เย่เช่อจูบผมของอวิ๋นจื่อเบาๆ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขากระชับอ้อมกอดและกล่าวด้วยเสียงแ่เบาว่า “ปี้เหยียน บางทีข้าอาจต้องจากเ้าไปสักพัก”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและถามเบาๆ ว่า “นานหรือไม่เ้าคะ?”
เย่เช่อจูบผมของนางอีกครั้ง เขารู้สึกสงสารนางจับใจ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เ้ารอนานเกินไป ถึงอย่างนั้นข้าอาจจากไปนานเป็ปีหรือสองปี แต่ข้าจะหาเวลามาเยี่ยมเ้าเป็ครั้งคราว”
อวิ๋นจื่อรับฟังเงียบๆ
เย่เช่อจูบผมของนางและกล่าวว่า “เ้ารอข้าได้หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อไม่ตอบ แต่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน ข้าจะรอ”
ในที่สุดความยับยั้งชั่งใจของเย่เช่อก็สูญสลายไป เขาจูบหญิงสาวในอ้อมแขนอย่างดูดดื่ม
เมื่อจูบได้สักพักเย่เช่อก็กลัวว่าตนเองจะทำอะไรเลยเถิด เขาจึงตัดสินใจถอนริมฝีปากออกอย่างกะทันหัน เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้ามีอาการหอบ เขาก็เดินจากไปทันที
อวิ๋นจื่อเฝ้าดูแผ่นหลังของเย่เช่อที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นนางก็หลั่งน้ำตาให้กับบุรุษเป็ครั้งแรกในชีวิต
หญิงสาวมักชมชอบชายหนุ่มที่ทำให้หัวเราะ แต่สุดท้ายแล้วกลับตกหลุมรักชายหนุ่มที่ทำให้ร้องไห้
อวิ๋นจื่อคิดว่านางคงตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว
นางไม่เคยรู้สึกโศกเศร้าที่ต้องแยกจากใครสักคนยกเว้นคนคนนั้นจะเป็คนในครอบครัวของนาง
แม้กระทั่งกับจินเหนียงนางก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้
นี่เป็ความรู้สึกแบบไหนกัน?
นางไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็คำพูดอย่างไร
อวิ๋นจื่อรู้สึกราวกับมีแมวข่วนหัวใจของนางเบาๆ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนนางจะชอบความรู้สึกนี้ไม่น้อย
นี่เรียกว่าความรู้สึกหวานชื่นใช่หรือไม่?
นางไม่รู้
เย่เช่อจากไปนานแล้ว แต่นางยังคงยืนอยู่ที่เดิม
อวิ๋นจื่อรู้สึกว่ามีดอกไม้ที่เรียกว่าความรักกำลังแย้มกลีบเบ่งบานในใจนาง
ดอกไม้ชนิดนี้ทำให้นางลุ่มหลงและเกิดความรู้สึกหวานชื่น บางครั้งนางก็แอบสงสัยว่านางป่วยหรือไม่
อวิ๋นจื่อส่งเสียงเรียกไป๋จื่อเบาๆ
ไป๋จื่อเป็สาวใช้ที่รู้ความที่สุด ทันทีที่นางเข้ามาก็มองสำรวจคุณหนูของนางั้แ่หัวจรดเท้า และเห็นว่าเสื้อผ้าของอวิ๋นจื่อยังคงเป็ระเบียบเรียบร้อย ยกเว้นผมที่ดูจะหลุดรุ่ยเสียทรงไปบ้าง
“คุณหนูเกิดอะไรขึ้นหรือไม่เ้าคะ?”
อวิ๋นจื่อถามเบาๆ ว่า “เหตุใดเ้าถึงถามข้าเช่นนี้?”
ไป๋จื่อกระซิบ “ข้าเห็นคุณหนูกับอ๋องอวิ๋นเมิ่งคนใหม่พูดคุยกันอย่างแช่มชื่น แต่ดูเหมือนคุณหนูจะยังมีบางอย่างค้างคาใจ คุณหนูบอกข้าได้ทุกเื่นะเ้าคะ”
สาวใช้อย่างไป๋จื่อยังดูออกว่าอวิ๋นจื่อรู้สึกเช่นไร
ถ้าอย่างนั้นคนที่เฉลียวฉลาดอย่างเย่เช่อจะดูไม่ออกได้อย่างไร?
ทันใดนั้นหัวใจของนางก็รู้สึกราวกับถูกบีบรัด นางถามอย่างเขินอายว่า “เ้าเคยปรึกษาปัญหากับคนอื่นหรือไม่?”
ไป๋จื่อคุกเข่าลงพร้อมกับกล่าวว่า “คุณหนูโปรดวางใจเถิด ชีวิตของไป๋จื่อเป็ของคุณหนูแล้ว แม้ตายตกไปิญญาก็ยังเป็ของคุณหนู ท่านไม่ต้องกังวล ข้ากับหงหลิงปรนนิบัติรับใช้คุณหนูด้วยความจริงใจ เพราะั้แ่เราสองคนได้พบกับท่านอ๋อง ชะตากรรมของเราก็ได้ถูกตัดสินแล้ว ไม่ว่าคุณหนูจะพูดสิ่งใดออกมา ไป๋จื่อจะเก็บเป็ความลับและไม่แพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอนเ้าค่ะ”
หลังจากได้ยินคำพูดที่จริงใจเช่นนี้ อวิ๋นจื่อก็รู้สึกโล่งใจและตระหนักว่าท่าทีของตัวเองออกจะดุดันเกินไปเล็กน้อย นางจึงมองสาวใช้ที่อยู่ด้านหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ไป๋จื่อ เ้าลุกขึ้นเถิด”
ดวงตาของไป๋จื่อมีน้ำตาคลอ
ร่องรอยความรู้สึกผิดผุดขึ้นในใจของอวิ๋นจื่อ ถ้าไม่ใช่เพราะเสด็จอา นางก็คงไม่ได้พบเจอกับสาวใช้ที่ซื่อสัตย์เช่นนี้ใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนนางจะทำให้อีกฝ่ายร้องไห้เสียแล้ว
อวิ๋นจื่อย้ำว่า “ไป๋จื่อ นี่เป็เื่สำคัญมาก จำไว้ว่าเ้าต้องไม่บอกเื่นี้กับใคร”
อวิ๋นจื่อมองไปที่สาวใช้ของนางด้วยสายตาอ่อนโยนและพยายามเน้นย้ำความสำคัญของเื่ที่นางกำลังจะกล่าว
หลังจากนั้นนางก็กระซิบว่า “ถ้าวันหนึ่งข้าตกหลุมรักเขาจริงๆ เ้าต้องหยุดข้านะ”
สาวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ไม่เข้าใจคำพูดของผู้เป็นาย ไป๋จื่อถามว่า “เหตุใดถึงเป็เช่นนี้เล่าเ้าคะคุณหนู? ไป๋จื่ออยากให้คุณหนูมีความสุข”
หัวใจของอวิ๋นจื่ออ่อนยวบ นางแสร้งไอกลบเกลื่อนก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะมีความสุขได้อย่างไร? เขาเป็บุตรชายของคนทรยศ เ้าจะให้ข้าเป็หวังเฟยของคนทรยศหรือ?”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ไป๋จื่อก็ปลอบโยนอวิ๋นจื่อ “คุณหนูได้โปรดอย่าคิดเช่นนั้น จากที่ข้ารับรู้มาเื่ราวอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แม่ทัพเจิ้นหนานเดิมทีก็เป็คนของท่านอ๋อง และหากเื่นั้นไม่เกิดขึ้น คนที่ต้องก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งโอรส์ย่อมเป็ท่านอ๋องอยู่แล้ว นั่นเป็เหตุผลที่แม่ทัพเจิ้นหนานรั้งอยู่ที่ชายแดนตลอดทั้งปี หากคุณหนูเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของท่าน นั่นอาจเป็ผลดีและไม่มีอะไรต้องกังวล นอกจากนี้อ๋องอวิ๋นเมิ่งคนใหม่ยังเป็ศิษย์ของแม่ทัพเจิ้นหนาน เขาย่อมอยู่ข้างเดียวกับคุณหนูอยู่แล้ว”
ไป๋จื่อกล่าวอย่างหนักแน่นราวกับว่านางรู้ทุกสิ่ง
หัวใจของอวิ๋นจื่อรู้สึกอ้างว้าง นางกล่าวว่า “ไป๋จื่อ สิ่งที่เ้าไม่เข้าใจคือคนเราไม่สามารถเนรคุณบิดามารดาได้ ข้าขอถามเ้าหน่อยเถิด หากบิดามารดาของเ้ากับท่านอ๋องไม่ลงรอยกัน เ้าจะเลือกยืนข้างผู้ใด?”
จู่ๆ ไป๋จื่อก็พูดไม่ออก
อวิ๋นจื่อรู้คำตอบของไป๋จื่อแล้ว นางยิ้มอย่างเ็าและกล่าวว่า “บางครั้งความสัมพันธ์ทางสายเืก็แข็งแกร่งกว่ามิตรภาพ เ้าต้องเข้าใจว่ามีช่องว่างระหว่างข้ากับเย่เช่อ และมันก็เป็ช่องว่างขนาดใหญ่เสียด้วย”
…
เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ชิงซีก็ทุบหน้าอกตนเองและกล่าวว่า “ถ้าจะกล่าวถึงช่องว่าง หากไม่ใช่เพราะเื่เข้าใจผิดในตอนนั้น ตระกูลเย่ก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว สาเหตุเป็เพราะเทพบนสรวง์ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือต่างหาก”
ชิงซีรู้ว่านับจากตอนนั้นเวลาได้ผ่านมาหลายปีแล้ว
นางลุกขึ้นยืนอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็มองไปที่ท้องฟ้าผ่านทางหน้าต่างแล้วพึมพำว่า “นี่เป็ฤดูใบไม้ผลิที่เหมาะแก่การออกไปเดินเล่นมากที่สุด เหตุใดข้าถึงต้องทนอยู่ในที่แบบนี้ด้วย? ข้าเบื่อเต็มทีแล้ว”
นางพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ กำลังมุ่งหน้ามาทางนาง
นางใเล็กน้อยและถามว่า “มีเื่สำคัญอะไรหรือไม่?”
นางปรับเปลี่ยนท่าทางเพื่อให้ดูราวกับว่านางกำลังรอพบอีกฝ่ายอยู่
ผู้มาเยือนคือมู่ชิงซ่ง
โดยปกติแล้วมู่ชิงซ่งเป็ชายหนุ่มที่สุขุมรอบคอบ เขาไม่ค่อยแสดงท่าทีร้อนรน แต่เหตุใดวันนี้เขาจึงดูเร่งรีบจนหลงลืมมารยาท?
เกิดเื่ใหญ่ขึ้นหรือไม่?
“ท่านประมุข มีบางอย่างเกิดขึ้น” สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมและจริงจัง
มู่ชิงซ่งมักมีท่าทีเคร่งขรึมซึ่งดูไม่เข้ากับอายุของเขาเลย แต่ยิ่งเขาเป็เช่นนี้นางก็ยิ่งอุ่นใจที่จะมอบหมายสิ่งต่างๆ ให้เขาจัดการ
ชิงซีถามช้าๆ “บอกข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้น เื่ใดทำให้เ้ามีท่าทีวิตกกังวลขนาดนี้?”
มู่ชิงซ่งลดเสียงลงและกล่าวว่า “มีเื่บางอย่างเกิดขึ้นกับตระกูลซูในเมืองฉินโจว ข่าวที่ข้าได้รับมาระบุว่าคนตระกูลซูจากเมืองหวยโจวเป็ผู้ลงมือ”
ชิงซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “สองตระกูลนี้เคยมีเื่บาดหมางกันมาก่อนหรือไม่?”
มู่ชิงซ่งส่ายศีรษะ “ไม่ทราบเลยขอรับ ตอนนี้เรากำลังสืบสวนอยู่”
ชิงซีถามต่อว่า “อวิ๋นจื่อรู้เื่นี้หรือไม่?”
มู่ชิงซ่งกระซิบ “ข้ายังไม่ได้ส่งข่าวให้นางเลยขอรับ แต่นางอาจรู้แล้ว เพราะตอนนี้องค์ชายเย่เหยียนพำนักอยู่ที่จวนผู้ว่าการ”
ชิงซีรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที
อวิ๋นจื่อเป็คนระมัดระวังตัวมาก
ยิ่งตอนนี้มีเื่แบบนี้เกิดขึ้น ชิงซีสงสัยว่านางควรทำอย่างไร?
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าเื่นี้จัดการไม่ง่ายเลย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้