สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 39
ฝนไม่ได้ตกตามที่หลายคนคาดคิดเอาไว้ ทำให้ผู้ชายที่นั่งอยู่บริเวณม้านั่งด้านนอกร้านอาหารไทยไม่ขยับไปไหน เขายังคงนั่งอยู่อย่างนั้นปักหลักและรอคอย ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนวุ่นวายของมหานครนิวยอร์กรามสูรยังคงนั่งรอม่านหยี่และลูก ๆ อยู่อย่างใจเย็น หากแต่คนที่จิตใจร้อนรนกำลังจะทนไม่ไหวคือม่านหยี่เสียเอง ขณะนี้เป็เวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว ร้านอาหารไทยปิดไปั้แ่หัวค่ำจะมีก็แต่ผู้คนที่เดินสัญจรกันไปมากับรถราที่คลาคล่ำอยู่บนถนน แต่พอตกดึกเช่นตอนนี้ผู้คนเริ่มบางตารถราก็น้อยลงเขากลัวว่าถ้าหากรามยังดึงดันนั่งรออยู่ข้างล่างต่อไปเรื่อย ๆ อาจเจอโจรหรือคนไม่ดีมาปล้นหรือทำร้ายได้ ในเมืองที่พัฒนาจนถึงขั้นสุดแบบนี้ใช่ว่าจะมีแต่คนดีเสียที่ไหน คนร้ายก็ออกจะเยอะแยะแฝงตัวอยู่ท่ามกลางผู้คน
ก๊อก ๆ ๆ ๆ
ในขณะที่ม่านหยี่กำลังนั่งครุ่นคิดอยู่ในครัวหลังจากที่เขาพาเด็กน้อยทั้งสองเข้านอนแล้ว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ม่านเดินไปเปิดประตูอย่างใจลอยพบว่าเป็พี่เพนนีที่ยืนอยู่หน้าประตูตอนนี้
“จะเอายังไง เขาไม่ยอมกลับ พี่ลงไปดูข้างล่างก็เห็นนั่งอยู่หน้าร้านั้แ่เย็นแล้ว”
“...ผมก็ไม่รู้จะเอายังไงเหมือนกัน” ม่านหยี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็นลงถ้าหากรามป่วยขึ้นมาก็แย่แน่ การเจ็บไข้ที่ต่างประเทศไม่ใช่เื่น่าสนุกเขาเคยผ่านมันมาแล้ว พบว่าชีวิตที่ต้องเลี้ยงเด็กทารกไปด้วยและป่วยเป็ไข้นั้นมันหนักหนาสาหัสและปางตายเพียงใด
“ม่านอยากคุยกับเขาเหรอ”
“ผม...ไม่รู้” ใจหนึ่งก็อยากคุย อีกใจก็ไม่อยาก เขาลังเลและขี้ขลาดเกินจะตัดสินใจ
“ม่านยังรักเขาอยู่ใช่มั้ย”
ม่านหยี่มองหน้าหญิงสาวที่เป็เสมือนพี่สาวของเขาไปแล้ว เธอห่วงใยและคงสงสัยในเื่นี้เหมือนกับที่เขาสงสัยในตัวเอง
“...ครับ ม่านยังรักเขาอยู่”
“...”
“แต่”
แต่เขากลับไปไม่ได้ มันมีความรู้สึกผิดและเกลียดตัวเองมากมายล้นพ้นเหลือเกิน เขาละอายใจเกินไปที่จะกลับไปหารามสูร จะเอาหน้าที่ไหนไปเจอกับราม จะเอาความกล้าที่ไหนไปคุยกับราม และยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวราม พี่อัส และแม่ของราม คุณหญิงรุ่งฤดี เธอเกลียดเขาเข้าไส้ ก่อนหน้าเื่ที่รามถูกยิงเธอไม่ชอบขี้หน้าเขาไม่แม้แต่จะชายตามอง แล้วพอรามสูรถูกยิงและสาเหตุมันเป็เพราะเขาแล้วด้วยนั้น เธอยิ่งเกลียดเขาเข้าไปใหญ่
“พี่เข้าใจม่านนะ ม่านคิดว่าเื่ทั้งหมดม่านเป็คนผิด ม่านเลยไม่อยากเจอเขาอีกใช่มั้ย ม่านละอายใจอย่างนั้นใช่มั้ย”
“ครับ”
“...พี่ไม่รู้จะแนะนำยังไงดี ดูแล้วเขาก็ไม่ได้เกลียดม่านนะ เขาตามมาจนถึงร้านแล้วนั่งอยู่จนถึงตอนนี้พี่ว่าเขาก็คงอยากคุยกับม่านนั่นแหละ”
“...”
“แต่ถ้าม่านยังไม่พร้อมคุย พี่จะไปบอกให้เขากลับไป แต่เชื่อเถอะ พรุ่งนี้เขาก็จะมาอีก วันมะรืนเขาก็จะมาอีก ถ้าสองคนยังไม่คุยกันผู้ชายคนนั้นก็จะมาที่นี่เรื่อย ๆ ”
“...”
“ชีวิตคนเรามันสั้นนะม่าน ทำตามเสียงหัวใจตัวเอง อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขบ้างก็ได้ มันไม่เสียหายหรอกนะ บางทีการเริ่มต้นใหม่มันอาจดีก็ได้”
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาม่านหยี่อนุญาตให้ตนเองมีความสุขอยู่ครั้งเดียวเท่านั้นคือตอนที่ตัดสินใจคบกับรามสูร อดยอมรับกับตนเองไม่ได้เลยว่ารามคือคนที่เข้ามาเติมเต็มในส่วนที่มันขาดหายไป และการที่เขาทรยศหักหลังรามก็เป็อะไรที่เจ็บและทรมานมาก ๆ เหมือนกัน
“ผมวานพี่เพนไปบอกรามที ว่าให้กลับไปก่อน” เขาขอเวลาต่อสู้กับความละอายใจในตัวเองกับความคิดเล็กคิดน้อยที่ยังฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ความคิดว่าหากรามสูรยังอยู่ด้วยกันในห้องพักในตอนที่คุณหมอบอกว่าเขามีเด็ก หากรามสูรอยู่ด้วยกันตอนนั้นไม่ไปไหน บางทีเื่ราวมันอาจไม่เป็แบบนี้ก็ได้ การที่รามหนีหายไปแล้วปล่อยให้เขาตัดสินใจต่อสู้กับเื่นี้เพียงลำพังมันทำร้ายจิตใจของเขาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่นั่นแหละมันเป็เพียงเสียงเล็ก ๆ ในก้นบึ้งของหัวใจที่เขาไม่อาจตัดมันออกไปได้เลยถึงแม้เวลาจะผ่านมาสามปีแล้วก็ตาม
“นี่กลับไปเถอะมันดึกแล้ว” สุดท้ายคนที่ถูกไหว้วานก็เดินลงมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มรุ่นน้องที่นานมาแล้วเคยรู้จักกัน
“ผมรอม่านกับลูก ผมขอคุยกับม่านหน่อย...ได้มั้ยครับ”
“เฮ้อ มันดึกแล้ว ม่านกับลูกหลับไปแล้ว”
“แต่ผมเห็นไฟยังเปิดอยู่” รามสูรชี้นิ้วขึ้นไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่มีแสงไฟส่องสว่างออกมา
“เอ๊ะ! บอกว่านอนแล้วก็นอนแล้วสิ!”
“พี่เพน ผมขอคุยกับม่านหน่อยนะ ผม...ผมขอร้อง”
“ไม่ได้วันนี้มันดึกแล้ว แถวนี้ดึก ๆ โจรยิ่งชุม วันก่อนก็มีปล้นจี้กันไป ไม่อยากให้มาเกิดเหตุหน้าร้าน ฉะนั้นกลับไปซะ”
“ผมจะรอม่าน”
“จะนั่งอยู่อย่างนี้จนเช้าเลยรึยังไง ไม่หลับไม่นอนเหรอ ไม่ง่วงหรือไง”
“ไม่ครับ จะรอม่าน”
“เธอนี่มันพูดไม่ฟังจริง ๆ นะราม!” สองคนลับฝีปากกันจนเหนื่อยทางเดินไร้ซึ่งผู้คนสัญจรเฉกเช่นเดียวกันกับถนนที่รถเริ่มบางตาลงมากแล้ว ทั้งยังอากาศเย็นะเืที่โรยตัวปกคลุมในตอนนี้ทำให้บรรยากาศยิ่งไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่
“เธอกลับไปก่อนเถอะ ม่านกับลูกก็อยู่นี่แหละไม่ไปไหนหรอก ม่านทำงานที่ร้านพี่”
“แสดงว่าผมมาหาม่านอีกได้ใช่มั้ยครับ” ความดีใจมันฉายชัดออกทางสีหน้าและแววตาจนคู่สนทนาอย่างเธอแอบลอบขำอยู่ในใจ รามสูรเหมือนลูกหมาที่ตอนนี้ดีใจจนหูตั้งหางโผล่
“ไม่รู้คิดเอาเองแล้วกัน!” เธอไม่อยากเปิดทางให้ทุก ๆ อย่างมันง่ายนักแต่ก็ไม่อยากกีดกันคนสองคนที่รักกันอย่างเต็มหัวใจ ถึงแม้จะมองย้อนกลับไปแล้วสงสารม่านหยี่ในตอนที่อยู่ตัวคนเดียวและเลี้ยงลูกเพียงลำพัง น้องของเธอเข้มแข็งและสู้สุดใจกว่าจะผ่านมันมาได้ พอมาตอนนี้รามสูรกลับอยากจะมาเคลมตัวเองเป็พ่อถึงแม้ว่าจะเป็พ่อของเด็กแฝดสองคนนั้นจริง ๆ ก็เถอะ เพนนีทั้งก่นด่าทั้งปลอบตัวเองไปพลางใจหนึ่งก็บอกว่ามันดีแล้วในที่สุดเด็กแฝดสองคนก็จะมีพ่อ อย่างน้อยรามสูรก็ไม่ใช่ขี้หมูขี้หมาและดูท่าว่าจะรักม่านหยี่มาก ๆ ด้วย หากแต่อีกใจก็อดขบเคี้ยวเขี้ยวฟันก่นด่ารามสูรอยู่ในใจไม่ได้ ปล่อยให้ม่านลำบากอยู่คนเดียวตั้งสามปีกว่า เลี้ยงเด็กสองคนมันไม่ใช่เื่ง่ายมาชุบมือเปิบรักหลานของเธอเอาตอนนี้ มันน่าหยิกให้ตัวเขียวนะรามสูร!!!
เช้าวันใหม่ในขณะที่ม่านหยี่กำลังทำอาหารเช้าให้เด็กน้อยทั้งสองคนเมื่อเขาชะโงกหน้ามองจากหน้าต่างลงไปยังถนนก็ต้องใเมื่อพบว่าเป็รามสูรที่กำลังนั่งอยู่ตรงม้านั่งที่เก่าที่เดิม ทีแรกม่านคิดว่าเมื่อคืนรามอาจไม่ได้กลับไปแต่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมาม่านก็เทียวลุกเทียวย่องมาส่องยังบานหน้าต่างห้องนอนเกือบทุกชั่วโมง รามกลับไปตามคำสั่งของพี่เพนซึ่งเขาเองนั่นแหละที่ไหว้วานพี่เพนลงไปบอกรามอีกที ส่วนเช้านี้อดีตคนรักพ่อของเด็กน้อยทั้งสองคนก็นั่งหน้าสลอนอยู่ที่หน้าร้าน
“คุณม่านวันนี้เราไปเล่นกัน” น้องเมฆที่แต่งตัวหล่อเซียะเพราะเลือกเสื้อผ้าเองแต่สุดท้ายก็ต้องสวมแจ็กเกตทับเพราะอากาศที่ค่อนข้างเย็นเดินมาต่อรองกับเขาหลังจากที่จัดการอาหารเช้าของตนเองเรียบร้อยแล้ว
“วันนี้คุณม่านต้องทำงานครับ” ม่านหยี่ลูบหัวลูกชายเบา ๆ
“ถ้างั้นเมฆไปกับน้องสองคน” พี่ชายยังไม่ละความพยายามหรือพยังที่คุณม่านเคยสอน
“วันนี้เราเล่นที่สวนหลังร้านไปก่อนนะครับ ม่านคิดว่าวันนี้งานต้องยุ่งมากแน่ ๆ เลย”
เด็กน้อยสองคนดูท่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังบอก ลูก ๆ คิดว่าทุก ๆ บ่ายพวกเขาจะได้ออกไปวิ่งเล่นที่ปาร์คเจอคนเยอะแยะมากมายและเจอกับสุนัขตัวโตแต่ด้วยหน้าที่การงานของม่านหยี่แล้วนั้นเขาทำแบบนั้นไม่ได้
“ไถ่โทษที่วันนี้ม่านพาไปที่ปาร์คไม่ได้สองคนเอาของเล่นลงไปได้คนละสองชิ้น โอเคมั้ยครับ”
“อืม...”
“นะครับ” ม่านหยี่คุกเข่าแล้วจับมือลูกชายทั้งสองคนเอาไว้ เขาทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารที่สุดไม่รู้ว่าลูกจะยอมใจอ่อนหรือเปล่า
“โอเค”
“โอเค๊?”
“โอเค”//”โอเค”
ยังดีที่เด็กน้อยทั้งสองว่านอนสอนง่ายลูกชายของเขาเป็แบบนี้ั้แ่เกิดราวกับรู้ว่าลำพังชีวิตของม่านก็ลำบากมากพออยู่แล้ว เด็กน้อยทั้งสองเลี้ยงง่ายพอหิวก็ร้องป้อนนมอิ่มก็หลับ ไม่เคยจะร้องกวนตอนดึก ๆ ดื่น ๆ หรือในเวลาที่เขาต้องออกไปข้างนอกและต้องพาลูก ๆ ไปด้วยเด็กสองคนนี้ก็ไม่ตื่นเขา ซ้ำยังมองคนอื่นตาแป๋ว อยู่เป็เพื่อนเขาไปตลอดทั้งวัน ปัจจุบันคือสิ่งยืนยันว่าการมีเด็กน้อยสองคนนี้อยู่ในชีวิตคือเื่ที่ดีที่สุดเื่หนึ่งในชีวิตของม่านหยี่
“good boys อ๊ะ ๆ ของเล่นสองชิ้นแต่ชิ้นใหญ่เกินไปก็ไม่ดีนะครับน้องหมอก ขนขึ้นลงยากนะ” ลูกชายคนเล็กเดินตรงดิ่งไปยังกล่องของเล่นขนาดใหญ่ที่ด้านในบรรจุบล็อกตัวต่อไม้เอาไว้ ลูกชายของเขาก้มลงทำท่าจะยกกล่องใหญ่นั้นขึ้นมาจนม่านต้องห้ามเอาไว้ก่อน
“น้องหมอกเอาจิ๊กซอว์ลงไปต่อดีมั้ยกับสมุดวาดภาพ พี่เมฆเอาสีเทียนกับไดโนเสาร์ดีมั้ยครับ” ม่านต่อรองกับลูกชายทั้งสองเพราะถ้าหากเขาไม่หยิบยื่นตัวเลือกให้กับเด็กน้อยได้ตัดสินใจลูกของเขาคงจะขนลงไปทั้งบ้านจำลอง เครื่องดูดฝุ่นของเล่น และโต๊ะเขียนหนังสือเป็แน่ แป้นบาสและรถของเล่นสำหรับเด็กที่พี่ ๆ พนักงานในร้านซื้อมารับขวัญหลานก็ยังอยู่ที่สนามหญ้าทั้งยังของเล่นเก่า ๆ ที่เขาไม่ได้เก็บขึ้นมาอีกพวกมันยังคงแออัดกันอยู่ในกล่องพลาสติกและวางหลบฝนอยู่ในห้องเก็บของของร้านอาหารอยู่เลย
ไม่นานหลังจากนั้นม่านหยี่และลูก ๆ ก็ลงมาทำบัญชีที่ร้าน ม่านนั่งทำงานของตนเองไปและมองลูก ๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่ด้านนอก แต่ที่รบกวนจิตใจเขามากที่สุดตอนนี้ไม่ใช่เสียงเด็กสองคนที่เล่นสอนหนังสือกันอยู่ในตอนนี้หากแต่เป็พ่อของเด็กที่นั่งนิ่งและจ้องมองมายังเขาอย่างไม่ละสายตา ม่านหยี่ทำตัวไม่ถูกจิ้มเครื่องคิดเลขผิด ๆ ถูก ๆ เขียนรายการต่าง ๆ ลงในกระดาษมือก็สั่นอย่างกับเ้าเข้า บางทีอาจเป็เพราะวันนี้อากาศเย็นลงกว่าเมื่อวานหรืออาจเป็เพราะใครบางคนที่กำลังนั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ด้านนอกนั่นก็เป็ได้
อยู่ดี ๆ ฝนก็ตก...เมฆสีเทาตั้งเค้าได้เพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีเม็ดฝนก็เทลงมาจากฟากฟ้าไม่ให้คนที่อยู่ด้านล่างได้ทันตั้งตัว เมื่อฝนตกอุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเร็วและฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก หลายคนเริ่มออกวิ่งบ้างก็เปลี่ยนจากการเดินเล่นเป็การก้าวเท้ายาว ๆ เพื่อหนีจากฝนหลงฤดูในตอนนี้ ส่วนรามสูรนั้นเขาตัวเปียกอย่างกับลูกหมาตกน้ำแต่ไม่ยอมไปไหน ทำเพียงแค่ลุกขึ้นยืนและใช้หมวกของเสื้อฮู้ดตัวใหญ่คลุมหัวเอาไว้ เขาถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในร้านอาหารที่ม่านทำงานอยู่และเขาก็ไม่อยากจากม่านไปตอนนี้ด้วยเหตุผลเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ฝนตก ดังนั้นร่างสูงเลยปักหลักยึดมั่นไม่ยอมไปไหน
“ยืนอยู่ตรงนี้นะรอคุณม่านแป๊บเดียวนะครับ” ม่านหยี่รีบพาลูกทั้งสองคนเข้ามาในทันทีที่ฝนตกเขารีบถอดเสื้อกันหนาวที่เปียกฝนของเด็กน้อยทั้งสองออกและรีบวิ่งขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าชุดใหม่ลงมาเปลี่ยนให้ลูก ๆ ม่านยีหัวเด็ก ๆ จนมั่นใจว่าแห้งสนิทแล้วและจัดการเปลี่ยนชุดตัวเก่งของน้องเมฆกับน้องหมอกออกถึงแม้ว่าลูกชายจะอิดออดด้วยเพราะไม่อยากถอดชุดเท่แต่ก็ต้องจำยอมเพราะการทำให้คุณม่านโกรธเป็เื่ที่ไม่ควรมาก ๆ
“โอ้ตายแล้ว!” เมื่อมองออกไปยังด้านนอกก็พบว่ารามสูรยืนตัวเปียกอยู่ท่ามกลางสายฝน ถึงแม้ว่ารามจะพยายามใช้ชายคาของร้านบังฝนเอาไว้แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวโตก็เปียกโชกไปหมดแล้ว
“ราม...เข้ามาก่อน!” ม่านหยี่รีบวิ่งไปปลดล็อกประตูร้านแล้วบอกให้รามเข้ามาหลบฝนที่ด้านในก่อน ลืมสิ้นถึงความขุ่นข้องในใจไม่ว่าจะเื่อะไรก็ตาม
“ขอบคุณครับ” รามสูรค้อมหัวน้อย ๆ จากนั้นก็เดินตามม่านหยี่เข้ามาด้านใน ลูก ๆ ของเขามองหน้าเขาตาแป๋วคงกำลังตัดสินใจอยู่ว่าเขาคือใครในความคิดของเด็กน้อย
“ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบน มาเด็ก ๆ เราขึ้นไปข้างบนกัน” ม่านจูงแขนลูกคนละข้างก่อนที่จะพยักหน้าให้รามสูรเดินขึ้นบันไดแคบ ๆ ตามหลังตนเองขึ้นไปยังชั้นสองที่ซึ่งเป็ห้องที่เขาและพี่ ๆ คนไทยใช้เป็ที่พักอาศัย
เด็กน้อยสองคนไม่พูดไม่จาเอาแต่จ้องมองชายแปลกหน้าตัวสูงใหญ่ที่วันนี้มาในฐานะแขกของคุณม่าน คุณม่านของเด็ก ๆ เดินไปทางนั้นทีทางนี้ทีก่อนที่จะหอบเอาเสื้อฮู้ดตัวใหญ่กับผ้าเช็ดตัวอีกสองผืนเดินออกมาจากห้องนอน
“ถอดเสื้อออกก่อนนะมันเปียกเดี๋ยวไม่สบาย เอาผ้าเช็ดตัวเช็ดให้แห้งแล้วนี่ฮู้ดของม่า- เรา หรือถ้าจะอาบน้ำก็ได้นะมีน้ำอุ่น เราว่าอาบน้ำดีกว่าจะได้หายหนาว” ม่านหยี่ร่ายประโยคยืดยาวทำเอาคนฟังฟังเกือบไม่ทันเลยทีเดียว แต่ที่รามสูรจับใจความได้ตอนนี้คือม่านกำลังเป็ห่วงเขา
“ห้องน้ำอยู่ทางนั้น” ร่างบางตัดสินใจตัดบทโดยการไล่ให้รามไปอาบน้ำเพราะเขาไม่อาจทนมองรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของรามสูรได้ มันทำหัวใจเขาสั่นจนน่ากลัวว่าคนที่นั่งอยู่อาจได้ยินเสียงตึกตักที่ข้างใน
“ครับ” มือหนาคว้าเอาผ้าห่มจากอ้อมแขนของม่านหยี่ปลายนิ้วของเขาัักับแขนของม่านทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งโหยง
“ขอโทษ...ครับ” เขาไม่ได้ตั้งใจทำให้ม่านกลัวแต่ดูท่าว่าจะไม่ทันแล้ว
“มือเย็นมากเลยนะ รีบไปอาบน้ำเถอะ” ที่พูดไปอย่างนั้นเพราะม่านไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร
“อะไร” ม่านหยี่มองหน้าลูกชายที่ตอนนี้สองหน่อนั่งเคียงกันอยู่บนโซฟา สองขาของลูกชายทั้งสองคนแกว่งไปมาส่วนสองมือก็ประกบกันไว้ที่ตัก เด็กสองคนนั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมสงบเสงี่ยมเกินปกติที่ควรจะเป็ อย่างนั้นเขาเลยสงสัยว่าตนเองมีพิรุธจนลูกสังเกตได้เลยเหรอ
“คนนั้นใครครับคุณม่าน”
“เอ่อ...” เป็คำถามง่าย ๆ แต่เขาไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
“คุณม่านคนนั้นใครครับ”
“คือ...” เอายังไงดีม่านหยี่ จะบอกว่าเป็พ่อก็ยังไม่ได้ถามไถ่คนเป็พ่อว่าเขาเต็มใจจะเป็ไหม จะตอบว่าคนรู้จักก็กลัวว่าลูกจะจดจำรามในฐานะคนรู้จักและสถานะคนรู้จักนี้อาจติดในหัวลูก ๆ ไปจนกระทั่งพวกเขาเติบโตเป็ผู้ใหญ่ ม่านไม่อยากให้พ่อลูกมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน
“เด็ก ๆ หิวมั้ยเดี๋ยวคุณม่านอบคุกกี้ให้” อย่างนั้นครั้งนี้เขาเลยแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ รอให้รามสูรออกมาจากห้องน้ำก่อนและให้เขาคุยกันตกลงว่าจะเป็เพื่อน คนรู้จัก เป็พ่อหรือเป็มากกว่าพ่อ ค่อยว่ากัน...
เขายืนนิ่ง ๆ อยู่ในห้องน้ำ เนิ่นนานพอที่เสียงฝนด้านนอกจะเงียบไป ฝนหยุดตกแล้วส่วนฝนในใจของเขา ครั้งนี้เขาก็ภาวนาอยากให้มันหยุดตกเหมือนกัน หรือไม่อย่างนั้นก็หวังเป็อย่างยิ่งว่าในมือม่านหยี่อาจถือร่มคันใหญ่เอาไว้ มันคงใหญ่พอที่จะให้เขาและลูก ๆ อีกสองคนหลบฝนและเดินไปข้างหน้าด้วยกัน
รามสูรจัดการตัวเองในห้องน้ำพักใหญ่ก่อนที่จะเดินออกมา เขาพบว่าเด็กน้อยสองคนกำลังเล่นสร้างบ้านจำลองขึ้นจากบล็อกไม้คนเป็พ่ออมยิ้มเมื่อเห็นลูก ๆ มุ่งมั่นตั้งใจทั้งยังมีสมาธิดีทำให้บรรยากาศเงียบเหมือนเป่าสาก
“สวัสดีครับ”
“...” // “...”
เด็กน้อยสองคนไม่ตอบ ทำเพียงแค่มองดูแขกผู้มาเยือนของคุณม่านและกะพริบตาปริบ ๆ คงจะกำลังคิดว่าตนเองควรคุยกับคนแปลกหน้าดีไหม เพราะคุณม่านเคยบอกเอาไว้ว่าถ้าคุณม่านไม่อยู่ห้ามคุยกับคนแปลกหน้าแต่ตอนนี้คุณม่านอยู่ในครัว จะคุยดีไหม?
“สวัสดีครับ พ่อเล่นด้วยได้มั้ย” รามสูรไม่กระดากปากที่จะแทนตัวเองว่าพ่อ กลับกันเขากลับคิดว่าระยะเวลาสามปีกว่าที่ผ่านมามันนานมากพอแล้วที่ตัวเขาจะอยู่โดยไม่มีสถานะทั้ง ๆ ที่ความเป็จริงแล้วเขาเป็พ่อคน เป็พ่อของเด็กแฝด รามสูรมีลูกแล้ว เขามีลูกตั้งสองคนแน่ะ
“พ่อเล่นด้วยนะ” รามยังคงตื๊อขอเล่นของเล่นกับลูก จนกระทั่งลูกชายอีกคนของเขาที่ยืนนิ่งสังเกตการณ์อยู่พยักหน้าขึ้นลงเป็การอนุญาต คนเป็พ่อยิ้มกว้างหน้าบานยิ่งกว่าเดิมเสียอีก มือใหญ่ ๆ ของรามสูรหยิบตัวต่อบล็อกไม้ขึ้นมาวางซ้อนทับกันเป็ชั้น บ้างก็หยิบของเล่นส่งไปให้ลูกชายต่อบ้านจำลองขึ้นไปให้สูง ๆ เขาและลูกทั้งสองคนให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่เพื่อจะสร้างบ้านของเราให้สำเร็จ
“thanks!” // “done! เย่!”
เด็กน้อยสองคนปรบมือแปะ ๆ เมื่อสร้างบ้านจากบล็อกไม้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เก่งมาก” ลูกดีใจเท่าไหร่เขาดีใจยิ่งกว่า มันดีใจจนเผลอลืมตัวดึงเด็กน้อยทั้งสองเข้าไปในอ้อมกอดและไม่ลืมที่จะหอมขมับเป็รางวัลให้กับคนเก่งทั้งสองคน ดูเหมือนว่าเด็กน้อยเกิดความคุ้นชินกับแขกของคุณม่านเลยไม่ได้ใกับการกระทำแบบนี้หรืออาจมีสายสัมพันธ์ของคนเป็พ่อลูกที่เชื่อมต่อกันอยู่เมฆกับหมอกเลยไม่ใ แต่คนที่ใจนแทบจะทำจานขนมอบร่วงลงพื้นคือคุณม่านของเด็ก ๆ
ร่างแกร่งกอดลูกชายทั้งสองคนเอาไว้อย่างนั้น เขากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกเมื่อพบว่าไม่ว่าจะััหรือกลิ่นจากตัวลูกชายทั้งสองมันคล้ายกับกลิ่นของม่านหยี่ที่เขาโหยหามาโดยตลอด เขาเคยคิดว่าจะเสียม่านหยี่กับลูกไปตลอดกาลแต่วันนี้เราทั้งสองถูกพาให้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งไม่ง่ายจะบังเอิญหรือตั้งใจ เขาก็จะขอบคุณใครก็ตามที่มีส่วนช่วยเหลือให้โอกาสเขาได้แก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีต
“พ่อขอโทษนะ พ่อขอโทษจริง ๆ ” รามสูรกำลังร้องไห้ ร่างแกร่งสั่นเทา เสียงสะอึกสะอื้นดังเล็ดลอดออกมาจนคนที่ยืนอยู่หน้าประตูอดที่จะสงสารไม่ได้ ผู้ชายตัวใหญ่อย่างรามสูรกำลังร้องไห้มือหนาทั้งสองข้างวางอยู่บนหัวทุยของลูกชายพลางลูบมันเบา ๆ เด็กน้อยทั้งสองคนได้แต่ยืนนิ่ง ๆ ให้คนเป็พ่อใช้ตนเองเป็หลักพักพิงอยู่อย่างนั้น
สำหรับม่านหยี่น่ะ เขาไม่ได้จะใจแข็งหรือใจจืดใจดำสักเท่าไหร่หรอกนะ หากว่าจะเปิดใจรับรามสูรเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง แต่ว่า...ความละอายใจและความน้อยใจมันยังมีอยู่ในตัว อย่างนั้นที่ดีที่สุดที่ม่านจะทำได้ในตอนนี้คือเราสองคนต้องคุยกัน
ม่านหยี่วางจานขนมอบที่โต๊ะไม้ข้างประตูก่อนที่จะเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ด้านหน้าอดีตคนรักที่ตอนนี้นั่งคุกเข่าร้องไห้อย่างไม่อายใคร มือบางวางลงไปยังกลุ่มผมสีดำขลับพลางลูบมันเบา ๆ
“ม่าน ฮึก ม่าน รามขอโทษ รามขอโทษม่าน!...” รามสูรโผเข้ากอดขาของม่านหยี่ราวกับเด็กน้อยที่กำลังสำนึกผิดและร้องขอการให้อภัย เขาก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่ทำผิดพลาดในอดีตเขากำลังร้องขอการให้อภัยจากม่านหยี่ในตอนนี้ และเขากำลังขอมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ขอให้เรากลับมาเป็เหมือนเดิม ขอให้ครอบครัวของเรากลับมาเป็เหมือนเดิม
“ม่านรามขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ฮึก ม่าน...ยกโทษให้ราม...ได้มั้ย?”
“ชู่วววว”
“ม่าน เรากลับมาเป็เหมือนเดิมนะ ฮึก รามขอโทษ”
“ขอโทษอะไร รามทำอะไรผิด” ม่านหยี่ว่าพลางปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของตนเอง ร่างบางย่อตัวคุกเข่าลงตรงหน้าคนรักก่อนที่จะเอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำตาที่เปรอะเลอะบนใบหน้าของรามสูร
“รามทำผิด ฮึก...รามขอโทษ ขอโทษที่ทิ้งม่านไปอย่างนั้น รามไม่...ขอโทษจริง ๆ นะม่าน”
“ชู่วววว ไม่เป็ไร ม่านยกโทษให้รามนะ ไม่เป็ไร” เพราะม่านหยี่เพียงแค่ได้ยินคำว่าขอโทษจากรามสูรก็ราวกับว่าได้รับการปลดล็อกในใจแล้ว เขาดีใจที่รามไม่ได้รังเกียจหรือคิดว่าเขาเป็ตัวประหลาดที่ท้องได้ ดีใจที่รามรู้ว่าทำผิดพลาดตรงไหนและเช่นเดียวกันนั้นม่านหยี่ก็อยากขอโทษรามสูรเช่นกัน
“ราม...ม่านขอโทษ ถึงแม้ว่าเื่มันผ่านมาแล้วแต่ม่านก็อยากขอโทษราม”
เพราะไม่ว่าจะอย่างไรคนที่อดีตเคยทำผิดอย่างเช่นม่าน ก็อยากได้รับการยกโทษจากคนที่รักเหมือนกัน
“ฮึก...ครับ”
“ม่านขอโทษกับทุกสิ่งที่ม่านเคยทำไม่ดีกับราม ยกโทษให้ม่านได้มั้ย”
“ครับ ฮึก ราม...รามยกโทษให้ม่าน รามไม่เคยโกรธม่านเลยรู้มั้ย”
น้ำตาสายใหม่ไหลระลงบนใบหน้าของม่านหยี่
“ขอบคุณนะราม ขอบคุณมากจริง ๆ ”
“กลับมาเป็เหมือนเดิมนะม่าน กลับมาเป็ครอบครัวของเรานะม่าน เรากลับมารักกันเหมือนเดิมได้มั้ย”
“...นึกว่าจะไม่ขอซะแล้ว”
รามสูรระบายยิ้มออกมา ครั้งนี้เขายิ้มทั้งน้ำตา คนเราจะรู้สึกดีใจมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่กำลังร้องไห้อยู่ได้ไหมนะ หรือหากไม่มีเขานี่แหละที่จะเป็คนแรกเอง