สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 41
เสียงสะอึกสะอื้นฮัก ๆ ยังดังคลออยู่ในบรรยากาศ พร้อมกับทั้งเสียงกอดโอ๋ปลอบหลานชายทั้งสองคนบ้างก็ว่าถ้าหยุดร้องคุณย่าจะพาไปซื้อขนมที่ร้านด้านล่าง ถ้าหยุดร้องคุณย่าจะซื้อของเล่นให้เยอะ ๆ บ้างก็ว่าถ้าหยุดร้องคุณย่าจะซื้อเครื่องบินลำใหญ่ให้ ที่บอกว่าเครื่องบินลำใหญ่ไม่รู้ว่าคุณหญิงรุ่งฤดีหมายถึงของเล่นหรือของจริง ม่านยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะไปทางไหนดีตรงนี้ก็ลูกกับคุณหญิงรุ่งฤดี ตรงโน้นก็สามีกับพี่ชาย
“เธอไปนอนเถอะ วุ่นวายมาทั้งคืนแล้ว อะนี่...ผ้าห่ม”
“เอ่อ...”
“เื่แค่นี้ฉันจัดการเองได้ ฉันก็เคยมีลูกนะยะ!”
“ฮึก....”
“โอ๋ ๆ ชู่ววววว”
คุณหญิงรุ่งฤดีเผลอลืมตัวทำเสียงดังใส่คุณม่านของเด็ก ๆ จนทำให้น้องหมอกสะอื้นขึ้นมาอีกรอบ เธอต้องโบกมือไล่ม่านหยี่ให้ไปนอน ม่านคิดว่าตัวเองคงไม่ง่วงสักเท่าไหร่แต่เขาคิดผิด พอล้มตัวลงนอนที่โซฟาไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเขาก็หลับสนิท ไม่แม้แต่จะได้ยินบทสนทนาระหว่างแม่ลูกสามคน
“พวกแกอย่าพูดเสียงดัง เดี๋ยวหลานฉันตื่น!” คุณนายรุ่งฤดีชี้หน้าลูกชายทั้งสองคนพร้อมกับเอ็ดเบา ๆ แต่แฝงไปด้วยความเหี้ยมโหด เธอค่อย ๆ วางหลานตัวน้อยลงบนเตียงก่อนที่จะนำน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาและห่มผ้าให้ อัสนีและรามสูรมองการกระทำนั้นอย่างเงียบ ๆ ด้วยเพราะทั้งสองคนโตมากับความเข้มงวดกวดขันของมารดา ไม่บ่อยนักหรอกที่แม่จะกอดปลอบหรืออ่อนโยนกับพวกเขา พอตอนนี้มีโอกาสได้เห็นก็เพิ่งจะรู้ว่าแม่ก็มีมุมนี้เหมือนกับแม่ของคนอื่น
“ไม่เห็นเลี้ยงลูกเหมือนเลี้ยงหลานเลย”
“ก็นั่นหลานฉัน”
“พวกผมก็ลูกแม่”
“แล้ว?”
“โธ่ ผมเสียใจนะแม่”
“ช่างสิ นี่ถ้าตาอัสไม่หาหลานมาให้แม่อีกสักคนสองคนแกเตรียมตัวเป็หมาหัวเน่าได้เลย”
“ทุกวันนี้ผมก็หัวเน่าอยู่แล้ว จะไปต่างอะไร”
“ก็จริง”
คุณนายรุ่งฤดียักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เธอไม่ใช่จะอนาทรร้อนใจอะไรเพราะตอนนี้เธอก็มีหลานตั้งสองคนให้เลี้ยงแต่ถ้าบ้านใหญ่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกสักสอง สาม หรือสี่คน ก็คงจะคึกคักไม่ใช่น้อย
“ที่แม่ยกโทษให้ม่านหยี่ เพราะม่านมีหลานเหรอ”
“ใครบอกว่าฉันยกโทษให้มัน”
“...”
“...”
“ก็ได้ ๆ ใช่”
เมื่อได้รับเพียงความเงียบจากลูกชายทั้งสอง เธอกลับเป็ฝ่ายที่ทนไม่ไหวเสียเอง
“ฉันไม่ได้ยกโทษให้มัน...”
“ม่านหยี่” รามสูรเรียกชื่อคนรักให้มารดาได้ฟังชัด ๆ อีกครั้ง ด้วยเพราะเขาไม่ชอบใจและเชื่อว่าม่านก็คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่แม่ของเขายังใช้สรรพนามแทนตัวม่านว่ามัน
“ใช่ ฉันยกโทษให้ม่านหยี่แล้ว แต่...ก็ยังไม่หมดหรอกนะ เพราะ-”
“เราตกลงกันว่ายังไง แม่จำได้มั้ย?”
รามสูรทวงถามถึงคำสัญญาออกไป มันเป็คำสัญญาที่แม่เคยให้เอาไว้กับเขา ในครั้งที่เขายังอยู่อเมริกา รามสูรบอกกับมารดาว่าม่านหยี่มีบางอย่างที่มารดา้ามากที่สุด นั่นก็คือลูก ม่านมีลูกซึ่งเป็หลานสองคนแรกของชัยพิพัฒน์กรุ๊ป สิ่งที่มารดา้านักหนาคือหาคนมาสืบทอดทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสร้างไว้ และตอนนี้ม่านก็ทำได้แล้ว ดังนั้นไม่มีข้อแม้ที่แม่จะไม่รับม่านและลูก ๆ กลับเข้ามาเป็ส่วนหนึ่งของครอบครัว เป็ส่วนหนึ่งของชัยพิพัฒน์ และเขากับแม่ยังตกลงกันอีกว่า มารดาเป็ผู้ใหญ่กำเนิดแต่ทางเดินชีวิตต่อจากนี้เขาจะเป็คนเลือกเอง เราจะไม่พูดถึงเื่ราวในอดีตที่ผ่านมา เขาและม่านเราต่างก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ เราต่างก็ขอโทษและให้อภัยกันและกันในเื่ราวที่ผ่านมาแล้ว ส่วนมารดาก็ควรจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน เขาเข้าใจว่าแม่รักและห่วงแต่เขาก็ยึดมั่นในสิ่งทางที่ตนเองเลือกว่าจะเดินไปกับม่านหยี่และลูกทั้งสองคนเช่นกัน เขาไม่มีทางเลือกให้มารดาหากว่าเธอไม่อาจยอมรับม่านหยี่กับหลาน ๆ ได้เขาก็จะไม่กลับประเทศไทยอีกเลย เขาจะอยู่กับม่านและลูก ธุรกิจทุกอย่างคงจะต้องทิ้งไปซึ่งนั่นเป็สิ่งที่มารดากลัวที่สุด มารดาคงจะตบตีกับความคิดในหัวตนเองอยู่เธอไม่มีทางเลือกมากนักอย่างนั้นเลยเลือกทางที่คิดว่ามันจะดีต่อตัวเองและชัยพิพัฒน์กรุ๊ปที่เธอสร้างมากับมือ
“แต่ถึงยังไง เด็กสองคนนี้ก็ต้องอยู่ในความดูแลของฉัน”
“และผมกับม่านด้วย”
“เอ๊ะ! ตาราม!”
“ก็ผมกับม่านเป็พ่อแม่เขา”
“แต่ฉันก็เป็ย่า!”
“ผมว่าเราเลิกเถียงกันจะดีกว่านะ เดี๋ยวคนป่วยจะอาการแย่ลงกว่าเดิม”
“จริง เดี๋ยวหลานฉันตื่น”
คำก็หลานฉัน อีกคำก็หลานฉัน เขาควรจะดีใจใช่ไหมที่อย่างน้อยลูกชายทั้งสองก็ขึ้นแท่นเป็คนโปรดโดยที่พ่อกับลุงถูกทิ้งกลายเป็หมาหัวเน่าอยู่ตรงนี้
ดูเหมือนว่าอาการป่วยของพ่อจ๋าและเด็กน้อยทั้งสองยังคงไม่ดีขึ้น ในตอนกลางดึกม่านหยี่กับคุณนายรุ่งฤดียังต้องผลัดกันเช็ดตัวเ้าเมฆกับเ้าหมอก ทั้งยังพ่อจ๋าของเด็กน้อยที่ตัวร้อนจี๋นอนซมพิษไข้ ครั้งแรกในเวลาสามทุ่มครึ่งม่านหยี่บอกให้คุณนายรุ่งฤดีกลับไปพักผ่อนที่บ้านแต่คุณนายปฏิเสธพร้อมทั้งบ่นออด ๆ แอด ๆ ว่าเขาหาว่าเธอแก่ไม่มีกำลังวังชาพอจะดูและตัวเองรวมถึงหลานน้อย ม่านได้แต่แอบเถียงอยู่ในใจว่าเขาไม่ได้พูดอย่างนั้นเพราะถ้าหากเขาโพล่งเถียงเธอออกไปโต้ง ๆ มันคงได้กลายเป็าน้ำลายแน่ ๆ และอีกครั้งในตอนห้าทุ่มสี่สิบสองนาทีม่านหยี่ขอให้คุณนายรุ่งฤดีกลับไปนอนได้แล้วพร้อมกับอาสาจะโทรหาพี่อัสให้ส่งคนมารับ ครั้งนี้คุณนายแกล้งทำหูทวนลมไม่ได้ยินในสิ่งที่เขากำลังพูด
ล่วงเข้าเช้าวันใหม่มาเกือบหนึ่งชั่วโมง เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังชี้ไปที่เลขหนึ่งส่วนเข็มยาวชี้ไปที่เลขสอง หญิงวัยกลางคนนั่งเอามือข้างหนึ่งเท้าไปที่คางวางศอกของตนเองไว้ที่พนักวางแขนของโซฟา หนังตาทั้งสองข้างปิดลงทำราวกับว่าพักสายตาแต่เขารู้ว่าคุณนายรุ่งฤดีคงง่วงเต็มทีแล้ว
“ลูกเป็ไงบ้าง”
“ราม...นึกว่าหลับแล้ว”
“หลับได้ยังไงเดี๋ยวแม่กับม่านได้ตีกัน”
“พูดมาก คนป่วยอะไรพูดมาก”
“หึ ๆ ๆ แคก ๆ ๆ ”
“ลูกงอแงน่าจะเพราะไม่สบายตัว ไข้ลดแค่ตอนนี้แหละเพราะม่านก็เทียวเช็ดตัวให้ แต่แม่น่ะสิ ถ้าไม่กลับไปพักผ่อนแล้วป่วยไปอีกคนจะทำยังไง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก รายนั้นหนังเหนียวจะตาย”
“อย่าพูดอย่างนั้น” ม่านตบเบา ๆ ไปที่แขนคนป่วย
“เหนื่อยมั้ย”
“หื้ม?”
“กลับมาก็เจอเื่หนัก ๆ เลย เหนื่อยมั้ย”
“มันเหนื่อยคนละแบบ ตอนเลี้ยงคนเดียวลูกไม่เคยป่วยแบบนี้แต่ก็ลำบากใช้ได้เลย”
“...”
“เมฆกับหมอกจะว่าเลี้ยงง่ายก็ไม่ง่าย จะว่าเลี้ยงยากก็ไม่ยากขนาดนั้น เธอเจอลูกครั้งแรกเธอคิดว่ายังไงล่ะ” ม่านหยี่ถามกลับคนเป็พ่อ
“ใไม่คิดจะเจอกันแบบนั้น จริง ๆ รามคิดว่ารามคงไม่ได้เจอลูกกับม่านอีกแล้ว ตลอดชีวิต” ใบหน้าหล่อเหลาสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“คิดว่าเราจะใจร้ายขนาดนั้นเลยหรือยังไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่รามแค่กลัว...”
“พ่อจ๋าขี้แยไปได้” มือบางยื่นออกไปลูบกลุ่มผมสีดำขลับของพ่อจ๋าเป็การปลอบโยน สองคนยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกันอีกเสียงงอแงของเด็กน้อยก็ดังขึ้น ร่างบางต้องละมือจากสามีไปหาลูกชายที่ตอนนี้เหมือนจะงอแงขึ้นมาอีกครั้งเพราะความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว ม่านมองไปยังแม่สามีที่ตอนนี้คุณหญิงเธอนั่งหลับอยู่บนโซฟาไม่ได้ยินกระทั่งเสียงของหลาน ม่านถอนหายใจออกมาหนัก ๆ เบาใจไปเปลาะหนึ่งที่อย่างน้อยคุณหญิงเธอก็ได้นอนแล้ว ม่านหยี่กอดปลอบลูกชายอยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งน้องหมอกหลับไปในอ้อมแขน เงยหน้าขึ้นมาอีกทีพ่อจ๋าของเด็ก ๆ ก็ผล็อยหลับไปแล้วเช่นกัน ม่านเอาผ้าห่มที่คุณหญิงเพิ่งให้เขามาวันนี้ห่มให้เธอ เขากับคุณหญิงไม่ได้พูดถึงเื่บาดหมางที่ผ่านมานั่นเลยทำให้เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าคุณหญิงเธอยังโกรธเคืองเขาอยู่ไหม
สายวันต่อมาพ่อจ๋ากับเด็ก ๆ อาการดีขึ้น แต่เด็กน้อยสองคนยังคงงอแงกับคุณย่าอยู่ คุณม่านบอกว่าคุณย่ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับพักผ่อนเดี๋ยวบ่าย ๆ จะมาหาใหม่ แต่ดูท่าว่าวันนี้ลูก ๆ ของเขาก็ดูท่าจะฟังภาษาไทยไม่เข้าใจเสียอย่างนั้น
“คุณย่าคร้าบ คุณย่า”
“คุณย่าจะมาตอนไหน”
“คุณย่าคร้าบ มาหาน้องเมฆน้องคิดถึง”
“คุณย่าคร้าบ...”
“เอาเข้าไปนั่น”
“คำก็คุณย่าคร้าบสองคำก็คุณย่าคร้าบ เรากลายเป็หมาหัวเน่าแล้วนะม่าน”
“นั่นน่ะสิ ไม่รู้ไปได้นิสัยแบบนี้มาจากใคร”
“นี่ม่านจะโทษรามเหรอ”
“ม่านยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!” ม่านหยี่หัวเราะเสียงขึ้นจมูกที่พ่อจ๋าร้อนตัว แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่พูดลอย ๆ ไปนั้นก็พาดพิงถึงรามสูรนั่นละนะ
“ตาโหลหมดแล้วคุณม่าน นอนพักหน่อยมั้ย เดี๋ยวรามดูลูกเอง”
“ไม่เป็ไรหรอก ม่านยังไหว”
“ไหวก็ไม่ได้แปลว่าม่านจะทำได้นะ ปากบอกว่าไหวแต่ร่างกายม่านไม่ไหวแล้วรามรู้ พักหน่อยก็ได้ รามกับลูกไม่ได้เป็อะไรมากแล้ว”
รามสูรว่าก่อนจะพยักพเยิดหน้าให้ม่านหยี่ดูลูกชายสองคนที่นอนกองกันพลางพูดจ้อใส่หน้าจอโทรศัพท์คุยกับคุณย่าของตนอยู่ ดูเหมือนว่าคนปลายสายก็ไม่ได้อยากจะรีบวางโทรศัพท์ไปทำธุระของตนสักเท่าไหร่ คุณย่ากับคุณหลานคุยกันเป็ตุเป็ตะ ส่วนคุณม่านกับพ่อ ๆ ก็กลายเป็อากาศธาตุสำหรับเด็ก ๆ ไปโดยปริยาย จนกระทั่ง่บ่ายคุณหญิงรุ่งฤดีมาถึงโรงพยาบาลพร้อมกับถุงข้าวปลาอาหารและผลไม้หอบหิ้วมาเต็มไม้เต็มมือไปหมด ม่านหยี่รุดเข้าไปช่วยลอบบ่นเธอเบา ๆ ว่าหนักขนาดนี้ยังถือมาคนเดียวได้ ไม่ให้แม่บ้านหรือคนขับรถช่วยถือ หรืออย่างน้อย ๆ ก็โทรมาบอกเขาให้ลงไปช่วยก็ยังได้ แต่คุณหญิงเธอก็ไม่ได้ตั้งหน้าคอเป็เอ็นรีบเถียงเขา เธอทำเพียงเดินรุดเข้าไปกอดไปหอมหลานทั้งสองก่อนจะพูดโอ๋เอ๋กันอยู่บนเตียง
“ตาราม แฟนแกได้นอนรึยัง” คุณหญิงลอบถามลูกชายหลังจากที่บุคคลที่สามที่ถูกพาดพิงถึงเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว
“ยังเลยครับ ผมบอกให้นอนก็ดูท่าว่าจะห่วงลูกมากกว่าเลยไม่ยอมนอน”
“เด็กหนุ่มนี่มันใช้ร่างกายเกินคุ้มจริง ๆ นะ ระวังไว้เถอะ คิดว่าตัวเองแข็งแรงไม่ยอมถนอมร่างกายเวลาเจ็บป่วยมันไม่สบายเหมือนตอนแข็งแรงนะจะบอกให้”
บุคคลที่สามกลับออกมาจากห้องน้ำก็รู้สึกว่ากำลังโดนกล่าวถึงอยู่ ม่านหยี่เลิกคิ้วขึ้นเป็เชิงคำถาม ซ้ำเมื่อครู่เขายังจามตั้งสองที สงสัยว่าแม่ลูกคู่นี้คงกำลังกล่าวถึงเขาอยู่เป็แน่
“มีอะไรรึเปล่า? ...ครับ”
“แม่บอกว่า”
“ไม่ต้องตาราม”
“...”
“เธอไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายกันไปทั้งหมด”
“เดี๋ยวผม”
“ไม่มีเดี๋ยวไม่มีแต่ เธอหยุดตั้งข้อแม้สักวันจะได้มั้ย รู้มั้ยตอนนี้คนที่ดูเหมือนคนป่วยที่สุดก็คือเธอ” ที่เธอพูดมันเกินจริงเสียที่ไหน ร่างกายผอมกะหร่อง เนื้อหนังมังสาไม่มี แต่ก่อนเธอจำได้ว่าม่านหยี่มีน้ำมีนวลมากกว่านี้นี่อะไรยิ่งผ่านการท้องมาแล้วยิ่งผอมแห้งดูเหมือนคนไม่มีแรง หน้าตาก็ซูบตอบ หลังจากนี้เธอคงต้องขุนให้อ้วนขึ้นจะได้น่ามองกว่านี้
“เดี๋ยวก่อนจะนอนก็กินข้าวก่อน เฮ้อพวกคนหนุ่มนี่นะ! นอกจากตื่นนอนลืมตาก็จัดการชีวิตตัวเองไม่เป็กันแล้วหรืออย่างไรนะ” เมื่อเห็นว่าม่านหยี่ยังยืนทำหน้าเหลอหลาไม่รู้จะจัดการชีวิตตนเองอย่างไรก่อนดี นั่นทำให้เธอต้องลุกขึ้นมาจัดแจงเทอาหารใส่จาน ทั้งยังเดินเอาผลไม้ไปล้างและกลับมาพร้อมกับแก้วเปล่าจากนั้นก็เทนมอุ่น ๆ ใส่แก้ว ทั้งหมดทั้งมวลนั่นทำเอาม่านหยี่ยืนทื่อเป็หินแข็ง เพราะไม่คิดว่าจะได้รับการปฏิบัติแบบนี้จากคุณหญิงรุ่งฤดี
สุดท้ายแล้วนั้นม่านหยี่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เขายอมทำตามทุกอย่างที่คุณหญิงบอก เธอบอกให้เขากินทั้งยังนั่งลงตรงข้ามตักสารพัดผัดและแกงใส่จานข้าวให้เขา ยังไม่ทันที่ม่านจะดื่มน้ำส้มคั้นสดจากในแก้วที่คุณหญิงเทให้หมดเธอก็เลื่อนแก้วนมอุ่นมาตรงหน้าเขา พร้อมกับเก็บจานข้าวและกับข้าวที่เหลือ ม่านกำลังจะอ้าปากบอกว่าให้เขาจัดการเองแต่ก็ไม่ทัน เธอจัดแจงทุกอย่างด้วยตัวเองก่อนที่จะไม่ลืมกำชับกับเขาเื่ทานผลไม้ให้หมด และจากนั้นก็ไปนอน เขาไม่อาจปฏิเสธเธอได้เพราะคุณหญิงทำราวกับว่ากลัวว่าเขาจะได้มีโอกาสพูด เธอเลยร่ายยาวแต่เพียงผู้เดียว
สุดท้ายแล้วม่านหยี่ก็ทำได้เพียงแต่ห่อตัวเองในผ้าห่มผืนหนาแล้วนอนนิ่ง ๆ มองคุณย่ากับคุณหลานเขานอนคุยกันอยู่บนเตียง ทุกครั้งที่เขาขยับตัวหรือทำท่าว่าจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำก็ได้รับสายตาปรามจากคุณนายรุ่งฤดีอยู่เสมอ จนทำให้เขาไม่กล้าที่จะทำอะไรมากไปกว่านอนนิ่งเป็ดักแด้ในฝัก ส่วนคนที่ลอบขำอยู่บนเตียงก็คือรามสูร
แต่แล้วรามสูรก็คิดได้ว่าตอนนี้คนที่กลายเป็หมาหัวเน่าเพียงคนเดียวก็คือตัวเอง
“คุณย่ามาเล่นน้ำ! คุณย่าคร้าบ มาเล่นน้ำกับน้อง”
“กรี๊ดดดด คุณย่ามาเล่นน้ำ”
“อย่าเร็วลูก ระวังโดนหินบาด”
“พ่อจ๋ามาเล่นน้ำ กรี๊ดดด”
“คุณม่าน มา มาเร็ว”
ออกจากโรงพยาบาลได้ไม่เท่าไหร่ก็พากันซ่าทั้งพ่อทั้งลูกและคุณย่า ม่านหยี่นั่งมองลูก ๆ กับรามสูรและคุณหญิงรุ่งฤดีเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางแดดเปรี้ยง เขาทำได้แต่ปรามด้วยเพราะกลัวว่าไข้ของทั้งพ่อและลูกจะกลับมา ซ้ำยังกลัวว่าคุณหญิงเธอจะป่วยเป็ไข้ไปด้วยคน แต่ก็นั่นแหละสี่คนก็เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานกันอยู่ในทะเลเรียบร้อยแล้ว
“เธอไม่ต้องตั้งท่าจะบ่นฉันหรอกนะ ฉันไม่ปล่อยให้หลานของฉันป่วยอีกหรอก”
“...ครับ”
“เธอน่ะรักลูกชายฉันจริง ๆ ใช่มั้ย”
โดยไม่ทันได้ตั้งตัวอยู่ ๆ คุณหญิงก็ถามประโยคนั้นออกมา ม่านนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบรับไป
“ครับ”
“จะคิดว่าฉันเป็คนใจดำยังไงก็เถอะนะ แต่พูดตรง ๆ ถ้าเธอไม่ได้มีลูกได้จริง ๆ ตอนนี้ฉันก็คงจะตั้งแง่กับเธออยู่”
หมายความว่าอย่างไรนะ หมายความว่าตอนนี้คุณหญิงเธอไม่ได้เกลียดเขาแล้วหรือ ช่างเป็ประโยคที่ซับซ้อนเหลือเกิน
“ฉันน่ะสร้างชัยพิพัฒน์กรุ๊ปขึ้นมาด้วยสองมือ ทั้งฉันกับพ่อตารามลำบากมามาก”
“...”
“รู้มั้ยตารามขู่ฉันเอาไว้ว่ายังไง”
“ไม่ทราบครับ”
“หึ ๆ รามรักเธอมากจนกระทั่งขู่ว่าจะไม่กลับเมืองไทย เขาจะอยู่กับเธอที่นั่นถ้าหากฉันไม่ยอมรับเธอกับลูก ถ้าหากว่าฉันยังตั้งคำถามหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเด็กน้อยสองคนนี้กับเธออีกแล้วละก็ ตารามก็จะไม่กลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกเลย”
“...”
“รามห้ามให้ฉันขุดเื่เก่า ๆ ขึ้นมาพูด ไม่ว่าจะเื่อะไรก็ตาม หึ! ทำอย่างกับฉันแก่กะโหลกกะลาอย่างนั้นแหละ”
คุณหญิงรุ่งฤดีหัวเราะเสียงขึ้นจมูกเธอเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลกว้าง เบื้องหน้านั้นมีลูกชายและหลานชายสองคนส่งเสียงหัวเราะดังจ้าพวกเขากำลังเล่นน้ำทะเลกันอย่างสนุกสนาน
“ฉันไม่อยากให้ชัยพิพัฒน์กรุ๊ปพังพอ ๆ กับไม่อยากให้ครอบครัวพัง ฉันทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ รามสูรไม่ใช่เพียงแค่เ้าของชัยพิพัฒน์กรุ๊ป แต่ยังเป็ลูกชายของฉันด้วย เืข้นกว่าน้ำ คงอย่างนั้นมั้ง”
“...”
“ตารามกลัวฉันพูดอะไรไม่ดีกับเธอพูดไม่ดีกับหลาน ดูก็รู้นั่นมันหลานฉัน หน้าอย่างกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ฉันจะไปสงสัยอะไรในตัวเธอ ในตัวหลานของฉันได้”
“...”
“พูดก็พูดที่ฉันขัดขวางเธอกับตารามไม่ให้รักกันเพราะว่าฉันกลัว กลัวว่าชัยพิพัฒน์กรุ๊ปที่ฉันสร้างมากับมือมันจะไม่มีคนมาสานต่อ ฉันห้ามตัวเองให้คิดอย่างนั้นไม่ได้จริง ๆ แต่เธอไม่ต้องสงสัยอะไรในตัวเองหรอกนะ ฉันรู้ว่าเธอก็รักตารามพอ ๆ กับฉันนั่นแหละ”
“...”
“ฉันรับปากกับรามเอาไว้ยังไง ฉันก็จะทำอย่างนั้น เื่ราวในอดีตที่เราเคยบาดหมางกันฉันจะให้อภัยเธอ ฉันจะยอมรับเธอเข้ามาในครอบครัวชัยพิพัฒน์ ไม่มีข้อสงสัย เราจะเป็ครอบครัวเดียวกัน และทั้งหมดที่ฉันกำลังพูดกับเธออยู่นี้ไม่ใช่เพราะรามสูรขอหรืออะไร แต่เป็เพราะฉันเต็มใจเอง...แล้วเธอล่ะ ม่านหยี่เธอจะยอมให้อภัยฉันและเข้ามาเป็ส่วนหนึ่งของชัยพิพัฒน์มั้ย”
“...ผมขอโทษคุณหญิงกับสิ่งที่ทำลงไป ทั้งสิ่งที่ทำกับคุณหญิงและกับรามเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นผมไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ผมขอโทษครับ”
“...เธอยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะ ว่าเธอจะยอมเข้ามาเป็ส่วนหนึ่งของชัยพิพัฒน์ใช่มั้ย”
“...ครับ ถ้าคุณหญิงจะกรุณา”
“อืม...”
“...”
“เป็ครอบครัวเดียวกันเรียกแม่สิ”
“ครับ แม่”
“คุณม่าน กรี๊ดดด คุณม่านมาเร็ว”
“คุณม่าน ไปเล่นกัน!”
ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นเด็กน้อยสองคนก็วิ่งกรี๊ดกร๊าดตัวเปียกเข้ามาซ้ำยังโถมทั้งตัวใส่เขาทำเอาทั้งเขาและลูก ๆ กลิ้งหลุน ๆ เป็ลูกบอลชายหาดเลย
“พ่อจ๋าบอกให้มาพาคุณม่านไปเล่นน้ำ!”
“ไปคุณม่าน ไปเล่น!”
“มันร้อน พอแล้วเลิกเล่นได้แล้ว หน้าแดงหมดแล้ว” ม่านลูบหน้าลูก ๆ ทั้งสองคน
“ไม่เอา ไปเล่นกันคุณม่าน!”
“ไม่พอ ยังไม่พอ”
เด็กน้อยสองคนทั้งฉุดทั้งดึงคุณม่านให้ลุกขึ้น ม่านหยี่ทนฟังเสียงงอแงไม่ไหวสุดท้ายจึงลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งอุ้มเด็กทั้งสองเข้าเอวอย่างที่เคยทำ จากนั้นก็พาเดินไปยังตัวต้นเหตุที่ยืนหัวเราะอยู่ในทะเล
“พ่อจ๋าให้ไปแกล้งคุณม่านใช่มั้ย”
“ม่ายยยย”
“ม่ายยยย”
“ม่ายยยย พ่อจ๋าให้ไปตามคุณม่านเฉย ๆ ไม่ได้ให้ไปแกล้ง”
“พ่อจ๋าแกล้งคุณม่าน”
“ไม่ใช่เลย” รามสูรตอบพลางยิ้มกว้างให้คนรัก
“เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยนะรามสูร”
“เดี๋ยวจะโดน”
“ไม่เอาไม่พูดตามคุณม่านนะครับ”
“ครับ” เด็กน้อยทั้งสองเล่นเอาเขาปวดหัวไปเลยทีเดียว
“มาเร็วคุณม่าน มาเล่นน้ำด้วยกันหน่อย”
“ลูกไม่ได้อยากเล่นหรอก พ่อมันน่ะอยากเล่น” ม่านหยี่อดค่อนขอดคนรักไม่ได้ ดูเอาเถอะคนที่สนุกกว่าลูก ๆ น่ะคือพ่อจ๋านั่นอย่างไรละ
“เด็ก ๆ รวมพลังเร็ว”
จากนั้นคลื่นน้ำมหาศาลก็พุ่งปะทะร่างกายของม่านหยี่ น้ำเค็มพุ่งมาจากทุกทิศทางรอบตัวของเขา สามคนพ่อลูกร่วมมือกันแกล้งเขา
“นี่แกล้งคุณม่านเหรอ!”
“กรี๊ดดด ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ”
“พ่อจ๋าเอาอีก”
“เอาอีกใช่มั้ย”
“ได้ถ้าแกล้งคุณม่าน คุณม่านจะงอนแล้วนะ”
“...”
“ถ้าไม่อยากให้คุณม่านงอนก็มาแกล้งพ่อจ๋ากับคุณม่าน”
“กรี๊ดดดดด ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ”
ไม่ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไรเด็กน้อยสองคนก็ดูเหมือนจะพอใจมาก ๆ จนต้องส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา
สี่คนพ่อแม่ลูกเล่นน้ำกันั้แ่แสงแดดยังแรงกล้า จนตอนนี้พระอาทิตย์ดวงโตกำลังลาลับขอบฟ้า แสงสีแดงสดของมันสาดส่องไปทั่วทั้งผืนทะเลกว้างและผืนทรายสีขาวละเอียด ความร้อนแรงของแสงตะวันค่อย ๆ หายไปพร้อม ๆ กับดวงตะวันที่วันนี้มันได้ทำหน้าจนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้ว คลื่นน้ำสาดซัดกระทบฝั่งเป็ไปดังเช่นที่พวกมันเคยเป็มา ไม่ว่าจะวันนี้เมื่อวานหรือเมื่อหลายปีก่อนที่ผันผ่านไป คลื่นทะเลไม่เคยเหนื่อยจะสาดกระเซ็นเข้ากระทบฝั่ง เช่นเดียวกันกับความรักที่เขาและรามสูรมีให้ต่อกัน
“ม่าน...”
“หื้ม?”
รามสูรเรียกคนรักเอาไว้หลังจากที่ส่งลูกชายทั้งสองกลับขึ้นฝั่งไปหาคุณย่าแล้ว
“แต่งงานกับรามนะ”
“!!!”
ช่างเป็ประโยคที่ฟังดูน่าใเหลือเกินเมื่อคิดว่าวันนี้ทั้งวันชีวิตของเขาปกติสุขและเรียบง่ายมาตลอด ม่านหยี่ยืนนิ่งดวงตาสองข้างเบิกโพลงขึ้นด้วยเพราะไม่คิดว่าจะถูกขอแต่งงานในวันเรียบง่ายธรรมดาแบบนี้ มันไม่มีสัญญาณอะไรจากคนรักอย่างรามสูรด้วยซ้ำ ร่างสูงทำเพียงแค่รั้งมือเขาไว้จากนั้นก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับผืนทรายและถอดเอาสร้อยที่คอออกมา ม่านไม่ทันได้สังเกตเห็นจนตอนนี้ว่าสร้อยเส้นนั้นมีแหวนสองวงร้อยเอาไว้เคียงข้างกัน
“คือ...”
“แต่งงานกับรามนะม่าน”
ม่านหยี่หันรีหันขวาง ก่อนที่จะมองไปเห็นลูกชายทั้งสองยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ กันกับคุณย่า คุณหญิงรุ่งฤดีก้มลงไปกระซิบบางอย่างกับเด็กน้อยทั้งสองก่อนที่น้องเมฆกับน้องหมอกจะะโออกมาเสียงดัง
“แต่งเลย ๆ ๆ ๆ ”
“แต่งเลย ๆ ๆ ๆ ”
ไม่เพียงเท่านั้น คุณหญิงรุ่งฤดียังร่วมผสมโรงปรบมือกับหลานน้อยทั้งสองคนด้วย
“แต่งเลย ๆ ๆ ๆ ”
“แต่งงานกับรามนะม่าน...”
“ครับ ม่านจะแต่งงานกับราม”
ถัดจากนั้นเพียงสองอาทิตย์งานแต่งงานเล็ก ๆ ถูกจัดขึ้นใน่เย็นของวัน บริเวณชายหาดส่วนตัวริมทะเล แเื่ผู้ร่วมงานไม่ใช่ใครอื่นไกลหากแต่เป็ชาวบ้านและพนักงานของชัยพิพัฒน์กรุ๊ปเพียงเท่านั้น นายอำเภอถูกเชิญมาร่วมงานและเป็สักขีพยานในการจดทะเบียนสมรสในครั้งนี้ คุณหญิงรุ่งฤดีกล่าวอวยพรคู่รักจากนั้นก็ปล่อยให้เป็หน้าที่ของพิธีกรดำเนินรายการต่อไป ไม่นานพิธีการก็เสร็จสิ้น ดูเหมือนจะเป็งานเลี้ยงอาหารเย็นมากกว่าจะเป็การจัดงานแต่งงานของเ้าของเกาะเสียด้วยซ้ำ
ไม่มีคำปฏิญาณตนระหว่างม่านหยี่และรามสูร แต่ทั้งคู่ต่างก็รู้ว่าไม่ว่าจะรุ่งโรจน์หรือร่วงโรย เจ็บไข้หรือในยามสบาย เขาทั้งคู่ก็ยังจะเคียงข้างกันอยู่แบบนี้ ไม่ทอดทิ้งกันและกันไปไหน บางทีในยามที่ชีวิตมันลำบากหรือยุ่งยากสับสนหรือวุ่นวาย ขอเพียงแค่มีสักหนึ่งคนคอยจับจูงมือไม่ปล่อยให้หลงทางไปไกลเพียงเท่านั้นชีวิตนี้ของเขาก็มีความหมายแล้ว
สองคนยืนมองดูแสงสีทองสุดท้ายของพระอาทิตย์ดวงโต รามสูรคว้าตัวม่านหยี่เข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน ส่งผ่านความอบอุ่นไปให้ร่างบาง ให้คุณม่านของลูก ๆ รู้เอาไว้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะปลอดภัยในอ้อมแขนของพ่อจ๋า
“พ่อจ๋า คุณม่าน”
“คิก ๆ ๆ ๆ ”
เด็กน้อยสองคนไม่ยอมปล่อยให้คุณม่านกับพ่อจ๋าคลาดสายตาไปได้แม้เพียงเสี้ยววินาที ยังไม่ทันที่พ่อจ๋าจะได้ทำอะไร ๆ กับคุณม่านน้องเมฆกับน้องหมอกก็วิ่งล้มลุกคลุกคลานตรงมายังพ่อจ๋ากับคุณม่าน สงสัยว่าคุณย่าคงปล่อยเด็กสองคนนี้ให้มาเป็ก้างขวางคอพ่อจ๋า ต้องเป็อย่างนั้นแน่ ๆ
“พ่อจ๋าจะทำอะไร”
“พ่อจ๋าจะหอมแก้มคุณม่าน”
“หอมน้องด้วย” // “หอมน้องด้วย”
“ไม่พ่อจ๋าจะหอมแค่คุณม่าน”
“หอมน้อง ๆ ด้วย” // “คุณม่านหอมน้อง”
น้องหมอกเมื่อขอหอมจากพ่อจ๋าไม่ได้เลยหันไปขอจากคุณม่านแทน
“มาคุณม่านหอมเอง...เอ้ย!” ม่านหยี่ทำท่าจะก้มลงไปหอมแก้มลูก ๆ แต่ก็โดนคนตัวโตกอดเอาไว้จากนั้นก็หอมแก้มเขาแรง ๆ โชว์ลูก เด็กน้อยสองคนกรี๊ดเสียงดังไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือเพราะไม่อยากให้พ่อจ๋าหอมคุณม่าน
“ไม่ให้หอม แก้มคุณม่านพ่อจ๋าหอมได้คนเดียว”
“เดี๋ยวได้ตีกันอีกละ”
ม่านหยี่มองศึกระหว่างพ่อลูกที่กำลังแย่งแก้มของเขา ยังไม่ทันไรเค้าลางาก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มขึ้นแล้ว ต่อจากนี้พ่อลูกสามคนนี้คงจะต้องตีกันไปอีกหลายปีอย่างแน่นอน
จบบริบูรณ์