าามู่ฉางเยียนทรงชะงักไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนคุ้นเคยคำว่าสำนักวรยุทธ์เบิก์นี้มากแต่เมื่อทรงลองคิดอย่างละเอียด ก็ไม่มีความทรงจำใด ๆ เกี่ยวกับผู้คนในกลุ่มนี้เลยความจริงแล้วระยะเวลาที่เสด็จหนีออกจากเมืองฟางกู้เป็เพียง่เวลาสั้น ๆเท่านั้น และเื่ราวระหว่างพระองค์กับแม่นางเยว่ก็ไม่ได้มีความทรงจำที่ดี ๆต่อกันมากนัก
กลุ่มชายชุดดำที่ไม่มีอาวุธติดมือจำนวนนับร้อยคนเดินผ่านไปอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย จำนวนมากจนทำให้ผู้คนต่างรู้สึกหนักอึ้งบวกกับขบวนรถม้าอีกกว่าสามสิบคัน ทั้งหมดนี้ถูกจัดขึ้นอย่างอลังการผู้คนจำนวนมากต่างมาล้อมดู และบนรถม้าทุกคันต่างปักธงที่มีอักษรเดียวกันนั่นก็คือสำนักวรยุทธ์เบิก์
เพราะอะไรถึงคุ้นเคยมากเพียงนี้?
หลายปีมานี้าามู่ฉางเยียนทรงใช้ชีวิตอย่างละเลยทำให้ความทรงจำของพระองค์มีปัญหา เมื่อไหร่ที่ทรงรู้สึกคุ้นเคยเป็อย่างมากก็จะยิ่งนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร เหมือนกับที่ทรงระลึกถึงแม่นางเยว่อยู่ตลอดเวลาแต่กลับทรงลืมคำมั่นสัญญาที่มีต่อนางและบุตรชาย
“น่าจะเป็สำนักที่มาจากนอกเมือง”
อันเฉิงกดเสียงต่ำแล้วพูด “กลับไปแล้วกระหม่อมให้หน่วยจัดการสำนักสืบก็คงจะรู้ไม่ว่าจะเป็สำนักฝึกวรยุทธ์ใดที่เข้ามาก็ต้องรายการตัวต่อหน่วยจัดการสำนักหน่วยทหาร และหน่วยฟางกู้ มีเพียงรายงานตัวแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถอยู่ที่นี่ได้เท่าที่ดูแล้วสำนักนี้มีคนจำนวนมาก ฉะนั้นคงสืบได้ไม่ยาก”
าามู่ฉางเยียนพยักหน้า “หากคนในสำนักเป็ชาวต้าเยี่ยนที่มาจากต่างถิ่นแล้วไม่ได้ทำผิดกฎก็ไม่จำเป็ต้องสืบอะไรมากมาย แต่หากเป็สำนักที่มาจากต่างแคว้นต้องตรวจสอบให้ละเอียด”
“ฝ่าาวางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะหากเป็ผู้ฝึกพลังวัตร ราชสำนักจะมีการตรวจสอบที่เข้มงวดมากและต่อให้จะมีใครคิดไม่ซื่อ แต่ถ้าเป็เื่ของผู้ฝึกพลังวัตร โดยเฉพาะด้านสำนักไม่มีใครกล้าทำเกินหน้าเกินตา พวกเขาต่างรู้พลังของผู้ฝึกพลังวัตรดีหากเจอยอดฝีมือก็ต้องมีพลังที่มหาศาลแน่ ๆ”
“เ้าพูดถูก ข้าเคยได้ยินมาว่าราชสำนักต้าซีมีกรมตุลาการหลายปีก่อนผู้นำของกรมตุลาการเสียชีวิต จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิต้าซีทรงจัดพิธีศพให้ด้วยพระองค์เองเลยทั้งยังพระราชทานป้ายอักษรฝีพระหัตถ์อีกด้วย อักษรที่ทรงเขียนก็คือ...ใต้หล้าสงบสุขด้วยคนเดียว”
“หากมีพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เพียงคนเดียวก็สามารถทำให้ใต้หล้าสงบสุขได้ทว่ากลับกัน คนคนเดียวก็สามารถทำให้ใต้หล้าวุ่นวายได้เหมือนกัน”
“หากต้าเยี่ยนของเรามีกรมตุลาการ...ชนเผ่าโฮ่วคงไม่กล้าเหิมเกริมขนาดนี้”อันเฉิงรำพัน
าามู่ฉางเยียนส่ายหน้า “ไม่ว่าจะอยู่ในวังหรือนอกวังต่อไปอย่าได้พูดเช่นนี้อีก ตำหนักจิงเซี่ยวมีหูตามากมาย หากเ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็อย่าได้พูดอีก”
อันเฉิงรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว “ที่กระหม่อมกล้าพูดเป็เพราะอยู่กับฝ่าาเท่านั้น”
ขณะพูดอยู่นั้น ขบวนรถม้าก็ได้ผ่านไปอย่างยิ่งใหญ่
ทันใดนั้น ในรถม้าคันสุดท้าย สาวงามนางหนึ่งกำลังใช้มือเปิดม่านหน้าต่างออกมาดูนอกรถม้าขณะที่นางเปิดผ้าม่านออกนั้น ราวกับเมืองฟางกู้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปานแม้กระทั่งาามู่ฉางเยียนที่เห็นนางก็ยังตรัสออกมาอย่างลืมตัว...
“งดงามยิ่งนัก”
าามู่ฉางเยียนถอนหายใจ “บริสุทธิ์ แต่ก็งดงามอย่างที่สุดเช่นกัน”
อันเฉิงหัวเราะ “เช่นนั้นกระหม่อมส่งคนไปสืบมาเลยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
าามู่ฉางเยียนพยักหน้า “รีบไปสืบมา”
บนรถม้า กู่เชียนเยว่ลากชวีหลิวซีกลับเข้ามา“เ้าโผล่หน้าออกไปแบบนี้ จะทำเสียเื่เปล่า ๆ”
ชวีหลิวซีแลบลิ้น “ในที่สุดก็ถึงเมืองฟางกู้สักทีข้าแค่อยากเห็นว่าข้างนอกเป็อย่างไรเท่านั้นเอง”
ทันใดนั้นกู่เชียนเยว่ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็ผู้ใหญ่ “เ้าไม่รู้หรือว่าตอนนี้ตัวเองมีใบหน้าเหมือนนางจิ้งจอก? หากคนไม่ดีมาเจอเข้าเ้าไม่กลัวจะหาเื่มาให้อันเจิงหรือ?”
“เ้าน่ะสิจิ้งจอก...ไม่มีใครจะเ้าเล่ห์ไปกว่าเ้าอีกแล้วแล้วเ้าสำนักอันก็ไม่กลัวจะเดือดร้อนหรอกนะก่อนเข้าเมืองเขายังบอกว่าจะเข้ามาอย่างอลังการ ขนาดผู้เฒ่าฮั่วเตือนแล้วเตือนอีกกลัวว่าจะเป็จุดสนใจของคนอื่นแล้วจะสืบมาจนถึงตัวเสี่ยวชีเต้า เขายังไม่ยอมฟังเลยอย่างไรก็จะเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่ให้ได้”
กู่เชียนเยว่เบ้ปาก “อันเจิงไม่ได้โง่...โดยปกติเราก็ต้องเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วไม่ใช่รึ? หากมีอะไรที่ปกปิดเอาไว้จะกล้าปักธงเข้ามาอย่างอลังการหรือ? อีกอย่างระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาเพียงพอต่อการเตรียมตัวแล้วล่ะ ไม่ว่าแคว้นเยี่ยนจะตรวจสอบอย่างไรก็ไม่มีวันตรวจสอบได้แน่”
หึ! ชวีหลิวซีเปล่งเสียงออกมา “พูดเหมือนตัวเองรู้จักเขามากอย่างนั้นแหละ”
กู่เชียนเยว่หัวเราะพลางหรี่ตามอง “ทำไม...ข้าพูดไม่ถูกใจเ้า?หรือว่าเ้าหึงในสิ่งที่ข้าพูด?”
ชวีหลิวซีสะบัดหน้าหนี “ข้าไม่สนเ้าแล้ว”
กู่เชียนเยว่หัวเราะ “ฝึกพลังวัตรมาหลายปีสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ทำไมใจเ้าไม่เห็นโตขึ้นสักทีเด็กน้อยอย่างเ้า ไปไหนแล้วไม่โดนหลอกน่ะสิแปลก อันเจิงมักจะปกป้องเ้าตลอดกลัวว่าความชั่วจากภายนอกจะมาเปลี่ยนแปลงจิตใจเ้า ข้าไม่รู้จริง ๆว่าการทำแบบนี้จะส่งผลดีหรือผลเสียกันแน่”
ชวีหลิวซียิ้มน้อย ๆ อย่างมีความสุขมันเป็รอยยิ้มที่คนอื่นไม่สามารถเข้าใจได้ นางไม่ได้ตอบอะไรอีก แต่เพียงแค่รอยยิ้มนั้นก็สามารถบอกความหมายได้แล้ว
นางใช้มือเปิดผ้าม่านออกแล้วแอบมองไปด้านนอกกู่เชียนเยว่จึงดึงมือนางอีกครั้ง “หักห้ามใจหน่อยได้หรือไม่ที่อันเจิงบอกว่าจะเข้ามาอย่างสง่างามก็เพื่อสะดวกต่อการทำงานเมื่อยิ่งอลังการก็จะยิ่งเป็ที่สนใจของคนอื่น แต่หากเ้าเอาหน้าออกไปจะไม่ใช่สง่างามแต่เป็หาเหาใส่หัวต่างหาก”
ชวีหลิวซียิ้มพลางพูด “แล้วเ้าเล่า หากเ้าโผล่หน้าออกไปก็จะนำมาซึ่งภัยพิบัติเช่นกัน!”
กู่เชียนเยว่เบ้ปาก “ข้างามสู้เ้าไม่ได้หรอก”
ชวีหลิวซีกอดนาง “จริง ๆ แล้วในใจเ้ากำลังคิดว่าตัวเองงามกว่าข้านิดหน่อยล่ะสิ?”
กู่เชียนเยว่หันหน้าหนี สาวน้อยทั้งสองหยอกล้อกันบนรถม้ามาตลอดทาง
ในรถม้าคันรองสุดท้าย อันเจิงนั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ตรงหน้าเสี่ยวชีเต้าปีนี้อันเจิงอายุเกือบสิบห้าปีแล้ว มีส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเิเร่างของเขาแม้ยังดูผอมแต่ก็ดูเป็ผู้ใหญ่ขึ้นมาก ชุดสีดำเข้ารูปที่เขาสวมใส่ยิ่งทำให้ดูเคร่งขรึมนั่นเป็เพราะเวลานี้อย่างไรก็คงต้องเคร่งขรึมแล้วล่ะ
“เ้ากังวลอยู่หรือ?” อันเจิงถาม
เสี่ยวชีเต้าตอนนี้อายุแปดขวบแล้ว มีความสูงเท่าไหล่ของอันเจิงเป็เด็กน้อยที่ดูอ่อนโยนและใสซื่อบริสุทธิ์ เขาพยักหน้าตอบ “ใช่ยังรู้สึกกลัวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านแม่ข้าไปอยู่ที่ไหน แล้วท่านสบายดีหรือไม่”
หลังจากอันเจิงเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้น“จำคำข้าไว้ ต่อให้จะกังวลมากแค่ไหนก็อย่าวู่วาม เพราะเป็ไปได้มากว่า มารดาของเ้าคงจะมีชีวิตที่ไม่สุขสบายนักตอนนี้เ้าโตแล้ว เื่บางเื่ข้าก็ไม่อยากปิดบังอีก ก่อนหน้านี้ข้าให้คนกลับไปสืบที่โลกมายามารดาเ้าไม่เคยให้ใครกลับไปหาเ้าเลย หากนางมีชีวิตที่ดีจริง ๆ จะเป็ไปได้อย่างไรที่นางจะไม่คิดถึงเ้า?”
“ฉะนั้น ข้าได้ส่งคนมาเมืองฟางกู้ล่วงหน้าเราประมาณสิบวันเพื่อมาสืบเื่ของมารดาเ้าและข้าก็เพิ่งได้รับสารมาเมื่อคืนนี้เอง มารดาเ้า...ตอนนี้นางถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน”
ทันใดนั้นสีหน้าของเสี่ยวชีเต้าก็เปลี่ยนไปทันที เขากำหมัดแน่นแน่นจนเส้นเอ็นปูดออกมาอย่างเห็นได้ชัด
อันเจิงตบบ่าของเสี่ยวชีเต้าเบา ๆ “มีข้าอยู่ต่อให้เ้าจะร้อนใจแต่ก็อย่ากังวลจนเกินไป มารดาเ้าถูกขังมาสามปีแล้ว ฉะนั้นนางเพียงแค่ลำบากแต่ไม่มีอันตรายอะไรถึงชีวิตหากพวกเขาคิดฆ่ามารดาเ้าจริง ๆ คงทำไปนานแล้ว”
เสี่ยวชีเต้าพยักหน้า “ไม่ว่าพี่ชายอันเจิงจะพูดอะไรข้าก็ฟังทั้งนั้น”
อันเจิงยิ้ม “อย่าฟังข้าไปเสียทุกอย่างสิเ้าเองก็ต้องฝึกคิดวิเคราะห์ หากข้าพูดถูกเ้าก็ฟัง แต่หากข้าพูดผิดขึ้นมาเ้าก็ต้องแย้งด้วย”
เสี่ยวชีเต้าเม้มปาก “พี่ชายอันเจิงไม่มีผิดหรอก”
อันเจิงส่ายหน้า ในขณะที่เขากำลังจะเริ่มพูดต่อก็ได้ยินเสียงะโโหวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านหน้า
“มีเื่อะไรกัน?”
อันเจิงถามออกไปจากนั้นก็มีเสียงคนตอบกลับ “เรียนท่านเ้าสำนัก บ้านที่ซื้อมีปัญหาเล็กน้อยตอนนี้ศิษย์พี่ตู้กำลังไกล่เกลี่ยอยู่”
อันเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเดินลงมาจากรถม้าอย่างช้า ๆ
เพื่อความสะดวกอันเจิงส่งคนมาซื้อบ้านหลังใหญ่ที่เมืองฟางกู้ล่วงหน้าตอนนี้พวกเขาเดินทางมาถึงประตูบ้านแล้ว แต่ราวกับมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น
เมื่ออันเจิงเดินมาถึงก็พบว่า ตู้โซ่วโซ่วกำลังถกเถียงกับคนอื่นจนหน้าแดงคอเกร็งไปหมด
ตอนนี้ตู้โซ่วโซ่วสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเิเแล้ว ดูไม่ออกเลยว่าเขาเพิ่งอายุเพียงสิบห้าปีแต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังดูอ้วนอยู่ดี
“หมายความว่าอย่างไร?”
ตู้โซ่วโซ่วถามอย่างมีน้ำโห “เงินก็เอาไปแล้วตอนนี้กลับมาบอกว่าไม่ขายบ้าน แล้วยังไม่ยอมคืนเงินอีก?”
ชายหนุ่มวัยกลางคนที่มีใบหน้าซื่อ ๆและมีลูกน้องยืนล้อมรอบอยู่อีกสิบกว่าคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าจะทำอย่างไรได้เงินที่รับมาก็คือเงินค่ามัดจำเพื่อช่วยพวกเ้าหาบ้าน บ้านก็หาได้แล้ว...แต่เ้าของไม่อยากขายจะให้ข้าทำอย่างไรค่ามัดจำที่เ้าให้มาไม่ใช่ค่ามัดจำบ้าน แต่เป็ค่ามัดจำเพื่อช่วยหาบ้าน เข้าใจหรือไม่?”
ตู้โซ่วโซ่วพูดเสียงดัง “เช่นนั้นเ้าจะบอกว่า...เ้าเก็บค่ามัดจำเพื่อหาบ้านเป็เงินสามหมื่นตำลึงรึ?”
ชายวัยกลางคนเบ้ปาก “เ้ากล้าขึ้นเสียงกับข้าหรือข้าจะบอกให้นะ ที่นี่คือต้าเยี่ยน เป็ที่ที่มีกฎหมายบ้านเมือง พวกเ้าเพิ่งมาจากต่างแดนอย่าคิดนะว่ามีเงินก็จะทำทุกอย่างได้ตามใจ ที่นี่ต้องว่าด้วยกฎหมายข้าได้บอกเ้าทั้งหมดอย่างชัดเจนแล้ว ข้าทำการค้ามานานนับสิบปี กิจการทุกอย่างก็เป็ไปอย่างราบรื่นหากเ้าว่าข้าหลอกลวง เช่นนั้นเราไปให้ศาลตัดสินเลยดีกว่า?”
ในกลุ่มคนที่ล้อมดูอยู่กดเสียงต่ำแล้วพูดขึ้น “เป็ต้าฟางจาชัวอีกแล้วครั้งก่อนข้าเห็นพวกมันรังแกคนอื่นจนกระอักเืตาย คนเขามาจากต่างแดนเก็บสะสมเงินมาทั้งชีวิตแต่กลับถูกหลอกไปง่าย ๆ พอขึ้นศาลศาลกลับบอกว่าเป็ปัญหาเล็ก ๆ ไม่รับพิจารณาเห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็การหลอกลวงเงิน รังแกคนต่างถิ่นชัด ๆ”
มีเสียงพูดขึ้น “ต้าฟางจาชัวมีท่านโกวอยู่เื้ัและบุตรชายท่านโกวก็ทำงานอยู่ในศาลอีก หากศาลรับเื่น่ะสิแปลกทว่าคนที่มาในครั้งนี้คงมีฐานะกระมัง ดูสิ รถม้าเยอะขนาดนี้ต้าฟางจาชัวหลอกเงินเขาไปสามหมื่นตำลึง คิดว่าคงไม่กระอักเืตายหรอก”
อันเจิงเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ “เ้าคือใคร”
ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นแล้วตอบกลับ “โจวว่านเชียนเป็เ้าของต้าฟางจาชัว แล้วเ้าคือใคร”
อันเจิงยิ้มพลางพูดขึ้น “จากที่ข้าฟังมาสรุปได้ว่าเ้าเก็บเงินมัดจำของพวกข้าแต่กลับไม่ได้ติดต่อเ้าของบ้านอย่างนั้นสินะ?”
โจวว่านเชียนกล่าวแย้ง “เ้าจะพูดอย่างนี้ไม่ได้นะข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าติดต่อแล้ว หากพวกเ้าไม่เชื่อข้าก็จนปัญญาแต่ตามธรรมเนียมแล้วข้าไม่มีทางคืนเงินมัดจำแน่ หากเ้าอยากจะหาเื่ เช่นนั้นเราก็ไปขึ้นศาลให้ศาลตัดสินว่าใครถูกใครผิด และเื่นี้ต้องมีพยาน เ้ามีพยานหรือไม่?”
“อืม” อันเจิงเปล่งเสียงออกมาเล็กน้อยจากนั้นก็กวาดสายตามองไปที่ลูกน้องของโจวว่านเชียนจำนวนสิบกว่าคน
“ล้อมเอาไว้” เขาสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงที่แ่เบา
ชายชุดดำจำนวนร้อยกว่าคนล้อมเข้ามาอย่างแ่าจนผู้คนที่มามุงดูไม่อาจมองเห็นข้างในได้ ไม่มีใครรู้ได้ว่าอันเจิงกำลังจะทำอะไรทุกคนต่างยื่นคอพยายามมองเข้าไปด้านใน แต่ชายชุดดำที่ล้อมอยู่ก็ราวกับเป็กำแพงที่ไม่อาจมองทะลุได้
“เ้าคิดจะทำอะไร...”
สีหน้าของโจวว่านเชียนเปลี่ยนไปในทันที “พวกข้าสนิทสนมกับคนในศาลเป็อย่างดีเ้าอย่าคิดทำอะไรจะดีกว่า”
อันเจิงกวักมือมีคนยกเก้าอี้ออกมาจากในรถม้า จากนั้นอันเจิงก็นั่งลงแล้วโบกมือ “หักขาทุกคนคนละข้าง”
ตู้โซ่วโซ่วหัวเราะทันทีเื่แบบนี้ไม่ต้องให้คนในสำนักช่วยหรอก เขาเพียงคนเดียวก็จัดการได้แล้ว ด้วยเวลาอันสั้นตู้โซ่วโซ่วก็ล้มทุกคนในต้าฟางจาชัวให้ลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว
โจวว่านเชียนร้องครวญครางอย่างเ็ป “เ้ามาใช้ความรุนแรงที่นี่จะต้องจบไม่สวยแน่ข้าจะไปฟ้องศาลให้เ้าติดคุกตลอดชีวิต! คนนอกอย่างเ้าถึงกับกล้ามารังแกพวกข้าเชียวรึ”
อันเจิงยกมือขึ้นโบกผู้คนที่ล้อมอยู่ก็กระจายตัวออกไป “เ้าถูกคนรุมทำร้าย ข้ามาเจอพอดีเลยช่วยไว้แต่เ้ากลับมาฉ้อโกงแบบนี้เหมือนแคว้นเยี่ยนจะมีกฎปราบปรามเื่นี้อยู่พอดีไม่ใช่รึ”
โจวว่านเชียนะโเสียงแหบพร่า “เ้าเป็คนทำร้ายข้าเองแท้ๆ”
อันเจิงยักไหล่เล็กน้อย “เ้ามีพยานรึ?บนถนนมีคนตั้งมากมาย ทว่าใครเห็นข้าทำร้ายเ้ากัน?”
อันเจิงโน้มตัวลง “อีกอย่างคนที่มาจากต่างแดนก็ไม่ได้แปลว่าจะรังแกได้ง่าย ๆ หรอกนะวันนี้เื่อื่นเอาไว้ก่อน ข้าจะถอนรากถอนโคนพวกเ้าออกจากเมืองฟางกู้ก่อน”
ทันใดนั้นทหารจากศาลกลุ่มหนึ่งก็วิ่งเข้ามา “ใครส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้