ศพของเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยถูกฝังโดยซูฉีฉีและม่อเวิ่นเฉินผ่านไปถึงสามวันแล้วซูฉีฉีก็ยังคงไม่เอ่ยคำใดๆ ออกมาแม้แต่คำเดียว นางสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวสะอาดบนศีรษะมีเพียงผ้ารัดผมสีขาวเท่านั้น แม้จะพำนักอยู่ที่เรือนรับรองในวังหลวง นางก็ยังคงแต่งกายเช่นนี้
นางรู้ว่าม่อเวิ่นเสวียนเป็คนทำให้มารดาของตนต้องตายซูชือฉางและไทเฮาพวกเขาทั้งสองเป็ผู้สมรู้ร่วมคิด
ตอนนี้นางเกลียดฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเข้ากระดูกเขาเป็คนทำให้คนที่นางใกล้ชิดที่สุดต้องตาย นับั้แ่วันนี้เป็ต้นไป นางคงต้องอยู่เดียวดายตัวคนเดียวเสียแล้ว
ลมหนาวที่พัดผ่านใบหน้าสร้างความเ็ปให้กับนางยิ่งนักแม้จะอยู่ในเรือนรับรองก็ยังคงรู้สึกหนาวเย็นไม่น้อย ขันทีและนางกำนัลทั้งหลายล้วนถูกม่อเวิ่นเฉินไล่ออกไปหมดแล้วซูฉีฉีนั่งพักอยู่ในเรือน นางแหงนหน้าขึ้นเหม่อมองท้องฟ้า ปล่อยให้สายลมพัดผ่านตัวนางไป
เสื้อคลุมขนจิ้งจอกขนาดใหญ่ค่อยๆ คลุมลงมาบนไหล่ของนางก่อนที่ม่อเวิ่นเฉินจะค่อยๆ ช่วยนางผูกเชือกบนเสื้อคลุมนั้นและตบมือลงบนบ่าของนางเบาๆ “ต้องดูแลสุขภาพตนเองให้ดี ความแค้นนี้ข้าจะช่วยเ้าจัดการอย่างแน่นอน”
ม่อเวิ่นเฉินกำหมัดแน่นอย่างมีโทสะ บนมือมีเส้นเืสีเขียวปูดขึ้นเสื้อคลุมตัวยาวสีดำพลิ้วไสวตามสายลมทำให้เขาเหมือนาาปีศาจก็มิปาน
หลายวันมานี้ในใจของซูฉีฉีรับรู้ดีถึงการดูแลและเอาใจใส่ของม่อเวิ่นเฉินแม้ว่านางจะไม่เข้าใจบุรุษผู้นี้และไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่นางก็ยังคงโทษเขาที่วันนั้นไม่มาช่วยนางออกไป
ถ้าหากเขาไปช่วยนาง บางทีอาจจะไม่มีเื่ในวันนี้ก็เป็ได้
เมื่อเห็นซูฉีฉียังคงไม่ขยับ ม่อเวิ่นเฉินก็ถอนหายใจออกมาเบาๆสามารถพูดประโยคเ่าั้ออกมาได้นั้นถือเป็ความพยายามสูงสุดของเขาแล้ว หลายปีมานี้เขาไม่เคยสัญญากับผู้ใดและจะไม่ให้คำอธิบายแก่ผู้ใดเขาเองก็รู้ว่าซูฉีฉีนั้นกำลังโทษเขา แต่ว่าวันนั้นเขาไม่สามารถทำอันใดได้จริงๆ
แต่ทว่าด้วยนิสัยของม่อเวิ่นเฉินแล้ว เขาจะไม่เอ่ยคำอธิบายใดออกมาแน่นอน
คนทั้งสองล้วนไม่ได้เอ่ยคำใด ต่างฝ่ายต่างมองออกไปในทิศทางอันไกลโพ้น
ม่อเวิ่นเฉินยังคงต้องไปช่วยเหลยอวี๊เฟิงเพราะสาเหตุที่เขาตกอยู่ในมือของม่อเวิ่นเสวียนนั้นมาจากการที่ม่อเวิ่นเฉินขอให้ช่วยคุ้มครองเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยแต่ว่าต่อให้ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ เขาก็จะต้องไปช่วยอยู่ดี
จะต้องช่วยกลับมาให้ได้
ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยสิ่งใดก็ตาม
ซูฉีฉีนั่งอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งรู้สึกว่าลมข้างกายตนนั้นได้พัดโหมมาแรงขึ้นนางจึงค่อยๆ เงยศีรษะของตนขึ้น นางรู้ว่าม่อเวิ่นเฉินได้จากไปแล้ว นางยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่หางตาของตนเองก่อนจะกัดริมฝีปากของตนเบาๆบนใบหน้าที่ใสสะอาดนั้นฉายประกายแห่งความแน่วแน่ออกมา นางจะต้องล้างแค้นให้กับเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยจะต้องทำให้ได้
เมื่อเห็นว่าเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยตายไปแล้ว ซูฉีฉีก็คงไม่ยอมร่วมมืออีกม่อเวิ่นเสวียนจึงออกราชโองกายให้ม่อเวิ่นเฉินกลับเมืองอ้าวไปเพราะเขาอยู่ที่นี่มาก็หลายวันแล้ว
ทั้งสองสู้รบกันทั้งในทางเปิดเผยและในทางลับแต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่อาจทำการตัดสินผู้ชนะได้เสียที
ซูฉีฉีพิงตัวอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้าอย่างเงียบๆนางยังคงไม่เอ่ยคำใดๆ ออกมา ยังคงมีท่าทีซึมเศร้า นางสวมชุดกระโปรงสีขาว ไหล่ที่ผอมบางและใบหน้าเล็กๆที่ขาวสะอาดนั้นผอมซูบมากกว่าเก่า ดวงตาที่ใสกระจ่างมากขึ้นนั้นกลับมีความว่างเปล่าซ่อนอยู่ทำให้คนที่พบเห็นอดมิได้ที่จะรู้สึกเ็ปใจ
ม่อเวิ่นเฉินเองก็ไม่ได้ไปรบกวนนาง เขาหลับตาพักผ่อนที่มุมรถม้าอีกด้านหนึ่ง
ทันใดนั้นรถม้าก็หยุดลง อารมณ์ของซูฉีฉีก็กลับมาสั่นไหวอีกครั้งนางลืมตาขึ้นมองไปด้านนอกพลางขมวดคิ้วของตนเล็กน้อย
นางคิดว่าคงจะพบเจอกับนักฆ่าเหมือนดั่งเช่นขามากระมัง
ตอนนี้นางรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้างแล้ว นางเกลียดม่อเวิ่นเสวียนตอนที่เขาออกราชโองถอนการอภิเษกนั้นนางยังมิได้รู้สึกเกลียดชังเขา แต่ตอนนี้นางกลับเกลียดเข้าถึงกระดูกก็มิปาน
ข้างหน้านั้นมีเนินเขาเล็กๆ อยู่ลูกหนึ่งเบื้องหน้ารถม้ามีบุรุษกว่าสิบคนยืนขวางทางพวกเขาอยู่
เหลิ่งเหยียนไม่ได้คอยติดตามอยู่ข้างกายดั่งเช่นขามาเพราะว่าหลังจากออกจากเมืองหลวงแล้วเขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย
ม่อเวิ่นเฉินเองก็เห็นพวกผู้คนที่ขวางอยู่ด้านหน้าแล้วเช่นกันในดวงตามีความเ็าปรากฏขึ้นทำให้บรรยากาศรอบๆ ก็หนาวเย็นขึ้นไม่น้อย ไอสังหารในแววตาฉายขึ้นทำให้โครงหน้าอันหล่อเหลาของเขาดูแฝงไปด้วยความเยือกเย็น
นั่นก็ทำให้ซูฉีฉีอดที่จะเงยหน้าขึ้นมองม่อเวิ่นเฉินมิได้ระหว่างทางมาเมืองหลวงนั้นก็ไม่เห็นเขาเป็เช่นนี้ หรือว่าตอนนี้จะพบกับยอดฝีมือแล้วจริงๆ?
มิเช่นนั้นม่อเวิ่นเฉินคงไม่เป็เช่นนี้
นี่ก็ทำให้ใจที่เคร่งเครียดแต่เดิมของซูฉีฉีต้องจมดิ่งลงมากขึ้นนางนั้นกล่าวโทษม่อเวิ่นเฉิน ทว่าเมื่อเห็นเขามีอันตราย นางก็อดเป็ห่วงมิได้ มือทั้งสองกำปลายเสื้อไว้แน่นนางลอบกัดริมฝีปากของตนเอง
เมื่อเห็นม่อเวิ่นเฉินก้าวลงจากรถม้า ซูฉีฉีเองก็เลิกผ้าม่านในตัวรถขึ้นและก้าวลงไปเช่นกัน
เสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวสะอาดบนตัวนางยิ่งทำให้นางดูงดงามดั่งกล้วยไม้ขาวบริสุทธิ์สูงส่ง รูปร่างที่ผอมบางนั้นดูราวกับจะถูกพัดหายไปได้ทุกเมื่อ เหลิ่งเหยียนที่แอบอยู่ในที่ลับนั้นก็ตกตะลึงเช่นกันเขาเองก็รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น
แต่เดิมนอกจากม่อเวิ่นเฉินแล้วเขาไม่เคยรู้สึกสงสารผู้ใดออกมาจากใจจริงต่อให้เขารู้ว่าซูฉีฉีนั้นเป็ผู้บริสุทธิ์และน่าสงสาร เขาในแต่ก่อนก็จะไม่รู้สึกใดๆทั้งสิ้น
แต่ว่าตอนนี้เมื่อเขาเห็นดวงตาที่เยือกเย็นของซูฉีฉีแล้วเขากลับรู้สึกเ็ปใจยิ่ง
ต้องเป็สตรีเช่นใดกันถึงจะสามารถกลับมาสงบนิ่งได้เช่นนี้ความสามารถของนางนั้นทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม ความสง่างามและท่วงท่าของนางยิ่งทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกนับถือ
นางยืนอยู่ตรงนั้น มองทุกสิ่งรอบกายด้วยสายตาที่เยือกเย็นในดวงตาไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ออกมา ทำให้คนอ่านความคิดของนางมิออก นี่สิถึงจะเป็สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
เฉกเช่นเดียวกับเ้านายของพวกเขา ม่อเวิ่นเฉิน
ตอนนี้เหลิ่งเหยียนนั้นมองเห็นบารมีของม่อเวิ่นเฉินออกมาจากตัวของซูฉีฉีอย่างชัดเจน
หัวใจของเขาก็บีบแน่นเข้าหากัน
“ผู้ที่อยู่ข้างหน้านี้ใช่ท่านอ๋องติ้งเป่ยโหวหรือไม่”หัวหน้าที่ยืนอยู่ตรงข้ามนั้นถามออกมาอย่างระมัดระวัง
ตลอดทางมีนักฆ่าจำนวนเท่าไหร่ต้องตายอย่างอเนจอนาถนั้นพวกเขาล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจสำหรับม่อเวิ่นเฉินนั้นพวกเขามีเพียงแค่ความหวาดกลัว แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะมีผู้สนับสนุนอยู่ด้านหลังแต่ในใจก็ยังหวาดหวั่นอยู่ดี
“ใช่แล้ว” ม่อเวิ่นเฉินกวาดสายตาเย็นๆไปที่คนเ่าั้ก่อนที่จะหยุดสายตาลงที่หัวหน้าของพวกเขา
การกระทำของเขาทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ถ้าหากเป็ไปได้ เขาก็ไม่อยากจะมาที่นี่เช่นกันแต่ว่าบัญชาของฮ่องเต้ยากจะฝ่าฝืนได้
อีกทั้งป้ายคุมทหารที่ม่อเวิ่นเฉินส่งคืนนั้นก็มีเขาเป็ผู้รับ่ต่อเมื่อคิดมาถึงจุดนี้เขาก็ยืดตัวขึ้นอย่างมั่นใจ “ของนำมาแล้วหรือยัง?”
ซูฉีฉีที่ยืนอยู่ข้างม่อเวิ่นเฉินนั้นค่อยๆขมวดคิ้วเข้าหากัน นางขยับลูกตาวิเคราะห์บุคคลตรงหน้ารอบหนึ่งแต่ก็ดูมิออกว่าคนตรงหน้านี้มีสิ่งใดที่ทำให้ม่อเวิ่นเฉินเป็เช่นนี้ได้
ม่อเวิ่นเฉินในตอนนี้มีท่าทีเหมือนกับอาชูร่าที่ก้าวออกมาจากนรกท่าทีประหนึ่งพร้อมที่จะจับคนกินได้ทุกเมื่อ ทั้งน่ากลัวและน่ายำเกรง
“เอามาแล้ว” ม่อเวิ่นเฉินตอบด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำมากในน้ำเสียงมีความแหบเล็กน้อย ดวงตาเป็สีมืดดำดูโหดร้ายและเยือกเย็น “คนอยู่ที่ไหน”
บารมีเช่นนี้ ต่อให้ตอนนี้ตกเป็รองอำนาจทว่ากลับดูสูงสง่าน่าเกรงขาม
ซูฉีฉีเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้ นี่เป็การมาเพื่อทำการแลกเปลี่ยน
นางถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยสีหน้าราบเรียบเพราะไม่อยากจะกลายเป็ตัวถ่วงให้กับม่อเวิ่นเฉิน
หัวหน้าของฝ่ายตรงข้ามโบกมือเบา ด้านหลังก็มีบุรุษหลายคนค่อยๆแบกชายผู้หนึ่งมาข้างหน้า บนใบหน้าและร่างกายของคนผู้นั้นเต็มไปด้วยรอยเืเสมือนว่าได้รับการลงโทษอย่างรุนแรงมาก่อน
และที่ทำให้ซูฉีฉีไม่อาจสงบนิ่งได้อีกเป็เพราะว่าคนที่ถูกแบกมานั้นเป็เหลยอวี๊เฟิง
ในใจนางเหมือนมีบางอย่างปรากฏขึ้น นางเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้แล้วทว่าก็ยังคงไม่ชัดเจนนัก
นางได้แต่จับจ้องไปข้างหน้าอย่างตกตะลึง
ดวงตาที่หนาวเย็นดั่ง่เหมันต์ของม่อเวิ่นเฉินนั้นยิ่งดูเหน็บหนาวมากขึ้นจนทำให้ผู้คนในตอนนี้รู้สึกหนาวเข้าถึงกระดูกเสียแล้วและยังบวกกับแววตาและท่วงท่าอันมีอำนาจของม่อเวิ่นเฉินยิ่งทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
เหลิ่งเหยียนและกองทหารโลหิตที่อยู่ด้านข้างล้วนไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา แต่ทั้งหมดกลับขยับมือไปจับดาบที่อยู่บนเอวกันอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาพร้อมที่จะเด็ดเอาชีวิตของศัตรูได้ทุกเมื่อ
ซูฉีฉียกมือขึ้นกระชับเสื้อคลุมของตน จากนั้นก็ยืนเงียบๆอยู่ตรงนั้นต่อไป
“มือหนึ่งส่งคน อีกมือส่งของ”ฝ่ายตรงข้ามนั้นได้ถูกบารมีอันน่าเกรงขามของม่อเวิ่นเฉินบีบให้หายใจได้อย่างยากลำบากแล้วพวกเขารู้สึกว่าถ้าอยู่ที่นี่ต่อไปเกรงว่าจะทนรับความกดดันนี้ไม่ไหวจนสติแตกไปเสียก่อน
ม่อเวิ่นเฉินค่อยๆ หยิบกล่องผ้าออกมาจากอกของตนเขาวางมันไว้บนฝ่ามือนิ่งๆ ท่ามกลางลมที่พัดผ่านร่างกายของเขาเสมือนว่ากำลังรอให้ฝ่ายตรงข้ามมารับมันไป
สีหน้าของเขานิ่งเย็นดั่งเทพแห่งความตายได้มาจุติบนโลกมนุษย์แล้วก็มิปาน
“ไป” ผู้ที่เป็หัวหน้าสั่งให้บุรุษหลายคนเดินหน้าไปพร้อมกับเขาแม้เขาจะรู้ว่าด้านหลังของตนนั้นยังมีกองทหารอีกนับหมื่น ทว่าเขาก็อดที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมามิได้
เหลยอวี๊เฟิงเหมือนจะาเ็อย่างหนัก เขามิได้เอ่ยอันใดออกมาปล่อยให้คนพวกนั้นโยนเขาไปตรงหน้าม่อเวิ่นเฉินอย่างไม่ขัดขืน
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่เป็หัวหน้าก็ยื่นมือออกไปรับกล่องผ้าบนมือของม่อเวิ่นเฉิน
“ช้าก่อน!” อยู่ๆ ซูฉีฉีก็ะโขึ้นมาพร้อมก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง