“ทูลฝ่าา...จวนอัครมหาเสนาบดีเกิดเื่ขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ...”
ม่อเวิ่นเสวียนมิได้ลุกขึ้นยืนทันทีแต่เขากลับหันไปสบตากับท่านอาจารย์ของตนจากนั้นเขาจึงค่อยๆ เดินไปด้านหลังฉากกั้น หันมององครักษ์ที่เข้ามารายงานแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น “เรือนอัครมหาเสนาบดีเกิดเื่อันใดขึ้น?”
เขาไม่อยากสนใจเื่ของบ้านซูชือฉางแม้แต่น้อย
และยิ่งหวังด้วยว่าคนทั้งครอบครัวของซูชือฉางจะตายไปได้จนหมด
แม้ว่าเขาจะชอบซูเมิ่งหรูแต่ก็ชอบเพียงเพราะรูปโฉมของนางก็เท่านั้น
ตอนนี้เขากลับนึกว่าถ้าแต่งซูฉีฉีมาแต่แรกอาจจะดีเสียกว่าอย่างน้อยนางก็มีสมองมากกว่าซูเมิ่งหรู
เื่บางเื่จะได้ไม่ต้องให้เขารับมือแต่เพียงผู้เดียว
ซูเมิ่งหรูผู้นั้นแม้จะสามารถคิดจัดการแผนการได้เล็กน้อยทว่าก็ล้วนแต่ไม่สามารถเป็หน้าเป็ตาให้กับเขาได้ ไม่สามารถเอาไว้ใช้ทำการใหญ่ได้
แต่สำหรับซูฉีฉีนั้นม่อเวิ่นเสวียนกลับรู้สึกว่านางเริ่มน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ
ขอเพียงเื่ครั้งนี้สำเร็จแล้วเขาคิดว่า บางทีอาจจะทำอะไรให้ตนเองได้เพิ่มอีกสักเื่
องครักษ์มีสีหน้าสงบนิ่งเขาคุกเข่าลงกับพื้น “จวนอัครมหาเสนาบดีเกิดเหตุไฟไหม้เรือนหลังถูกเผาจนกลายเป็ธุลี ฮูหยินซู...เสียชีวิตลงในกองเพลิงแล้ว”
“อะไรนะ?” สีหน้าของม่อเวิ่นเสีวยนไม่อาจสงบลงได้อีกเขาทุบฎีกาบนโต๊ะอย่างแรงก่อนจะะโออกมาอย่างโมโหสีหน้าเปลี่ยนเป็สีเขียวในทันที “ใครก็ได้ เตรียมเกี้ยวไปจวนอัครมหาเสนาบดี”
ฮูหยินซูเสียชีวิตลงในกองเพลิง!
คำเหล่านี้หมุนวนอยู่ในหัวสมองของเขาไม่หยุดทำให้เขาใกล้จะเป็บ้าเต็มทีแล้วเขาวางแผนทุกอย่างมาอย่างยากลำบาก เกรงว่าตอนนี้จะต้องพังทลายไปจนหมดเสียแล้ว
เขาคาดคิดไม่ถึงจริงๆว่าสตรีที่บอบบางอ่อนแอเช่นนั้นจะใช้วิธีนี้จบเื่ทุกอย่าง
เช่นนี้ ซูฉีฉีก็ไม่ต้องลำบากใจอีกแล้ว
ในเวลาเดียวกันซูฉีฉีและม่อเวิ่นเฉินที่อยู่เรือนรับรองก็ได้รับข่าวเช่นกัน
ซูฉีฉีในตอนนี้เป็เสมือนตุ๊กตาที่ไร้ิญญาก็มิปานนางพิงเข้าอ้อมกอดของม่อเวิ่นเฉินอย่างไร้เรี่ยวแรง ดวงตาทั้งสองล่องลอยฟันขบลงบนริมฝีปากของตนเองแน่นจนปรากฏเืบางๆ ออกมาจากริมฝีปาก “ทำไมถึงเป็เช่นนี้...ท่านแม่...ทำไมท่านถึงได้โง่ถึงเพียงนี้...ฉีฉีพูดแล้วไงว่าต้องมีวิธีแน่...”
ม่อเวิ่นเฉินมองซูฉีฉีที่น้ำตารินไหลออกมาไม่หยุดแขนทั้งสองที่โอบนางก็สั่นไหวเล็กน้อย ทว่าเขากลับไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมาเดิมเขาคิดว่าตนไร้ซึ่งทางรอดแล้ว
เขาคิดไม่ถึงว่าเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยจะใช้การตายมาสนับสนุนบุตรสาวของตน
เขาไม่ต้องเอ่ยถามก็รู้ได้ว่า เื่นี้ซูฉีฉีนั้นยืนอยู่ข้างตนอย่างแน่นอน
มิเช่นนั้นมารดาของนางคงไม่เลือกวิธีนี้มาช่วยเหลือนางหรอก
ในใจของเขารู้สึกะเืใจไม่น้อยน่าสงสารคนที่เป็พ่อแม่ และซูฉีฉีเองก็เป็บุตรสาวที่ดีนางคอยคิดถึงและทำเพื่อมารดาของตนเสมอ
รถม้าวิ่งอย่างรวดเร็วอยู่บนถนน
ตอนนี้อยู่ๆซูฉีฉีก็ไม่กล้าที่จะไปเผชิญหน้ากับความจริงที่เกิดขึ้น นางยื่นมือไปจับแขนของม่อเวิ่นเฉิน “พวกเรา...กลับกันได้หรือไม่?”
ขอเพียงนางไม่ไป นางก็ไม่ต้องเห็นซากศพของมารดาตนเช่นนั้นในใจของนางมารดาก็ยังคงมีชีวิตอยู่
“ฉีฉี...”เป็ครั้งแรกที่ม่อเวิ่นเฉินเห็นซูฉีฉีในสภาพที่อ่อนแอเช่นนี้ ความสงสารและเ็ปใจปรากฏขึ้นในดวงตาเขาอย่างปิดไม่มิดเขาคิดมาโดยตลอดว่าตนเองเป็คนเยือกเย็นไร้ความรู้สึก ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นซูฉีฉีเขากลับรู้สึกเ็ปที่หัวใจเป็อย่างมากตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วตนก็มีหัวใจเช่นกัน อย่างน้อยต่อหน้าสตรีผู้นี้หัวใจของเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเช่นเดิม
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตเขาไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยถามทว่าตอนนี้เขากลับไม่อยากให้ผู้หญิงของตนต้องได้รับความเ็ปเช่นนี้
“ม่อเวิ่นเฉินท่านแม่ของข้าจะต้องไม่เป็อะไรใช่หรือไม่? เพียงแค่เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นเท่านั้น...”ซูฉีฉีจ้องมองไปที่ม่อเวิ่นเฉิน ดวงตาของนางใสกระจ่ายดุจน้ำหยดน้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมาทีละหยด เสมือนไข่มุกเม็ดวาวก็ไม่ปาน
ไหลออกมาไม่มีหยุด
ม่อเวิ่นเฉินกระชับแขนของตนเองให้แน่นขึ้น “ฉีฉี ไม่ว่าจะเกิดเื่อันใดขึ้น พวกเราจะเผชิญหน้าไปด้วยกัน...ดีหรือไม่?”
ม่อเวิ่นเฉินแสดงความอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเขามองซูฉีฉีด้วยแววตาที่อ่อนลงพร้อมกับยกมือขึ้นจัดผมที่ยุ่งเหยิงบนหน้าผากของนางให้เข้าที่ใช้แขนเสื้อเช็ดหยดน้ำตาของนางให้แห้ง
นิ้วมือที่เยือกเย็นดุจน้ำแข็งลากผ่านหน้าผากของนาง
ซูฉีฉีในตอนนี้้าไหล่กว้างให้ตนเองได้พักพิงในจุดนี้ม่อเวิ่นเฉินทำให้นางได้แล้ว
จิตใจที่มืดมนของซูฉีฉีก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจางๆนางเข้าใจในการตัดสินใจของเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยสิ่งที่นางทำไปก็เพื่อให้ซูฉีฉีได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
เมื่อไม่มีเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยมาทำให้พะวักพะวงแล้วซูฉีฉีก็ไม่ต้องกังวลอันใดอีก
ั้แ่เล็กจนโตนางก็คอยปกป้องมารดาของตนคิดไม่ถึงว่าในท้ายที่สุดมารดาจะใช้ชีวิตของตนเองมาปกป้องนาง
ซูฉีฉีลากนิ้วมือไปจับจี้หยกบนลำคอก่อนจะกำไว้ในฝ่ามือแน่นน้ำตาของนางไหลพรั่งพรูออกมามากขึ้นมารดานางเคยกล่าวไว้ว่าให้นางดูแลจี้หยกนี้ไว้ให้ดี!
แม้ว่านางจะไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยถึงต้องให้ความสนใจกับจี้หยกนี้มากขนาดนี้ทว่าคำพูดของมารดา นางล้วนแต่จดจำมันไว้ในใจเสมอ
ชีวิตนี้ของนางมีมารดาผู้เดียวที่รักใคร่นาง ดูแลนางตอนนี้คนผู้เ่ดียวที่คอยดูแลตนนั้นไม่อยู่แล้ว...
นางจะเผชิญหน้ากับความจริงนี้ได้อย่างไร?
รถม้ามาหยุดลงที่หน้าจวนอัครมหาเสนาบดี
ทว่าซูฉีฉีกลับไม่ยอมลงจากรถม้าเสียทีเพลิงไฟยังคงเผาไหม้อยู่ ทั่วทั้งจวนอัครมหาเสนาบดีนั้นมีควันไฟคละคลุ้งไปหมดเหล่าคนรับใช้ล้วนพยายามช่วยกันดับไฟ ซูชือฉางไม่รู้ว่ากลับมาถึงเมื่อใดตอนนี้เขากำลังะโโวยวายด้วยความโมโห
เขาอยากจะบุกเข้าไปในกองเพลิงเพื่อช่วยเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยออกมาเพราะนางเป็หมากเพียงตัวเดียวของเขา ทว่าเขาก็ไม่มีความกล้าถึงเพียงนั้น
เมื่อใดกันที่เขารู้สึกเกลียดชังสตรีผู้นี้? แต่เดิมเขาเคยรักมั่นปักใจกับนางนัก
ฮูหยินรองและฮูหยินคนอื่นๆ ล้วนยืนอยู่ข้างๆบนใบหน้านั้นไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ บางคนรู้สึกปลาบปลื้มดีใจทว่าไม่กล้าเปิดเผยออกมาหลายปีมานี้แม้เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยจะไม่ได้เป็ที่โปรดปรานแต่อย่างไรเสียนางก็ยังคงครองตำแหน่งฮูหยินใหญ่
ฮูหยินรองไม่ชื่นชอบนางมาตั้งนานแล้ว
ตอนนี้ในที่สุดก็สามารถสบายใจได้เสียที
แขนของม่อเวิ่นเฉินขยับเล็กน้อย เขาขยับตัวให้นั่งหลังตรงก่อนจะยกมือขึ้นดันตัวซูฉีฉีที่กำลังจมอยู่กับความโศกเศร้าเบาๆ “ฉีฉี ถึงแล้ว อย่างไรเสียพวกเราก็ควรจะฝังศพมารดาของเ้าด้วยตนเอง”
ครั้งนี้เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยเลือกทางเดินนี้ก็มีเหตุมาจากม่อเวิ่นเฉินอยู่บ้าง
เมื่อได้ยินคำพูดที่ม่อเวิ่นเฉินเอ่ยขึ้นน้ำตาของซูฉีฉีก็ไหลออกมาเยอะกว่าเก่า เพลิงไฟได้เผาไหม้ไปหนึ่งชั่วยามแล้ว นางรู้ว่าต่อให้ตนมาแล้วก็ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้อีก
แต่นางก็ยังเลือกที่จะมา
แสงจากเปลวไฟสะท้อนบนใบหน้าของซูฉีฉียิ่งเผยถึงความอ้างว้างบนดวงหน้าของนาง
หลังจากลงจากรถม้านางก็ผลักม่อเวิ่นเฉินออกและวิ่งพุ่งเข้าไปในกองเพลิง
การกระทำของนางทำให้ผู้คนโดยรอบต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างใ
“ฉีฉี...”ม่อเวิ่นเฉินะโเสียงดังก่อนจะรีบตามนางเข้าไป
เขาคิดไม่ถึงว่าซูฉีฉีจะทำเช่นนี้รอจนเขาดึงสติกลับมาได้นั้น ซูฉีฉีก็หายเข้าไปในกองเพลิง ไม่มีแม้แต่เงาของร่าง
แม้แต่ซูชือฉางที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ได้แต่ตกตะลึง
ควันเพลิงคละคลุ้งไปทั่วเปลวไฟพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ซูฉีฉีไอสำลักควันไฟพลางวิ่งพุ่งเข้าไปด้านในอย่างไม่คิดชีวิตนางเติบโตขึ้นที่นี่ นางคุ้นเคยกับทุกอย่างในจวนนี้เป็อย่างดี
ต่อให้หลับตานางก็สามารถหาเรือนเล็กที่เป็สถานที่พำนักของมารดาตนพบที่นั่นก็เคยเป็เรือนเล็กที่พำนักของนางเช่นกัน
เพลิงไฟก่อตัวมาจากเรือนเล็กตอนนี้ที่นั่นถูกเผาจนไม่เหลือสภาพแล้ว
ซูฉีฉีมิสนว่าเปลวไฟจะเผาถูกิัของนางและไม่สนถึงความแสบร้อนจากไฟเผาตอนนี้นางเพียงอยากพบมารดาของตนเท่านั้น
แผ่นไม้บนหลังคาค่อยๆ ร่วงลงมาทีละแผ่นบนพื้นมีร่างศพที่ถูกเผาไหม้จนดำสนิท ผมยาวของซูฉีฉีก็เริ่มถูกเพลิงเผานางพยายามยกมือขึ้นตบลงบนกองเพลิงเล็กๆ นั้นพลางเดินก้าวไปกอดศพที่นอนอยู่บนพื้น
ตอนนี้ นางไม่มีแม้แต่น้ำตาแล้ว
ม่อเวิ่นเฉินที่วิ่งตามมามิได้ดึงซูฉีฉีให้หนีออกมาแต่กลับเดินเข้าไปด้านในด้วย
เขารู้ว่าซูฉีฉีตอนนี้ฟังอะไรไม่เข้าหูทั้งนั้นเขาจึงตามใจนาง ขอเพียงเขาอยู่ข้างกายนาง ไม่ให้นางเป็อะไรไปก็พอแล้ว
ม่อเวิ่นเฉินมองซูฉีฉีที่กอดซากศพของเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยไว้แน่นเขาค่อยๆ หันหน้าไปทางอื่น เปลวเพลิงกำลังลุกฮือเสมือนจะกลืนกินทุกสิ่งอย่างเข้าไปกลิ่นควันไฟคละคลุ้งอยู่รอบๆ ทว่าม่อเวิ่นเฉินกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย เขายังคงมองไปทางเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ไกลๆ
ดวงตาที่สะท้อนภาพเปลวเพลิงอยู่นั้นกลับฉายประกายแห่งความกระหายเืออกมา