สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 40
เขาได้นอนที่โซฟาเล็ก ๆ บริเวณห้องรับแขก ไม่รู้ว่ามันเป็อย่างนั้นได้อย่างไรแต่ก็เป็ไปแล้ว ม่านก็บอกกับเขาว่า
“รามต้องนอนข้างนอกนะ เพราะที่นี่มีห้องนอนแค่ห้องเดียวแล้วเตียงก็เล็กมาก” รามมองไปยังที่นอนในห้องนอนพบว่าขนาดเตียงมันไม่ใหญ่พอที่จะจุเราทั้งสี่คนลงไปได้หมด อย่างที่ม่านบอกจริง ๆ นั่นแหละ คุณพ่อป้ายแดงก็เลยต้องจำยอมระเห็จตนเองออกมาขดตัวนอนที่โซฟาด้านนอกอย่างที่ควรจะเป็ ทว่า...
“นอนไม่หลับ นอนด้วยได้มั้ย”
ใครจะไปคิดว่าแม่ของลูกจะหอบผ้าห่มผืนใหญ่มาหยุดยืนที่ตรงหน้าเขาและขอนอนบนโซฟาตัวเล็กนี่ด้วยคน ตอนแรกโซฟาตัวนี้ก็เล็กเกินกว่าที่เขาจะขดตัวแล้วยัดตัวเองลงไปนอนแต่ก็ต้องทำเพราะถึงอย่างไรก็อยากอยู่กับม่านและลูก ๆ แต่พอตอนนี้ม่านหยี่มายืนอยู่ตรงหน้าแล้วขอยัดตัวเองลงมานอนที่โซฟากับเขาด้วยแล้วนั้น มันจะไปลำบากอะไรล่ะ พื้นที่บนโซฟายังเหลือตั้งเยอะแยะให้ม่านนอนทับบนตัวเขาทั้งคืนยังได้เลย ตัวเบาอย่างกับนุ่น
รามสูรไม่พูดอะไรทำเพียงแค่ขยับถอยหลังให้ตัวไปแนบติดกับพนักพิงโซฟาให้มากที่สุดเพื่อที่จะเหลือพื้นที่ให้ม่านหยี่นอนลงมาแต่เพราะการที่ผู้ชายตัวโตสองคนจะนอนด้วยกันที่โซฟาตัวเล็กนั้นมันเป็เื่ที่ค่อนข้างจะยากลำบาก
“ขอ...โทษนะ” รามสูรเลยเอ่ยก่อนที่จะถือวิสาสะใช้แขนแกร่งของตนเองกอดเอวม่านหยี่เอาไว้กันตก และดูเหมือนว่าร่างบางก็ให้ความร่วมมือเป็อย่างดี ถึงแม้ว่าม่านจะสะดุ้งน้อย ๆ ในยามที่แขนของเขาัักับเอวบางแต่ไม่นานก็ปรับตัวให้ชินกับััที่คุ้นเคยได้
บังเกิดเป็ความเงียบระหว่างคนทั้งคู่ ไม่มีบทสนทนา มีเพียงแค่เสียงหายใจ ไม่มีการพูดคุยมีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นดังอยู่ในอกข้างซ้าย ม่านไม่ได้ตั้งใจจะฟังเสียงหัวใจของรามหรอกนะ แต่เมื่อตอนที่จังหวะหัวใจของเราเต้นตรงกันเขากลับได้ยินหัวใจสองดวงเต้นดังพร้อมกันเสียอย่างนั้น และการที่เขาพาตัวเองออกมายืนจังก้าขอบดเบียดร่างกายของตัวเองลงไปนอนกับพ่อของลูกแบบนี้ใจหนึ่งก็คิดว่ามันไม่ดี พึ่งจะกลับมาคุยกันได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงใจเ้ากรรมก็อดรนทนไม่ได้ต้องหอบผ้าหอบผ่อนมานอนให้เขากอดแบบนี้ แต่อีกใจก็คิดว่าทำไมเขาต้องรอ ในเมื่อเขารอมาตั้งสามปีกว่าแล้ว ทำไมเขาต้องรออีก สู้ทำให้การรอคอยมันสิ้นสุดลงตรงนี้แล้วรักอย่างที่ใจอยากรักไม่ดีกว่าเหรอ ชีวิตเขาไม่เคยได้ทำอะไรอย่างที่ใจอยาก ไม่เคยได้ใช้ชีวิตของตนเองให้ดีเลย ตอนนี้เขาขอทำตามใจตัวเองได้ไหม ไม่ใช่การขอที่มากไปใช่ไหม...
“ตัวอุ่นจัง” ม่านหยี่พูดเบา ๆ พลางขยับตัวยุกยิกพาตัวเองเข้าหาความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากอกของรามสูร เขาคิดถึงทุกอย่างที่เป็ราม คิดถึงใบหน้าหล่อ ๆ นั่น คิดถึงเสียง คิดถึงัั คิดถึงลมหายใจ เขาคิดถึงราม
“ม่านตัวเย็น”
“อือ”
“...”
“...”
“เรามีลูกตั้งสองคน”
“ลูกเราต่างหาก”
“ลูกรามด้วย”
“ไม่ได้เลี้ยง อยู่ ๆ จะมาตู่เอาลูกเขาไปได้ยังไง”
“ก็ทำมาด้วยกัน”
“...”
“...”
“ตอนนั้นเราเสียใจที่รามทำแบบนั้น ที่รามไม่อยู่กับเรา ที่รามทิ้งเราไปแบบนั้น”
“...”
“เราใมากที่เราท้องได้ เราใที่เรามีเด็ก แต่ที่เสียใจที่สุดคือในตอนที่เรา้ารามมาก ๆ อย่างตอนนั้นรามกลับทิ้งเราให้สู้อยู่คนเดียว”
“ขอโทษครับ รามขอโทษจริง ๆ ”
“...”
“มันจะไม่เป็แบบนั้นอีกแล้วนะม่าน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนี้รามจะไม่มีวันทิ้งม่านให้สู้อยู่คนเดียวอีกแล้ว”
เขาไม่ได้พูดให้ม่านเชื่อหรือไม่ได้พยายามปั้นแต่งคำพูดให้ดูดีแต่อย่างใด
“รามตามหาม่านมาตลอดเลยรู้ตัวมั้ย ทำไมหนีเก่งขนาดนี้ก็ไม่รู้”
“...”
“รามไปบ้านลุงตี๋จนคนที่นั่นเบื่อหน้ารามเลยละ แต่ลุงตี๋ก็ไม่บอกอะไรเกี่ยวกับม่านให้รามรู้เลย แต่รามก็ไม่โกรธลุงตี๋หรอกนะเข้าใจว่าเป็เพราะหน้าที่การงาน”
“...”
“อย่าทิ้งรามไปอีกได้มั้ย เพราะรามก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันถ้าไม่มีม่าน”
“...อืม”
ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไหร่ที่ม่านหยี่เอื้อมแขนตัวเองออกไปโอบกอดรามสูรอย่างที่อีกฝ่ายกำลังทำ
“ม่าน...รามมีคำถาม แต่ม่านต้องสัญญากับรามก่อนว่าจะไม่โกรธกัน”
“ถามอะไร”
นั่นไง ทำไมเสียงแข็งขึ้นทันทีทันใดล่ะม่านหยี่ มันก็แค่...ไม่ใช่เื่คอขาดบาดตายหรอกนะ ก็แค่เป็คำถามง่าย ๆ ที่ม่านก็ต้องตอบได้อยู่แล้ว แค่นั้นเอง
“สัญญากันก่อนว่าจะไม่โกรธ”
“ไม่สัญญา เธอไม่มีสิทธิ์มาต่อรองกับเรานะราม จะถามอะไร หรือว่าเธอมี-...”
“ไม่ ๆ ๆ ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อยม่าน ไม่ใช่อย่างนั้น รามไม่ได้มีใครคนอื่นนะม่าน” รามสูรละล่ำละลักปฏิเสธเป็พัลวัน เขาจะไปมีคนอื่นได้อย่างไรลำพังแค่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็คิดถึงแต่ม่านหยี่ ก่อนนอนก็ได้ยินเสียง ขนาดในฝันยังมีม่านอยู่ในนั้นเลย
“แล้วตกลงมันยังไงอย่าอ้ำอึ้งพูดออกมา”
“คือ...อย่าโกรธรามนะ”
“ราม!” ม่านเสียงแข็งขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวด้วยเพราะพ่อของเด็กแฝดยังคงชักช้าไม่ยอมพูดมันออกมาสักที! อย่าทำให้มีน้ำโหนะราม!
“ลูกเราชื่ออะไรเหรอม่าน”
“...”
“...โกรธเหรอ”
“ไม่...”
“ไม่โกรธ”
“ไม่รู้ชื่อลูกได้ยังไง เธอเป็พ่อประสาอะไร!”
“โธ่ม่าน ราม....”
“ล้อเล่นน่า” ม่านว่าพลางลูบหลังรามสูรเบา ๆ ม่านบอกคุณพ่อมือใหม่ว่าลูกชายคนโตชื่อน้องเมฆ เกิดก่อนน้องหมอกซึ่งเป็ลูกชายคนเล็กสองนาที ทั้งยังเื่ราวต่าง ๆ ที่มันขาดหายไปในระยะเวลากว่าสามปีที่เราห่างกันไป คืนนั้นคุณพ่อป้ายแดงได้อัปเดตข้อมูลจวบจนกระทั่งฟ้าสางม่านไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอนส่วนรามนั้นก็ตั้งใจฟังเป็อย่างดีเื่เล่าเ่าั้ไม่ได้ฟังดูน่าเบื่อเลยสักนิดเดียวในทางกลับกันเขากลับรู้สึกว่ามันน่าสนใจและน่าตื่นเต้นมากใน่ชีวิตของลูกและม่านที่เขาทำหล่นหายไป
รามสูรััได้ถึงความรู้สึกแปลก ๆ บนหน้าของเขา มันมีขนาดเล็กเย็นและนุ่ม คิ้วเรียวของคุณพ่อป้ายแดงขมวดมุ่นเข้าหากัน ก่อนที่คนขี้เซาจะลืมตาขึ้นมาพบกับลูกชายสองคนที่ยืนอยู่ในระดับสายตาของเขา มือเล็ก ๆ เอื้อมออกมาจับ ๆ แตะ ๆ ที่หน้าผู้เป็พ่อ ซึ่งในความคิดของเด็กน้อยทั้งสองไม่เข้าใจว่าคนแปลกหน้าที่คุณม่านพากลับบ้านเมื่อวานทำไมวันนี้ยังไม่กลับทั้ง ๆ ที่ฝนก็หยุดแล้ว
“คนไหนเมฆ คนไหนหมอก ตัวเท่ากันหมดเลย” เสียงทุ้มพึมพำเบา ๆ ด้วยกลัวว่าคนในอ้อมกอดจะตื่น
“คนไหนเมฆ” ลูกชายคนโตยกมือมองมาทางเขาตาแป๋ว
“คนนี้หมอกใช่มั้ยครับ” ลูกชายคนเล็กพยักหน้าลูกชาย ยิ่งได้มองใกล้ ๆ ยิ่งหมอกยิ่งเหมือนม่านและเมฆก็เหมือนเขา
“เอาอะไรครับ”
“คุณม่าน” นั่นอย่างไรตื่นมาก็ต้องเห็นหน้ากันทันที เขากอดม่านได้ไม่เท่าไหร่ลูกชายก็จะมาทวงคุณม่านคืนแล้ว
“ขอพ่อกอดคุณม่านนาน ๆ หน่อยได้มั้ยครับ”
เด็กน้อยสองคนส่ายหน้าพร้อมกัน ลูกชายคนเล็กทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“ขอพ่อจ๋ากอดคุณม่านหน่อยนะ สามปีแล้วพ่อจ๋าไม่ได้กอดคุณม่านเลย พวกเธอกอดคุณม่านมาตั้งสามปีแล้ว” ยังไม่ทันที่จะแนะนำตัวกันอย่างเป็ทางการ ก็เริ่มมีเค้าลางาระหว่างพ่อลูกแล้ว
“คุณม่าน”
“คุณม่าน” หลังจากที่คิดว่าคนแปลกหน้าคงไม่คืนคุณม่านให้แล้วเด็กทั้งสองคนเลยหันไปเขย่าตัวคุณม่านแทน เพื่อที่จะให้คุณม่านออกมาจากกอดของคนแปลกหน้าใจร้ายนี่สักที แต่ไม่ว่าจะเขย่าตัวคุณม่านเท่าไหร่คุณม่านก็ไม่ตื่นเลย
“ฮึก ฮึก คุณม่าน คุณม่าน แงงงงง”
“แงงงงง”
“โอ้ ๆ พ่อคืนคุณม่านให้แล้ว พ่อจ๋าคืนคุณม่านให้แล้ว อย่าร้องนะครับ พ่อจ๋าขอโทษ” นั่นอย่างไร คนขี้แกล้งเจอฤทธิ์ลูกชายเข้าให้แล้ว ยังดีที่ม่านหยี่ตื่นแล้ว เขาได้ยินเสียงลอบขำจากคนในอ้อมกอด
“ม่านลูกร้องไห้”
“พ่อจ๋าก็ปลอบสิ พ่อจ๋าเป็คนทำให้ลูกร้องไห้” ม่านหัวเราะคิกคัก
“แล้วพ่อจ๋าต้องทำยังไง” เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็คนโง่ งกเงิ่นและในสายตาลูกเขาคงจะกลายเป็คนแปลกหน้าใจร้ายที่เอาแต่กอดคุณม่านไว้ไม่ยอมแบ่ง ไม่รู้ว่ารามสูรเป็คนโรคจิตหรือเปล่าที่พอเห็นลูก ๆ ร้องไห้เขากลับอยากแกล้งให้เด็ก ๆ ร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม อย่างนั้นเขาเลยกระทำการอันใหญ่หลวงที่คิดว่ามันอาจเป็ภัยต่อความมั่นคงต่อชีวิตตัวเองนับจากนี้
ฟอดดดด
“อื้อออ”
“แง้งงงงงง” // “แง้งงงงง”
“นี่พ่อจ๋าไม่ยอมหรอก พวกเธอกอดคุณม่านมาตั้งสามปี ฟอดดดด”
ว่าเสร็จก็ก้มลงไปหอมแก้มคุณม่านแรง ๆ อีกครั้ง และอีกครั้ง เขาทำอย่างนั้นพลางหัวเราะเมื่อเสียงเด็กร้องไห้ดังขึ้นกว่าเดิม
“คุณม่านนนน ฮืออออ คุณม่าน” // “คุณม่าน แงงงง อย่า”
ลูกชายทั้งสองร่วมด้วยช่วยกันผลักหน้าพ่อจ๋าออกไม่ให้หอมแก้มคุณม่าน ส่วนคุณม่านก็นอนนิ่งให้พ่อจ๋าหอมอยู่อย่างนั้น สงสัยคุณม่านจะเจ็บ พ่อจ๋าทำให้คุณม่านเจ็บ
“ฮือออ อย่าาาา คุณม่าน” // “คุณม่าน ฮือออออ”
สุดท้ายม่านหยี่ก็ทนฟังลูกร้องไห้ได้ไม่นานเขาผละออกจากอ้อมกอดรามแล้วลุกขึ้นนั่งเพื่อที่จะกอดปลอบลูกชายแต่ทันทีที่เมฆและหมอกก็แผดเสียงร้องไห้จ้ายิ่งกว่าเดิม
“แงงงงงงงงง” // “แงงงงงงง”
คราวนี้คุณพ่อป้ายแดงถึงกับต้องปาดเหงื่อออกจากใบหน้า เพราะเขาเป็คนเริ่มทั้งหมดเอง จะโทษใครก็ไม่ได้
“โอ๋ ๆ ๆ พ่อ ๆ แค่แกล้ง พ่อ ๆ ไม่ได้ทำอะไรคุณม่านเลย คุณม่านไม่เจ็บเลย”
“แงงงงง” // “แงงงงง”
ไม่น่าเลยรามสูร...
ลูกจะกล้าให้เขาเข้าใกล้อีกไหมนะ
ก๊อก ๆ ๆ
“ม่าน ม่าน เด็ก ๆ เป็อะไรไม่สบายเหรอ”
“ชู่วววว ไม่ร้อง คุณม่านอยู่นี่ไง ไม่เป็ไรนะ”
“แงงงงง”//”แงงงง”
ก๊อก ๆ ๆ ๆ
“ม่าน ม่านได้ยินมั้ย”
“ราม ไปเปิดประตูหน่อย” เกิดความวุ่นวายขึ้นในห้องนอน เด็กสองคนร้องไห้ไม่หยุดคงเพราะเห็นคนแปลกหน้าที่เอาแต่กอดคุณม่าน และเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น รามก้าวเท้ายาว ๆ มาที่ประตูจากนั้นก็ดึงลูกบิดให้เปิดออกพบว่าเป็หญิงมีอายุเธอกำลังยืนอยู่กับผู้ชายอีกคนคาดว่าน่าจะเป็สามีของเธอ
“เอ่อ...สวัสดีครับ”
“แฟนม่านเหรอ”
“...ครับ”
“ลูกเป็อะไรพี่ได้ยินเสียงร้องไห้ตั้งนานแล้ว”
“เอ่อ...คือ” จะให้เขาบอกว่าตนเองแกล้งลูกเล่น ๆ มีหวังได้หัวแบะแน่ เพราะดูท่าแล้วเธอกับสามีก็เอาเื่อยู่เหมือนกัน คงห่วงหลานกันน่าดู
“ไม่สบายรึเปล่า ตัวร้อนเหรอ เด็กไม่สบายตัวก็ร้องนะ มีไข้รึเปล่า”
“เข้ามาก่อนครับพี่เอกพี่หญิง” เสียงะโของม่านหยี่ดังขึ้นทำให้แขกที่ได้รับเชิญสองคนเดินเข้าไปในห้อง ส่วนเขาน่ะเหรอ เขาน่ะ...
“แงงงงงง” // “แงงงงงง”
โอเค...พอลูกทั้งสองเห็นหน้าเขาก็ร้องไห้จ้าทันที พลางกอดขาคุณม่านเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย หาเื่ให้ตัวเองจริง ๆ นะรามสูร
“กลัวพ่อเหรอ”
“เอ่อ...น่าจะอย่างนั้นครับ” รามตอบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เขาค้อมหัวน้อย ๆ ก่อนที่จะพาตัวเองมานั่งจุ้มปุกอยู่ที่เก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ๆ บริเวณมุมห้องที่เป็มุมอับสายตา เพื่อความสบายใจของลูก ๆ
รามนั่งเงียบ ๆ มองทุกคนคุยกัน พี่เอกกับพี่หญิงโอ๋หลานกันใหญ่จนเด็กน้อยทั้งสองคนอารมณ์ดีขึ้น ไม่เพียงแค่ยิ้มกว้างลูกชายของเขายังหัวเราะอีกด้วย
“พ่อมันนี่ยังไงเอ้อ มาทำน้องเมฆร้องไห้ทำไม เดี๋ยวป้าว่าพ่อให้นะครับ” รามสูรสบตากับม่านหยี่พร้อมกับรอยยิ้มแหย ๆ ฟังดูเหมือนพี่น้อยจะเอาจริงเสียด้วย
คู่สามีภรรยาอยู่เล่นกับหลานสักครู่ก่อนที่จะขอลากลับห้องของตนเพราะเห็นว่ามีธุระต้องไปจัดการ รามพยายามเข้าหาลูกชายทั้งสองอีกครั้ง เ้าพวกเด็กแฝดไม่กลัวเขาเหมือนเดิมแล้ว จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกทั้งหมด เพราะเด็กแฝดทั้งสองเอาแต่เดินตามคุณม่านต้อย ๆ จับชายกางเกงบ้างก็ขอให้คุณม่านจูงมือ ส่วนเขาน่ะเหรอ ลูกไม่ชายตามองสักนิด บาปกรรมที่ทำตัวเองนะรามสูร
ผ่านไปเกือบอาทิตย์แล้วที่รามสูรใช้ชีวิตร่วมกับม่านหยี่และลูก ๆ หลัง ๆ มานี้เด็ก ๆ ปรับตัวเข้ากับพ่อจ๋าได้เร็วจนน่าใ ตอนเย็นก็เล่นกันเสียงดังจนม่านต้องปรามทั้งพ่อทั้งลูก ตกดึกก็ยังนอนไม่ได้ต้องได้กอดได้หอมได้นอนด้วยกันพ่อจ๋ากลายเป็ฟูกนอนของเด็ก ๆ แทนที่จะเป็เตียงนุ่ม เขาเห็นรามปวดหลังปวดตัวก็นึกเอ็นดูแต่ทำอย่างไรได้ลูก ๆ ก็ชอบใจกันใหญ่ที่ได้นอนบนตัวพ่อจ๋า ส่วนพ่อจ๋าเมื่อเห็นลูกชอบก็ยิ่งเอาอกเอาใจกันใหญ่ยอมเป็ที่นอนให้ลูก ๆ ทุกคืน ม่านบอกให้เข้าไปนอนบนเตียงดี ๆ รามก็ไม่ไป
“พี่อัสเหรอ”
“ไอ้อัส กับแม่”
“...”
“ม่าน...อยากกลับไทยมั้ย”
ม่านหยี่ไม่ตอบแต่ดวงหน้าหวานหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นคงเป็คำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว
“ถ้าม่านไม่อยากกลับก็ไม่เป็ไรนะ เดี๋ยวเรา...”
“ได้สิ...” เพราะเขาเองก็ไม่อยากหนีปัญหาอีกแล้ว เขาหนีมานานเกินพอแล้ว มันทั้งเสียเวลาและเหนื่อย ตอนนี้ม่านไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือยเขามีลูกชายสองคนให้คิดถึง และการที่ตกลงยอมรับรามสูรเข้ามาในชีวิตอีกครั้งนั่นหมายความว่าไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรเราสองคนก็จะร่วมผ่านมันไปด้วยกัน หากเขายังยืนยันที่จะอยู่ที่นี่ก็คงจะเป็การเห็นแก่ตัวเกินไป ปล่อยให้รามสูรแก้ปัญหาคนเดียวอย่างที่ผ่านมาไม่ได้หรอกนะ
“พี่เพนครับ ผม...ม่าน จะมาลาออก”
“เฮ้อ! พี่รู้แล้วละม่าน เชื่อมั้ยพี่รู้อยู่แล้ว รู้ั้แ่วันที่เจอนายรามอะไรนั่นที่ปาร์คแล้ว” พี่เพนนีค่อนแคะถึงอย่างนั้นเธอก็เดินอ้อมไปยังด้านหลังเคาน์เตอร์และหยิบกระดาษกับปากกาและเงินจำนวนหนึ่งออกมา
“ตัดสินใจดีแล้วใช่มั้ยม่าน”
“...ครับ”
“พี่ไม่อยากเห็นม่านเสียใจนะรู้มั้ย ไม่อยากเห็นม่านเป็เหมือนตอนนั้นอีกแล้ว”
“ครับ ม่านตัดสินใจดีแล้ว”
“แล้วพี่จะพูดอะไรได้ล่ะ คนของเราใจก็ไปกับเขาซะขนาดนั้น เซ็นใบลาออกให้พี่หน่อยแล้วกันนะ อันนี้เงินเดือนเดือนสุดท้ายของม่าน”
“ม่านไม่รับเอาไว้นะครับพี่เพน ถือว่า...”
“ไม่รับได้ยังไง ทำงานก็ต้องได้เงิน มันเป็เงินของม่านนะ”
“ไม่ครับพี่เก็บไว้เถอะ ม่านทำงานไม่เต็มเดือนด้วยซ้ำ”
“ไม่รู้ละ ยังไงพี่ก็จะให้”
“....”
“ถือว่าเป็เงินขวัญถุงให้หลานแล้วกัน ถึงแม้พ่อมันจะมีเงินมากกว่าพี่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่พี่ก็จะให้หลานของพี่”
“...พี่เพน”
“ย่ะ” สองคนกอดกันร้องไห้เพราะเขากับเธอผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะเหลือเกิน ม่านผละออกจากอ้อมกอดคนที่เปรียบดังพี่สาวสองคนร้องไห้จนตาบวมมันคงเป็ความรู้สึกใจหายมากกว่าความเสียใจ
“โอเคเด็ก ๆ เรามาตกลงกันก่อน” คุณม่านคว้าไหล่เด็กน้อยทั้งสองเอาไว้ก่อนที่เด็ก ๆ จะเดินเข้าบ้านใหญ่ไป เขาทั้งสี่คนบินกลับไทยพอถึงสนามบินสุวรรณภูมิไม่รู้ว่ารามไปคุยกับแม่ว่าอย่างไรถึงได้มีเครื่องบินส่วนตัวจอดรอรับพวกเขาทั้งสี่คนอยู่แล้ว ใช้เวลาเพียงแค่สองชั่วโมงเศษเราทั้งหมดก็มาถึงบ้านของรามสูรเรียบร้อยแล้ว แต่ก่อนที่จะเข้าบ้านเขาก็มีเื่ต้องขอร้องกับลูกชายทั้งสองคนเอาไว้ก่อน
“ตอนนี้เราอยู่ที่ไทย เราจะไม่พูดภาษาอังกฤษนะครับ ตกลงมั้ย”
ดูเหมือนว่าเด็กน้อยทั้งสองเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะเข้าใจเื่ที่คุณม่านกำลังพูดอยู่ตอนนี้
“เราจะไม่ซน เราเล่นได้แต่จะไม่ซนเหมือนอยู่ที่ร้านพี่เพนนี เข้าใจที่คุณม่านบอกมั้ยครับ”
“อะไรกันนักกันหนา หลานฉันตัวเท่าเมี่ยงเธอจะพูดให้มันยากทำไม เดินทางกันมาเหนื่อย ๆ แทนที่จะได้พัก”
แต่แล้วเสียงแหลมที่ไม่ได้ยินมานานก็ดังขึ้นที่หน้าบันไดบ้านใหญ่ คุณนายรุ่งฤดียืนกอดอกมองม่านหยี่ที่กำลังพูดกับหลาน ๆ ของเธอ ทั้ง ๆ ที่เด็กน้อยทั้งสองคนง่วงนอนตาแทบจะปิดหมดแล้ว
“มาหาย่ามาลูก ปะเราไปนอนกันดีกว่า”
พฤติกรรมของคุณนายรุ่งฤดีทำเอาม่านหยี่ใแทบสิ้นสติ จากเื่ราวทั้งหมดม่านคิดว่าคุณนายเธอคงจะเกลียดเขาเข้าไส้ เธอคงไม่เชื่อและไม่อาจยอมรับกับการที่เขาท้องได้ ม่านหันไปขอความช่วยเหลือจากรามหากแต่ก็ได้เพียงรอยยิ้มกลับมา
“แม่รู้เหรอ”
“ครับ แม่รู้ไอ้อัสรู้”
“แล้ว...” ที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมคุณนายรุ่งฤดีถึงทำความเข้าใจเื่พวกนี้ได้อย่างง่ายดายขนาดนี้
“ลุงตี๋น่ะ แต่กว่าจะคุยกันรู้เื่ก็เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน”
เขาพอจะเข้าใจเื่ราวทั้งหมดแล้ว คงเป็เพราะลุงหมอของรามอธิบายเื่ทั้งหมดให้คุณหญิงรุ่งฤดีฟัง เธอถึงยอมรับได้ในที่สุด
ชีวิตของเขาปกติมากเกินไปเสียจนน่ากลัว...
และแล้วเื่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
รามสูรกับลูก ๆ ป่วย
หลังจากที่กลับมาถึงประเทศไทยได้เพียงหนึ่งอาทิตย์
ม่านหยี่สังเกตอาการของลูกชายทั้งสองคนสองสามวันแรกลูก ๆ ไม่กินข้าว ‘เ้าเมฆกับเ้าหมอกหลาน ๆ ของคุณย่า อย่างที่คุณนายรุ่งฤดีแกชอบเรียก’ มีพฤติกรรมไม่อยากอาหาร เขาคิดว่าอาจเป็เพราะเด็ก ๆ ไม่คุ้นชินกับอาหารไทย และกำลังปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ผู้คนและวัฒนธรรมใหม่ ๆ อยู่ อย่างนั้นม่านหยี่เลยไม่อยากเร่งรัดลูก ๆ มากนัก ส่วนรามนั้นก็มักบ่นในตอนกลางคืนว่าปวดหัวและนอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร อาการของพ่อลูกทรง ๆ มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลางดึกวันที่หกของการกลับมาเมืองไทย สามีและลูก ๆ ตัวร้อนอย่างกับไฟไข้ขึ้นกินยาอย่างไรไข้ก็ไม่ลด ม่านไม่รู้จะทำยังไงเลยต้องพาตัวเองไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องแม่ผัวในตอนกลางดึก ก่อนจะเคาะประตูรบกวนการนอนของคุณนายรุ่งฤดีเพื่อขอความช่วยเหลือจากเธอ หลังจากนั้นสิบห้านาทีเฮลิคอปเตอร์ของโรงพยาบาลเอกชนก็ลงจอดที่ลานบิน เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากจนตอนนี้พ่อลูกเข้าห้องฉุกเฉินไปแล้วเหลือแค่เขากับคุณนายรุ่งฤดีที่นั่งรออยู่หน้าห้องในเวลาตีสองของวันใหม่ ด้วยอากาศที่เย็นลงและเพราะเป็ห่วงสุขภาพของคุณหญิงรุ่งฤดีม่านเลยทำใจดีสู้เสือเข้าไปคุยกับเธอ
“คุณหญิงครับ เดี๋ยวผมเฝ้าที่นี่คุณหญิงกลับไปนอนพักที่โรงแรมก่อนเถอะนะครับ”
“...”
“ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะโทรบอกเป็ระยะ”
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เหมือนคุณหญิงเธอจะไม่ยอมฟัง คุณหญิงรุ่งฤดียังคงปักหลักนั่งอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน หากว่าเธอป่วยไข้ขึ้นมาอีกคนคงยุ่งแน่ ๆ
ม่านหยี่พยายามอีกเป็ครั้งที่สอง เขาเดินเข้าไปคุยกับเธอด้วยประโยคเดิมและพยายามอ่อนน้อมถ่อมตนให้มากกว่าครั้งก่อน มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“คุณหญิงครับ-”
“รู้แล้วแหละน่า ฉันกำลังจะกลับตอนนี้แหละ”
“...ครับ เดี๋ยวผมเดินไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก ฉันเดินไปเองได้”
ม่านมองคุณหญิงรุ่งฤดีที่กำลังกระชับชายเสื้อคลุมตัวหนาของเธอก่อนที่มือเหี่ยวย่นจะคว้ากระเป๋าราคาแพงที่เธอถือติดมาด้วยแล้วลุกขึ้นยืน ม่านพยายามจะเข้าไปประคองหญิงวัยกลางคนแต่เธอก็สะบัดตัวหนี ม่านจึงถอยออกมาและเดินตามหลังเธอไปเงียบ ๆ
“ฉันบอกว่าไม่ต้องตามมายังไงล่ะ!”
คุณหญิงรุ่งฤดีเดินพลางหันมาเอ็ดเขาตลอดทั้งทาง ม่านปล่อยให้คุณหญิงเธอบ่นไปเรื่อย ๆ ตลอดทางโดยที่เขาไม่โต้ตอบเธอสักคำ ด้วยเพราะเขาเรียนรู้แล้วว่าบางสิ่งบางอย่างเราเถียงไปก็เท่านั้น เขายอมเป็ฝ่ายพ่ายแพ้เพื่อความสงบสุขของทุก ๆ คนจะดีกว่า คิดในแง่ดีอย่างน้อยคุณหญิงเธอยังคุยกับเขาถึงแม้จะเป็การบ่นออด ๆ แอด ๆ ก็ยังดีกว่าการที่เธอเงียบแล้วกันละนะ
หลังจากที่ส่งคุณหญิงรุ่งฤดีกลับไปแล้วแพทย์หญิงคนเดิมที่รับสามีและลูก ๆ ของเขาไปดูแลก็เดินออกมาบอกว่ารามและลูก ๆ อาการดีขึ้นแล้ว ม่านทำการย้ายพ่อลูกทั้งสามคนออกมาพักยังห้องพักพิเศษ ทั้งเอ็นดูทั้งสงสารที่เห็นสายน้ำเกลืออยู่บนหลังมือของสามีและลูก ๆ พยาบาลแนะนำเื่การดูแลคนป่วยพร้อมทั้งสาธิตการเช็ดตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะเดินออกไป ทิ้งให้คุณแม่นั่งเฝ้าคนป่วยทั้งสามคนจวบจนแสงแรกของตะวันมาเยือน ม่านหยี่เทียวเช็ดตัวทั้งยังวัดอุณหภูมิพ่อลูกทั้งสามคนตลอดทั้งคืน ที่น่าเป็ห่วงคือเด็กน้อยสองคนที่ทั้งมีไข้และอ่อนเพลียเนื่องจากไม่ยอมกินอะไรเลย ตอนนี้เลยโดนเจาะแขนให้น้ำเกลือกันไปตามระเบียบ
“ตื่นแล้วเหรอพ่อจ๋า หายซ่าได้ยัง” ม่านทักทายสามีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาใน่สายของวัน ดูเหมือนว่ารามยังมีอาการอ่อนเพลียและมีไข้อยู่แต่แค่อุณหภูมิร่างกายไม่ได้สูงจนน่าใจหายเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมาแล้ว
“หายแล้วครับ” รามสูรระบายยิ้มออกมา
“ยังปวดหัวอยู่มั้ย”
“อืม เหมือนหัวจะะเิเลย” เดี๋ยวเราเช็ดตัวให้
“ฮึก ๆ ๆ แง้งงงงงงงงงง” // “แง้งงงงงง”
“ม่านไปดูลูกเถอะ” ยังไม่ทันที่จะหยิบจับอะไรเด็กน้อยทั้งสองก็แผดเสียงจ้าลั่นห้องพัก คงเพราะรู้สึกไม่สบายนั่นแหละเลยทำให้ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล ม่านตรงดิ่งเข้าไปกอดปลอบทั้งพยายามเช็ดตัวให้แต่ดูเหมือนว่าความไม่สบายยังคงกวนตัวกวนใจน้องเมฆและน้องหมอกอยู่ เด็กน้อยทั้งสองเลยไม่ยอมสงบลงสักที
“ชู่ววววว มา ๆ คุณม่านอุ้มนะ” ม่านใช้พลังแขนทั้งสองข้างของตนเองกอดลูกเอาไว้แล้วนั่งนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น เด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นกับไหล่ทั้งสองข้างของคุณม่านทั้งน้ำหูน้ำตาเปียกแฉะไปหมด
“ฮึก ฮึก” // “ฮืออออ ฮึก”
“เด็ก ๆ มาหาพ่อจ๋ามา คุณม่านเหนื่อยแล้ว ม่านไปนอนเถอะ เรารู้ว่าม่านยังไม่ได้นอน”
“ไม่เป็ไร ๆ เดี๋ยวให้เด็ก ๆ หยุดร้องก่อน”
“เอามาไว้กับเรามา”
“ไม่ได้หรอก เธอก็ป่วยเหมือนกัน”
“แต่-...”
“เอามาไว้กับฉันนี่ เธอไปนอนได้แล้ว ส่วนตารามนอนพักซะ หลานแค่สองคนทำไมฉันจะดูไม่ได้”
ม่านหยี่มองคนมาใหม่อย่างตื่น ๆ เช้าวันนี้คุณหญิงรุ่งฤดีมาพร้อมกับพี่อัสนีพี่ชายของราม และพ่วงด้วยแม่บ้านอีกสองคนที่ในมือของพวกเธอหอบของกินและของใช้พะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นในมือคุณหญิงยังหอบผ้าห่มผืนบางติดมือมาด้วย เธอยื่นให้เขาเพื่อแลกกับการส่งตัวหลานสองคนที่สะอึกสะอื้นอยู่บนไหล่เขาไปให้เธอตอนนี้