เรือนรับรองยังคงเงียบสงบเหมือนเช่นเคยม่อเวิ่นเฉินไม่อยู่ องครักษ์ที่ติดตามข้างกายเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
ซูฉีฉีมองเรือนรับรองที่หนาวเย็นเช่นนี้ทำให้ในใจของซูฉีฉียิ่งว้าวุ่นยากจะสงบนางรู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งใกล้จะจบลงแล้ว ทว่านางไม่รู้ว่าจุดจบนั้นจะเป็เช่นไร
ด้วยฝีมือของซูชือฉางนั้นจะต่อกรกับม่อเวิ่นเฉินนั้นถือว่าห่างไกลนัก แต่ว่าในมือของซูชือฉางนั้นมีหมากอยู่ตัวหนึ่งเป็หมากที่ทำให้ม่อเวิ่นเฉินนั้นต้องยอมพ่ายแพ้
ซูฉีฉีเลิกกระโปรงตัวยาวของตนขึ้นก่อนจะทายาให้กับตัวเองแผลเล็กๆ จากเข็มกระจายอยู่รอบหัวเข่าของนาง บ้างก็เป็สีม่วง บ้างก็เป็สีเขียวเืไม่ไหลออกจากแผลเ่าั้แล้วแต่พวกมันกลับเ็ปจนเกินจะทน
แต่ว่าความเ็ปเหล่านี้สำหรับซูฉีฉีนั้นถือว่าไม่ค่อยเท่าไรนัก
มีเพียงมือของนางที่ลงยาอยู่กำลังสั่นเล็กน้อยเท่านั้น
นางรับปากซูชือฉางทุกอย่างไปแล้วตอนนี้ในใจของนางสับสนมาก
“ไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องรับปากมิใช่หรือ...” ซูฉีฉียิ้มหยันให้กับตนเองถ้าหากตอนนั้นม่อเวิ่นเฉินสามารถปรากฏตัวออกมาได้นางคงจะไม่ต้องลำบากถึงเพียงนั้นแล้ว
เขารู้อยู่แล้วว่าใน่หลายวันมานี้นางต้องไปรับโทษที่ห้องสวดมนต์แต่เขากลับไม่คิดจะทำอะไร ด้วยความสามารถของเขาแล้วจะช่วยนางออกจากไทเฮานั้นคงจะไม่ยากเท่าใด
แต่ว่าเขากลับไม่ทำเช่นนั้น
ซูฉีฉีนั่งพิงหลังเข้ากับพนักพิงของเตียงตอนนี้นางรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ดวงตาทั้งสองค่อยๆ ปิดลง
ในซอยลึกนอกเมือง ม่อเวิ่นเฉินและเหลิ่งเหยียนกำลังยืนอยู่ในเรือนเล็กด้วยสีหน้าเ็าทั้งสองคนไม่พูดไม่จากัน สีหน้าท่าทางแฝงไปด้วยไอสังหารและความอาฆาตแค้นโดยเฉพาะม่อเวิ่นเฉินตอนนี้ดวงตาที่เ็านั้นเหน็บหนาวจนสามารถแช่แข็งโลกทั้งใบได้แล้ว
เพียงแต่ว่าภายใต้สายตาอันอาฆาตแค้นนั้นยังมีความอัปจนหนทางแฝงอยู่ด้วย
“คิดไม่ถึงว่าร่องรอยของเ้าสำนักเหลยจะถูกพบเสียแล้ว”เหลิ่งเหยียนถอนหายใจเบาๆเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเช่นกันจึงรีบรายงานกับม่อเวิ่นเฉินโดยเร็วที่สุด
ม่อเวิ่นเฉินกำหมัดแน่นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ครั้งนี้เขารู้ว่าตนเองต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของม่อเวิ่นเสวียนแล้วเป็แน่
เพราะว่าตอนนี้เขาไม่ใช่ม่อเวิ่นเฉินคนเดิมอีกแล้วในใจของเขามีสิ่งที่ต้องพะวงอยู่
และความพะวงนี้แม้เขาคิดอยากจะวางมันลงแต่กลับทำไม่ได้
และด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็รู้แล้วว่าคนที่ทำให้ตนเองต้องเป็พะวงนั้นได้ตกเข้าไปในกับดักเสียแล้ว
เขาไม่สามารถทำตามที่รับปากนางเอาไว้ได้
ในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เส้นเืปูดขึ้นบนหน้าผากของเขามือที่กำแน่นทั้งสองข้างก็มีเส้นเืปูดขึ้นมาเช่นกันข้อต่อของนิ้วมือถูกแรงบีบจนค่อยๆ เป็สีขาว สีหน้าของเขาเขียวคล้ำกว่าเดิมดวงตาดิ่งลึกแต่กลับให้ความรู้สึกประหนึ่งความเงียบสงบที่เกิดขึ้นก่อนพายุจะก่อตัวขึ้นความสงบเช่นนี้ของเขากลับทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าเขาจะทำได้โหดร้ายและตัดรอนที่สุดหรือไม่ถ้าหากไม่ได้ ก็อย่าโทษที่ข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ก็แล้วกัน” ผ่านไปเนิ่นนาน ม่อเวิ่นเฉินแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้ายังคงเป็สีฟ้าฟ้าที่ใสสะอาดบริสุทธิ์เช่นนั้น กลับต่างกับในใจเขาตอนนี้ที่รู้สึกหนักอึ้งอย่างหาสิ่งใดเทียมไม่ได้
แต่เดิมเขาไม่ได้คิดจะฆ่าม่อเวิ่นเสวียนแต่กลับถูกบีบให้ไม่มีทางเลือกอื่น
ถ้าเช่นนั้นเขาก็คงไม่อาจถือความสัมพันธ์ฉันพี่น้องเอาไว้ได้อีกแล้ว
“ตอนนี้เ้าสำนักเหลยอยู่ในมือของพวกเขาฮ่องเต้...้าป้ายคุมทหารของท่านไปแลก” น้ำเสียงของเหลิ่งเหยียนราบเรียบแต่กลับแฝงไปด้วยความกังวลใจ
เขารู้ว่าม่อเวิ่นเฉินมิใช่คนที่จะทิ้งมิตรสหายอย่างไม่ดูดาย
แต่ถ้าเอาป้ายคุมทหารไปแลกม่อเวิ่นเฉินจะใช้อะไรมาพลิกสถานการณ์ที่เป็ต่อนี้ได้อีก
เหลิ่งเหยียนรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนักถ้าหากรู้เช่นนี้แต่แรก เขาก็คงไปจวนอัครมหาเสนาบดีกับเหลยอวี๊เฟิงแล้ว
ทว่านี่เป็คำสั่งของม่อเวิ่นเฉินเขาไม่อาจไม่ทำตามได้
“มิเป็ไรข้าก็เอาป้ายคุมทหารไปให้เขาเสียก็สิ้นเื่...” ม่อเวิ่นเฉินยิ้มมุมปากแฝงด้วยความโหดร้ายอยู่บางๆดวงตาเป็สีแดงจากเส้นเืฝอยที่กระจายอยู่รอบลูกตา
ครั้งนี้ม่อเวิ่นเสวียนบีบเขามากไปจริงๆ
“ท่านอ๋อง...”สีหน้าของเหลิ่งเหยียนคล้ำลง “มิสู้ให้ข้าพาลูกน้องไปชิงตัวเ้าสำนักเหลยออกมา”
ถ้าหากม่อเวิ่นเฉินไม่มีป้ายคุมทหาร ฮ่องเต้ก็จะไร้ซึ่งความกังวลใดๆอีก ถ้าถึงตอนนั้นเกรงว่าม่อเวิ่นเฉินจะตายอย่างอนาถเป็แน่
“มิต้องหรอก”ม่อเวิ่นเฉินโบกมือแสดงท่าทีปฏิเสธเขายังคงมีท่าทีสง่างามสูงศักดิ์เหนือผู้คน หาได้มีท่าทางดั่งคนจนมุมแม้แต่น้อย
บรรยากาศมีความหนาวเย็นไม่น้อยหลังจากที่ม่อเวิ่นเฉินสั่งให้เหลิ่งเหยียนระวังตัวให้ดีแล้วเขาก็รีบจากไปเดิมเขาคิดจะไปช่วยซูฉีฉีออกจากน้ำมือของไทเฮาทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าเหลยอวี๊เฟิงจะเกิดเื่ขึ้นได้
เขารู้ถึงฝีมือของม่อเวิ่นเสวียนดีและเขาก็รู้ด้วยว่าถ้าจะช่วยซูฉีฉีในตอนนี้คงจะไม่ทันเสียแล้ว
“ให้ข้าเชื่อเ้าอีกสักครั้งหนึ่งเถิด”ม่อเวิ่นเฉินเอ่ยออกมาเสียงเบาเขามองไปที่ซูฉีฉีที่บัดนี้ได้นอนหลับไปแล้ว เขาเองก็รู้สึกเหนื่อยเช่นกัน
การมาเมืองหลวงครั้งนี้จะต้องอันตรายมาก เขาเองก็เตรียมตัวมาแต่แรกแล้ว
เพียงแต่ว่าเมื่อมาถึงก็ตกเป็เบื้องล่างแล้วนี่ทำให้เขาอดรู้สึกร้อนรนมิได้
ทว่าเขาคือม่อเวิ่นเฉินต่อให้ร้อนรนเพียงใดเขาก็ยังคงจิตใจให้สงบเขาไม่อนุญาตให้ตนเองพ่ายแพ้อย่างย่ำแย่จนเกินไปอย่างน้อยในทางไปน้ำพุเหลืองซึ่งเป็สถานที่คนตายนั้นเขาจะสามารถดึงคนให้ลงไปด้วยได้
ซูฉีฉีนั้นนอนหลับไม่สบายเท่าใดนักคิ้วของนางขมวดเข้าหากันความเจ็บบนร่างกายทำให้นางที่กำลังอยู่ในฝันนั้นก็รู้สึกไม่สงบสบายเช่นกัน
โดยเฉพาะเมื่อใจของนางในตอนนี้ได้เย็นสนิทไปเสียแล้วแม้ว่านางจะบอกตนเองแล้วว่าอย่าคาดหวังอันใดกับม่อเวิ่นเฉิน ทว่ามาถึงจุดนั้นจริงๆนางก็ยังคงรู้สึกผิดหวัง
ยังคงเ็ปหัวใจ
ม่อเวิ่นเฉินค่อยๆ โน้มตัวลงไปมือของเขาขึ้นถูเบาๆ ที่หว่างคิ้วที่ขมวดแน่นของซูฉีฉี นิ้วมือนั้นหยาบกระด้างอยู่บ้างแต่ท่าทางของเขานั้นกลับนุ่มนวลยิ่ง
เขาบอกกับตนเองไม่ว่าซูฉีฉีจะทำอะไรก็ไม่สามารถโทษนางได้ ครั้งนี้เป็ความผิดของเขาเอง
ตำหนักอี้เหอ
หลังฉากกั้นนั้นซูชือฉางกำลังพลอดรักกับไทเฮาอย่างหวานช่ำ
ตลอดชีวิตของไทเฮา นางรักเพียงซูชือฉางแต่ว่าเพราะโชคชะตาไม่เป็ใจจึงทำให้คลาดกันถึงครึ่งชีวิต
จนกระทั่งฮ่องเต้ชรานั้นได้ตไปฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ นางถึงสามารถพลิกชะตาชีวิตของตนได้ถึงกล้าที่จะอยู่กับซูชือฉางอย่างเปิดเผยเช่นนี้
เดิมนางเป็สตรีที่ใจกว้างแต่เพราะสู้รบแย่งชิงในวังมานานถึงยี่สิบปีทำให้กลายมาเป็คนใจคอโหดร้ายลงมือโเี้และเพราะว่านางเกลียดแค้นเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยในปีนั้นจึงให้ซูฉีฉีกับซูเมิ่งหรูสลับงานสมรสกัน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยฝีมือของนางเอง
ปีนั้นซูชือฉางนั้นก็ไม่เห็นด้วย เื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นล้วนแต่ทำตามแผนการของนาง
นอกตำหนักม่อเวิ่นเสวียนนั้นมีสีหน้าเยือกเย็น นิ้วมือของเขาจิกลงไปบนโต๊ะอย่างแรงดวงตาทั้งสองมืดสนิท ไอสังหารกระจายออกไปจนทั่ว
เขาทนมานานแล้วแต่ว่าก็ไม่อาจทำให้เื่ทั้งหมดนี้บานปลายเป็เื่ขึ้นมาได้
เพราะนางคือมารดาของเขา
แต่ว่าหลายวันมานี้พวกเขาดูเหมือนจะยิ่งไม่เกรงกลัวอันใดแล้วซูชือฉางเหมือนจะมาอยู่ที่ตำหนักอี้เหอแทบทั้งวันกระทั่งขันทีและนางกำนัลเขาก็ไม่คิดจะหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย
ทำให้ฮ่องเต้เช่นเขาต้องเสื่อมเสียเกียรติเสียจริงๆ
เพราะเช่นนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามักจะมองซูชือฉางเป็ดังเสี้ยนหนามในดวงตาของตนก็มิปาน
ความอัปยศเช่นนี้เขาไม่สามารถทนต่อไปได้แล้ว
ม่อเวิ่นเสวียนสะบัดแขนเสื้อก่อนจะก้าวเท้ายาวออกจากตำหนักอี้เหอเขาหมุนตัวไปที่ห้องหนังสือ เขาจะต้องมั่นใจว่าครั้งนี้ได้บีบให้ม่อเวิ่นเฉินถึงที่ตายได้แล้วให้ม่อเวิ่นเฉินนั้นไม่มีทางพลิกฟื้นตัวกลับมาได้อีก
คนเช่นนี้ถ้าหากวันหนึ่งเขาพลิกฟื้นตัวขึ้นมาได้จริงคงจะต้องเป็วันที่เขาตายอย่างอนาถแน่นอน
“ซูฉีฉีรับปากแล้วขาดเพียงขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น” ชายชราหนวดเคราขาวโพลนกำลังนั่งอยู่ด้านหลังฉากกั้นในห้องสมุดบนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ทว่ากลับมีดวงตาที่ใสกระจ่าง
“ใช่แล้วจากที่ท่านอาจารย์ดูแล้ว ครั้งนี้มีโอกาสสำเร็จเท่าใด?” สำหรับผู้าุโผู้นี้ม่อเวิ่นเสวียนนั้นเคารพนับถือเป็อย่างมาก บนใบหน้าของเขาไม่มีร่องรอยแห่งความอาฆาตและเยือกเย็นเหมือนดั่งก่อนอีกแล้ว
“ทูลฝ่าา...จวนอัครมหาเสนาบดีเกิดเื่แล้วพ่ะย่ะค่ะ...”ในขณะที่ม่อเวิ่นเสวียนกำลังจะถามว่าเมื่อใดนั้นด้านนอกห้องสมุดก็มีเสียงะโรายงานเข้ามา