ยามเช้าตรู่ จุนห่าวตื่นขึ้นมาตามนาฬิกาชีวภาพเมื่อครั้งอดีต เขามองดูหานรุ่ยที่กำลังหลับสนิท จุนห่าวรู้สึกมีความสุขมาก นี่คือชีวิตที่เขาวาดฝันไว้แต่ก่อน
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทั้งสองคนได้นอนร่วมเตียงเดียวกันจนหลับ เริ่มแรกหานรุ่ยค่อนข้างระวังตัว เวลานอนจะนอนชิดติดผนัง ทิ้งระยะห่างจากจุนห่าวราวกับมีคนอยู่คั่นกลาง ระยะคนคั่นกลางนี้ ทำเอาจุนห่าวแทบจะทนไม่ไหว ต้องรอหานรุ่ยผล็อยหลับไปก่อน จุนห่าวจึงจะค่อย ๆ เข้าไปแนบชิดและกอดหานรุ่ยนอน พอเวลาผ่านไปนานเข้า หานรุ่ยเริ่มปรับตัวได้ เวลานี้จุนห่าวจึงได้เอาเปรียบหานรุ่ยอยู่บ่อย ๆ ลูบบ้าง หอมบ้าง โดยรวมความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น แม้ว่าจุนห่าวจะจ้องหานรุ่ยตาเป็มันและอยากกินเขามากแค่ไหน แต่จุนห่าวจะไม่มีวันล่วงเกิน หากไม่ได้รับอนุญาต เพราะฉะนั้นจุนห่าวจึงทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้
จุนห่าวหอมหานรุ่ย หอมแล้ว หอมอีก หานรุ่ยขยับตัว แต่ก็ไม่ตื่น ตอนนี้หานรุ่ยค่อนข้างขี้เซา จุนห่าวนำมือที่วางบนเอวของหานรุ่ยออกมา คลุมผ้าห่มให้หานรุ่ย และลุกจากเตียงมาแต่งตัว
หลังจากตื่นนอน จุนห่าวจะนำกระสอบทรายมาผูกตรงข้อเท้า แล้ววิ่งไปรอบ ๆ จวน จากนั้นก็เริ่มออกท่าทางต่อสู้แบบทหาร ความขยันหมั่นเพียรตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทำให้สมรรถภาพร่างกายของจุนห่าวดีกว่าเมื่อก่อนมาก ถึงแม้ว่าจะสอดคล้องกับการที่ระดับพลังปราณเพิ่มขึ้น สมรรถภาพร่างกายจึงเพิ่มขึ้นด้วย แต่จุนห่าวมีพลังปราณแค่เพียงลมปราณขั้นที่หนึ่ง สมรรถภาพร่างกายจึงดีกว่าคนธรรมดาแค่เล็กน้อย หลังจากที่จุนห่าวเข้าทีมหน่วยทหารรบพิเศษ ทำหน้าที่เป็ผู้บัญชาการในหน่วยเล็กและอยู่แนวหน้าสุดเสมอ ดังนั้น จุนห่าวจึงให้สำคัญต่อการฝึกร่างกายเป็อย่างมาก หลังจากที่มาที่นี่ จุนห่าวจึงไม่ลดหย่อนการฝึกร่างกาย หลังจากเขารู้ว่ามีวิชาฝึกฝนร่างกาย เขาจึงปรารถนาที่จะฝึกให้ได้สักวิชา แต่ทว่ายังไม่มีโอกาส ดังนั้นจึงทำได้เพียงฝึกฝนทีละขั้นตอนเหมือนเมื่อก่อน
ทุกวันยามเช้า หลังจากจุนห่าวออกกำลังกายเสร็จ เขาจะลงมือทำอาหารให้หานรุ่ย จะไม่ทำอาหารเองก็ไม่ได้ เพราะเขาได้เลิกจ้างซานสี่และหลี่ว์ซิ่วั้แ่วันที่สองที่มาอยู่ที่นี่แล้ว ซานสี่และหลี่ว์ซิ่ว คือ คนข้างกายของร่างเดิม นานวันเข้าก็คงจะค้นพบว่าเขาผิดแปลกไป จนในที่สุดก็จะรู้ว่าจุนห่าวไม่ใช่ร่างเดิมและมีอุปนิสัยไม่เหมือนกับร่างเดิมเลยแม้แต่น้อย นอกจากหานรุ่ยแล้ว เขาไม่อยากใครให้รู้ว่า เขาสิงร่างอยู่ รวมถึงความลับเื่เทศะ เขาก็ไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ ความลับของเขาเยอะเหลือเกิน ผ่านไปนานเข้าอาจถูกคนอื่นสงสัยได้ง่าย อันที่จริงของที่เกิดจากภายในเทศะทั้งหมดล้วนมีพลังปราณ สรรพสิ่งที่มีพลังปราณบนแผ่นดินชางหลานถือเป็ของล้ำค่า ฉะนั้นจุนห่าวจึงขายสัญญาทาสคืนให้กับพวกเขาและให้พวกเขากลายเป็คนอิสระ
จุนห่าวดูแลชีวิตตัวเองมาั้แ่เด็กยันโต ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่คุ้นชินกับการมีคนมาคอยรับใช้ พอไม่มีคนรับใช้ จุนห่าวกับหานรุ่ยก็ใช้ชีวิตกันอย่างสบายใจยิ่งขึ้น
จุนห่าวอาบน้ำเสร็จแล้ว จึงเริ่มเตรียมอาหารเช้า สำหรับมื้อเช้าจุนห่าวได้ทำโจ๊กไก่ฉีก เสี่ยวหลงเปา และอาหารผัดอีกสองอย่าง หานรุ่ยชอบกินเนื้อ ทว่าพวกเขาพบว่าเนื้อที่พวกเขากินเป็แค่เนื้อสัตว์ธรรมดาและไม่มีพลังปราณ ผู้บำเพ็ญเพียรกินไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจุนห่าวจึงอยากทำอาหารจากเนื้อสัตว์อสูรให้หานรุ่ยกินบ้าง แต่กำลังในการต่อสู้ของสัตว์อสูรมีมากกว่านักพรตที่อยู่ในระดับเดียวกัน จึงล่าสัตว์อสูรได้ยาก ส่งผลให้เนื้อของสัตว์อสูรราคาสูงลิ่ว ยามนี้จุนห่าวค่อนข้างขัดสน บางครั้งกินเหมือนเดิมยังพอได้ แต่ถ้ากินทุกวัน... ก็กินไม่ลง
จุนห่าวทำอาหารเสร็จ กำลังจะเดินไปปลุกหานรุ่ย ก็เห็นหานรุ่ยกำลังเดินเข้ามาพอดี จุนห่าวมองดูหานรุ่ยที่พยุงท้องโต ๆ เดินมาทางเขา เขาจึงรีบเดินเข้าไปประคองหานรุ่ยทันที
เมื่อมองดูท่าทางที่ระมัดระวังของจุนห่าว หานรุ่ยได้แต่ส่ายหน้าพลางกล่าวขึ้นว่า “จุนห่าว ไม่เ้าต้องประคองข้าหรอก ข้าไม่ได้บอบบางอะไร ร่างกายข้ายังแข็งแรงอยู่ ลูกก็เป็เด็กดี ไม่กวนข้าเลยสักนิด เพราะฉะนั้นเ้าไม่ต้องระวังถึงเพียงนี้หรอก”
“ข้าแค่เป็ห่วง ระวังไว้หน่อยก็ไม่เสียหาย สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและมักเกิดจากความมั่นใจว่ามันจะไม่เกิดขึ้น” จุนห่าวพูดขึ้น
หานรุ่ยไม่อยากพูดเื่นี้อีก จึงเอ่ยขึ้นพลางเปลี่ยนเื่ว่า “วันนี้เ้าทำอะไรน่ะ! ข้ายังไม่ทันย่างก้าวเข้าประตู ก็ได้กลิ่นหอม ๆ แล้ว” หานรุ่ยคิดในใจ จุนห่าวทำอาหารอร่อย ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยสนใจเื่อาหารการกินเท่าไรนัก แต่ตอนนี้พอไม่ได้กินสักมื้อ กลับโหยหายิ่งนัก
เมื่อได้ยินหานรุ่ยถามเขาว่ามีอะไรกินบ้าง จุนห่าวจึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าทำเสี่ยวหลงเปากับโจ๊กไก่ฉีกที่เ้าชอบกิน แล้วข้ายังผัดกับข้าวอีกสองอย่าง ซึ่งเป็ของที่ปลูกจากในเทศะ เ้าก็ทานเยอะ ๆ นะ อย่ากินแต่เนื้อล่ะ”
หานรุ่ย: ...... พูดอย่างกับว่าเขาชอบกินแต่เนื้อ ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้ชอบทานเนื้อหรอก แต่เพราะจุนห่าวทำอร่อยเลยกินเท่านั้นเอง
ทั้งสองคนนั่งลงและเริ่มกินอาหาร พลันได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างรีบเร่ง ถ้าพูดให้ไพเราะหน่อยคือเคาะประตู ถ้าพูดแบบไม่ไพเราะก็คือถีบประตู
จุนห่าวกับหานรุ่ยมองตากันครู่หนึ่ง พลางคิดในใจว่า มีคนมาหาเื่แล้ว เขาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งเดือนกว่า นอกจากคนรับใช้สองคน... ซานสี่และหลี่ว์ซิ่วที่เจอเมื่อครั้งแรก ก็ไม่เคยพบใครมาที่จวนแห่งนี้อีกเลย ในความทรงจำของร่างเดิม น้อยคนนักที่จะมาหาเขา ก่อนหน้านี้มีพี่ชายรองและพี่ชายสามที่มักจะมาหาเขา แต่หลังจากที่พี่ชายรองและพี่ชายสามย้ายออกไป จวนเล็ก ๆ แห่งนี้ จึงไม่มีใครมาเลย แม้แต่คนรับใช้ ถ้ามี ก็มีเพียงสถานการณ์เดียวที่คนจะมา นั่นก็คือมาหาเื่ หนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาเขาอยู่อย่างคลื่นสงัดลมสงบ จนเขาลืมเื่ที่คนจะมาหาเื่ไปซะสนิท
จุนห่าวมองดูโจ๊กในมือที่ร้อนกรุ่น เขาลังเลที่จะวางมันและเอ่ยขึ้นว่า “เฮ้ จะให้คนกินข้าวอย่างราบรื่นไม่ได้เลยรึ และนี่ก็ไม่รู้ว่าใคร เช้าแบบนี้ ยังจะมาหาเื่ ท่านผู้นี้นี่ช่างไม่รู้เื่เสียจริง”
ในระหว่างที่กล่าวเพียงไม่กี่คำนั้น ประตูด้านนอกก็ถูกเคาะเสียงดังจนจะทะลุไปถึง์ชั้นฟ้าแล้ว
หานรุ่ยวางชามและตะเกียบลง พูดพลางขมวดคิ้วว่า “เ้าไปดูเถอะ ไม่เช่นนั้นคงกินข้าวกันไม่ได้หรอก หากประตูถูกเคาะจนพัง เราต้องมาซ่อมกันอีก ยามนี้เรามีเงินไม่มากแล้ว ประหยัดอะไรได้ก็ประหยัดเถอะ” แต่ก่อนหานรุ่ย คือ นายน้อยแห่งตระกูลใหญ่ ไม่เคยขัดสนเื่เงินมาก่อน อยากได้อะไรก็มีคนจ่ายให้ แต่เวลานี้เขาต้องพึ่งตนเอง ถึงได้รู้ถึงความสำคัญของเงิน ก่อนหน้านี้... ถึงแม้เขาจะไม่ใช้อะไรสุรุ่ยสุร่าย แต่ก็ไม่เคยต้องประหยัดเงินมาก่อน ตอนที่แต่งงาน ท่านปู่ได้ให้ตั๋วเงินกับเขา แต่เขาไม่ได้รับไว้ เวลานี้ทั้งเนื้อทั้งตัวกลับไม่เหลือเงินเลย ส่วนจุนห่าวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยิ่งไม่มีเงินเลย ยามนี้พวกเขาอาศัยกินของที่อยู่ในเทศะ ก็ประหยัดเงินไปได้ไม่น้อย มิเช่นนั้นก็คงจะเกิดวิกฤตทางการเงินไปแล้ว
“ได้ ข้าจะไปดู เ้ากินต่อเถอะ อย่าให้ใครมารบกวนการกินข้าวของเ้า เดี๋ยวข้าไล่ไป พวกเขาก็กลับไปเอง” จุนห่าววางชามและตะเกียบลง ลุกขึ้นพรวดไปเปิดประตู