่งเท่านั้น
ถ้าเช่นนั้นปัญหาก็คือการเลือกหนึ่งในสามแล้วจะเป็ประตูทักษิณที่องค์รัชทายาทมีคำสั่งเตรียมอารักขาหรือว่าเป็ประตูบูรพาตามแผนเดิม หรือเป็ประตูประจิมที่ดูเหมือนไม่โดดเด่นสะดุดตา?
เขาจับปลายเคราของตนครุ่นคิดขึ้น ครั้งนี้องค์ชายเก้าได้รับพระราชทานออกนอกเมืองหลวงล้วนเกิดจากความตั้งใจขององค์หญิงจาวหยางทว่าองค์หญิงจาวหยางผู้นี้ฉลาดเหนือคนทั่วไป หากนางเป็ผู้คิดวิธีนี้ถ้าเช่นนั้นนางจะเลือกเส้นทางไหนล่ะ? เดาอย่างไรก็เดาไม่ออกว่าแม่นางน้อยผู้นั้นคิดอย่างไรกันแน่ขุนนางผู้นั้นโบกมือ เขากล่าวกับลูกน้องของตน
“องค์หญิงจาวหยางมีนิสัยเ้าเล่ห์การลำเลียงของครั้งนี้ต้องออกทางประตูใดประตูหนึ่งแน่นอนตอนนี้พวกเขาออกเดินทางแล้ว พวกเ้ารีบไปตรวจสอบโดยเร็วดูว่าเส้นทางไหนมีรอยล้อรถลึกที่สุดแล้วกลับมารายงานทันที”
เมื่อลูกน้องได้ยินแล้วดวงตาพลันเป็ประกาย พวกเขารีบออกไปโดยเร็ว เพียงไม่นานจึงกลับมาอีกครั้ง เขาหอบเล็กน้อยรีบกล่าวขึ้น
“ได้ผลแล้วขอรับเหตุการณ์นี้มีเงื่อนงำจริงๆ ประตูประจิมมีรอยล้อลึกที่สุด ประตูบูรพารองลงมาและประตูทักษิณมีรอยล้อตื้นที่สุด”
“ยายหนูคนนี้ช่างฉลาดจริงๆแต่น่าเสียดายที่มาเจอกับข้า” ใต้เท้าผู้นั้นหรี่ตาเล็กน้อยเขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงหัวเราะพร้อมกล่าวออกมา
“สั่งคนทางประตูบูรพาห้ามเคลื่อนไหวใดๆสิ่งของถูกลำเลียงผ่านประตูบูรพา ต้องห้ามหลงกลพวกเขาเด็ดขาด” เขาทำหน้าจริงจัง
“เพราะเหตุใดใต้เท้าจึงกล่าวเช่นนี้ขอรับ?” ชายชุดดำไม่เข้าใจ
“ล้อรถลึกที่สุดต้องเป็เพราะองค์หญิง้าสร้างความสับสนใส่พวกหินดินทรายไว้ ประตูทักษิณตื้นที่สุดหากใส่ของไว้บนรถแล้วของจะหายไปกลางอากาศได้อีกหรือ? มีเพียงประตูบูรพาจุดที่อันตรายที่สุดก็คือจุดที่ปลอดภัยที่สุด องค์หญิงจาวหยางใช้เส้นทางนี้ถือว่าฉลาดมากทีเดียว” ผู้าุโผู้นั้นลูบเคราพร้อมกล่าวอย่างหยิ่งยโส
“แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจปิดบังสายตาของใต้เท้า”เมื่อได้ยินเขากล่าวอย่างมั่นใจ ชายชุดดำผู้นั้นจึงรีบกล่าวประจบพร้อมรอยยิ้ม
“รีบไปจัดการโดยเร็วเดิมทีองค์หญิงจาวหยาง้ากระจายคนของพวกเรา แต่ข้ากลับรู้ทันเสียก่อนเ้าไปรอฉวยโอกาสเถอะ” ขุนนางผู้นั้นหัวเราะเสียงดัง
“ขอรับใต้เท้า”
“พวกคนเถื่อนแดนประจิมพวกข้าวเก่า ธัญพืชเน่าเ่าั้ก็พอแล้ว หึ องค์ชายเก้า ของขวัญชิ้นนี้หวังว่าท่านจะรับไว้” เมื่อชายชุดดำเดินออกไปแล้วขุนนางผู้นั้นยังกล่าวอย่างหยิ่งผยอง
ณศาลาสิบลี้
ขบวนรถม้าใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆเป็ขบวนใหญ่โต มีผู้คนกว่าหมื่นคน
ทว่าเมื่อทหารม้าส่งขบวนถึงศาลาสิบลี้แล้วจึงกลับประตูทักษิณเพื่อรอรับคำสั่งเวลานี้กงเจวี๋ยส่งคนของตนให้จัดการรถม้าให้เป็ระเบียบ ส่วนตัวเองกลับมองไปเบื้องหน้าเห็นใครคนหนึ่งอยู่ในชุดสีขาว กำลังนั่งอยู่กลางศาลา เห็นได้ชัดว่านางรออยู่นานแล้ว
เขาเลิกคิ้วขึ้นควบม้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เดิมทีกงอี่โม่กำลังดื่มสุราเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น นางจึงรีบหยิบกาน้ำชาออกมาจากช่องว่างมิติเวลาทำท่าประหนึ่งกำลังดื่มด่ำกับน้ำชาอยู่ เมื่อกงเจวี๋ยเข้าใกล้จึงได้กลิ่นสุราจางๆเขาไม่ได้กล่าวถึงเื่นี้ แต่กลับส่งยิ้มอย่างสดใส
ตามกฎข้อบังคับ หากไม่มีรับสั่งพระราชโอรสจะไม่อาจออกจากเมืองหลวง ทว่าเวลานี้เขาได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้วเขารู้สึกว่าร่างของเขาพลันเบาสบาย
เขาไม่จำเป็ต้องปกปิดตนเองอีกต่อไปความกดดันพลันหายไป เวลานี้จึงกลายเป็ความสดใสมีพลัง กงอี่โม่เห็นภาพที่เขาบังคับม้าเมื่อสักครู่ท่าทางสง่างามเป็ธรรมชาติ เป็ภาพที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน เวลาอยู่ในวังเขามักนิ่งเงียบจนน่ากลัวทว่าเวลานี้เขาจึงเพิ่งมีลักษณะสดใสของหนุ่มน้อยอายุสิบเอ็ดขวบ
กงอี่โม่แอบพยักหน้าให้กับการตัดสินใจของตนเองความรู้สึกเศร้าใจที่ต้องจากกันจึงจางหายไปมากทีเดียว
“เสด็จพี่”
“เป็อย่างไรบ้าง? ราบรื่นตลอดทางไหม?” กงอี่โม่คลี่ยิ้มน้อยๆ