เวลา 7 โมงตรง รถ Cadillac SUV สีดำจอดเทียบที่หน้าประตูบริษัทรักษาความปลอดภัยตระกูลเสิ่น มือปืนในชุดสูทสีดำมาถึงหน้าบ้านประตูบ้านถูกเปิดออกจากด้านในโดยที่เขายังไม่ทันได้เคาะ เซี่ยวอี๋ที่มัดผมหางม้าอยู่ในชุดกางเกงผ้าเดนิมขาสั้น ท่อนบนสวมเพียงเสื้อกล้ามในขณะเปิดประตูให้
แน่นอนว่าอารมณ์ของเธอไม่ค่อยดีนัก ในมือยังถือปืนพกอยู่ สายตาของเธอเกรี้ยวกราดราวกับคิดว่าจะเป่าหัวใครสักคนอยู่
“สวัสดีเซี่ยวอี๋คนสวย ฉันอีชางซู คนเกาหลี ฉันรู้ว่าการพบกันของเราเมื่อวานนี้ทำให้เราเข้าใจผิดกัน ฉันอยากจะขอโทษในความเลินเล่อของฉัน หากเธอสัญญาว่าจะเก็บปืน ฉันคิดว่าเราน่าจะเป็เพื่อนกันได้” อีชางซูพยายามตีซี้ จะว่าไปเขาก็หน้าตาหล่อหมดจด ร่างสูงเพรียว 178 เิเ คางแหลมเปลือกตาบาง ผิวพรรณก็ขาวกระจ่างใส ไม่เหมือนกับมือปืนที่กรำแดดกรำฝน
“คุณเกาหลีคุณเกรงใจเกินไปแล้ว เพื่อนฉันคงไม่คิดจะใช้เลเซอร์เล็งฉันหรอก ซ้ำยังเล่นงานฉันเสียจนต้องเปียกกลับบ้านเหมือนลูกหมาตกน้ำ ฉันเป็หวัดเลยนายรู้หรือเปล่า?” เซี่ยวอี๋ขู่เสียงแข็ง “อีกอย่างนายพกอาวุธทหาร ถึงจะเป็แค่อุปกรณ์เสริมแต่ก็มีไว้ในซึ่งก็ถือว่ามีความผิด ในฐานะที่ฉันเป็พลเมืองดีฉันควรโทร.แจ้งความ นายว่าไหม?”
“อย่าหาเื่เลยไปกันได้แล้ว” เสิ่นิสวมเสื้อยืดสีขาวคู่กับกางเกงยีนธรรมดาๆ กับรองเท้าลำลอง เดินออกจากบ้านไปอย่างชิลๆ ราวกับกำลังจะออกไปเดินเล่น
“ประทานโทษนะ การแต่งกายของพวกคุณดูออกจะสบายไปสักหน่อย” อีชางซูใช้คำอย่างสละสลวย
“บอสนายให้ความสำคัญกับความสามารถของฉัน ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก เว้นเสียแต่ว่าบอสนายจะมองหาเป็ดไม่ใช่บอดี้การ์ด” เสิ่นิทึกทักเอาเองในขณะที่เดินไปที่รถ เขาเปิดประตูเข้าไปนั่ง
“เขาทำตัวขวางโลกแบบนี้ตลอดเลยเหรอ” อีชางซูลดเสียงลงถามเซี่ยวอี๋
“ไม่ต้องถามฉัน ฉันไม่ได้สนิทกับนาย” เซี่ยวอี๋ผลักนายเกาหลีตรงหน้าก่อนจะปิดประตูบ้าน และเข้าไปนั่งในรถด้วย
“เฮอะ บอส แบบนี้จะดีจริงๆ เหรอครับ” อีชางซูถอนหายใจก่อนจะกลับไปยังที่นั่งของตัวเองและพาพวกเขาทั้งสองคนออกเดินทาง
ระหว่างทางทั้ง 3 คนเงียบกริบ พวกเขาไม่พูดคุยกันแม้แต่คำเดียวบรรยากาศช่างน่าอึดอัด ผ่านไปเนิ่นนานเสิ่นิถึงได้เอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค “รถไม่เลวนี่”
“ก็โอเค” อีชางซูอมยิ้มให้
“ก็แค่รถ Cadillac Escaladeไม่ใช่เหรอ คันละไม่กี่ล้าน แพงกว่า BMW X5 แค่นิดหน่อยเอง” เห็นได้ชัดว่าเซี่ยวอี๋ตั้งใจแหย่ ตั้งใจสร้างความไม่พอใจ
“รถคันนี้ไม่ได้มีดีที่ยี่ห้อ แต่เป็เพราะ่ตัวรถถูกดัดแปลงเพื่อให้กันการะเืจากแรงะเิ กระจกกันะุ เครื่องยนต์ดีเซลกันน้ำกำลังสูง จัดเต็มยกชุดขนาดนี้ มูลค่าน่าจะสูงกว่าRolls-Royceเสียอีก”
ต่อให้ขับพุ่งเข้าไปในรังของกลุ่มตาลีบัน ก็สามารถสังหารได้อย่างราบคาบทั้ง 7 ครั้ง 7 คราราวกับเ้าจื่อหลงแห่งเขาฉางซาน” เสิ่นิตาลุกเป็ไฟเมื่อได้ยินเสียงคำรามของเครื่องยนต์ และเมื่อได้รับรู้น้ำหนักจากการหักโค้งเขาก็เข้าใจทุกอย่าง
“บอสฉันเขาเป็คนชอบเก็บตัวฉะนั้นเขายินดีที่จะลงทุนด้านความปลอดภัย” อีชางซูอมยิ้ม ดวงตาดวงน้อยๆ ซึ่งไม่ได้ผ่านมีดหมอของชาวเกาหลี พอยิ้มก็กลายเป็เส้นตรง
“ในสังคมจีนแผ่นดินใหญ่ที่คุมเข้มแบบนี้ ก็ยัง้ารถประเภทนี้บอสนายคงจะมีศัตรูอยู่ไม่น้อยเลยล่ะสิ?” เสิ่นิเบาเสียงลงพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เนื่องด้วยจรรยาบรรณในวิชาชีพ ฉันคุยเื่ส่วนตัวของบอสกับนายมากไม่ได้ ขอให้นายโปรดเข้าใจด้วย” อีชางซูไม่ขอออกความคิดเห็นใดๆ
“ไม่อยากพูดถึงบอส งั้นพูดถึงนายก็แล้วกัน ถึงนายจะเป็คนเกาหลี แต่นายก็ไม่เห็นจะเหมือนคนที่ออกมาจากฐานทัพเกาหลีเลย ฉันเคยเห็นทหารเกาหลี พวกนั้นระเบียบจ๋ามาก ไม่ได้มีลมหายใจที่ผ่อนคลายแบบนาย ฉันดูออกว่านายเคยผ่านการนองเืมาแล้ว” เสิ่นิเริ่มสนใจในตัวเพื่อนร่วมงานของเขา
“สายตาของคุณเสิ่นินั้นช่างแหลมคมนัก ถูกต้อง ผมเข้าร่วมกองทัพต่างชาติของฝรั่งเศสั้แ่อายุ 14 เป็ทหารอยู่ 8 ปี และบังเอิญได้รู้จักกับบอสหลังปลดประจำการจากกองทัพ ผมกลายมาเป็บอดี้การ์ดส่วนตัวของบอส ปีนี้ก็เข้าปีที่ 5 แล้วที่ผมมาเป็บอดี้การ์ด” อีชางซูบรรยายถึงอดีตของเขาโดยไม่คิดเป็อื่น
“นายโม้หรือเปล่า? เป็ทหารั้แ่อายุ 14?” เซียวอี๋ส่งสายตาดูิ่
“ผมลักลอบเข้าฝรั่งเศสตามพ่อแม่ เนื่องด้วยอุปสรรคทางด้านภาษา จึงใช้ชีวิตอย่างลำบาก พ่อกับแม่เลี้ยงดูผมต่อไปไม่ไหว ตอนนั้นผมอายุแค่ 8 ขวบ...ต่อมามีชายชาาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง เขาสงสารจึงเก็บผมไปเลี้ยง ผมเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษจากเขา พอผมอายุได้ 14 ปี ชายชราคนนั้นก็ถึงแก่กรรม ผมถูกญาติของชายชราขับไล่ออกจากบ้านที่ต่อมามันกลายเป็ของพวกเขา สิ่งเดียวที่ผมมีอยู่นั้นก็คือบัตรประชาชนปลอมที่ชายชราคนนั้นทำไว้ให้ผม
และนั่นก็คือหนทางที่ผมใช้สมัครเข้าร่วมกองทัพต่างชาติ ในสายตาของชาวฝรั่งเศส คนเอเชียจะหนุ่มหรือจะแก่ มองดูแล้วก็ตัวเล็กๆ เหมือนกับผม ดังนั้นพวกเขาจึงยอมให้ผมเข้าร่วมกองทัพด้วย
ผมร่วมติดตามกองทัพไปทั่วโลก โชคดีที่ยังไม่ตาย ได้กลับเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง ผมพอใจกับชีวิตที่บอสมอบให้ผม ณ ตอนนี้มาก” คำพูดของอีชางซูเปี่ยมไปด้วยความสำนึกรู้คุณต่อบอสของเขา
เซี่ยวอี๋ผู้ซึ่งตัดสินใจว่าจะจงเกลียดจงชังอีชางซูไปชั่วชีวิต พอได้ฟังเช่นนั้นแล้วกลับรู้สึกเอ็นดู น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาเต็มเบ้า สัญชาตญาณของความเป็แม่ได้ถูกกระตุ้นขึ้น ช่างน่าเห็นใจชายผู้น่าสงสารคนนี้เหลือเกิน
“นายไม่คิดที่จะตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเองเหรอ” เซียวอี๋กล่าวทั้งน้ำตานองหน้า
“ในเมื่อพวกเขาทิ้งผมแล้ว ผมจะไปตามหาให้ได้อะไร? คนเราต้องมองไปข้างหน้านะ เพื่อจะมีชีวิตรอดก็ต้องเลือกให้ถูก ผมเข้าใจพวกท่านนะ ในเมื่อถ้าเลี้ยงผมต่อไป พวกเราก็คงอดตายด้วยกันทั้งหมด สู้ปล่อยให้แต่ละคนมีโอกาสรอดเป็ของตัวเองดีกว่า” อีชางซูกล่าวอย่างเปิดเผย
เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ทำอะไรก็นับว่าถูกต้อง มีเพียงผู้ที่เคยผ่านสมรภูมิรบอันแสนโหดร้ายมาแล้วเท่านั้นแหละ ที่จะเข้าใจความจริงข้อนี้ได้
เสิ่นิเข้าใจในข้อนี้ดี อีชางซูและเขาเป็คนประเภทเดียวกัน เพียงแต่ “ระดับความอันตราย” นั้นแตกต่างกันมาก
อีชางซูเคลื่อนรถเข้าสู่ชายป่าซึ่งอยู่แถวชานเมือง บนแผนที่แสดงให้เห็นว่าเป็พื้นที่ว่างเปล่า เซี่ยวอี๋ซึ่งเป็คนในท้องถิ่นก็ยังไม่รู้เลยว่าละแวกนี้มีบ้านพักอาศัยอยู่ด้วย?
ไม่ใช่สิ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าพวกเขาไม่ควรเรียกว่าบ้าน ควรเรียกว่าเป็คฤหาสน์หรูสไตล์ยุโรปหลังใหญ่สุดอลังการ! ข้างในประดับด้วยบ่อน้ำพุหินอ่อน สวนดอกไม้เรือนกระจก สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ สนามเทนนิส แล้วก็สนามขี่ม้า
ตัวอาคารหลักตั้งตระหง่านสูง 4 ชั้น สถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป ที่หน้าบานประตูทางเข้าถูกวางรากฐานไว้ด้วยเสาหินอ่อนซึ่งนำเข้ามาจากกรีซ ความสูงเท่าอาคาร 3 ชั้น
“นี่คือช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนสินะ?” เซี่ยวอี๋มองสถาปัตยกรรมที่ด้านนอกรถพลางกล่าวด้วยความละอาย
“อย่าเพิ่งใไปนี่ไม่ใช่ที่พักอาศัยของบอส แต่เป็สโมสรพักผ่อนส่วนตัวแห่งหนึ่งซึ่งบอสพัฒนาขึ้นมา ใช้เพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ วันนี้เนื่องด้วยการมาของพวกคุณทั้งสองคน ท่านได้ยกเลิกนัดหมายเดิมไปทั้งหมดแล้ว” อีชางซูจอดรถที่หน้าประตูใหญ่ แม่บ้านเก่าแก่ตั้งหน้าตั้งตาคอยเปิดประตูรถให้ บรรดาแม่บ้านในชุดคนรับใช้สไตล์ยุโรปยืนต้อนรับอยู่ทั้งสองฝั่งของพรมแดง พวกเธอกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ดูจากรอยยิ้มแล้วก็รู้เลยว่าเงินเดือนของพวกเธอต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ...
พวกเขาเดินตามอีชางซูผ่านห้องโถงสไตล์อังกฤษขึ้นไปยังชั้นบน ทุกแห่งในคฤหาสน์หลังนี้ประดับไปด้วยภาพวาดสีน้ำมัน โคมไฟคริสตัลแบบระย้าประณีตวิจิตร พร้อมกับคนรับใช้ที่คอยกล่าวคำทักทาย ทั้งหมดนี่ทำให้เซี่ยวอี๋รู้สึกราวกับว่าเธอกำลังเดินอยู่ในพระราชวังทางยุโรป
เธอเสียใจอยู่บ้างที่ไม่ได้แต่งกายให้รัดกุมกว่านี้ ชุดบนตัวเธอซึ่งซื้อจากแผงลอยราคาน่าจะไม่เท่าชุดแม่บ้านของที่นี่ด้วยซ้ำ คิดแล้วเธอก็อาย
ในทางกลับกันเสิ่นิไม่ได้สับสนไปกับสภาพแวดล้อมอันวิจิตร ตอนนี้ในหัวเขามีแค่เพียงความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับนายจ้างและภารกิจที่จะได้รับมอบหมาย
กระทั่งมาถึงห้องประชุมหลักที่ชั้น 3 อีชางซูถึงหยุดฝีเท้าและเคาะประตู หลังจากมีเสียงทุ้มต่ำลอดมา “เข้ามาได้” เขาจึงเปิดประตูให้เสิ่นิและเซียวอี๋ด้วยความเคารพ
ชายสวมสูทสีขาวยืนอยู่ในห้องหน้าชั้นหนังสือ แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ส่องอยู่บนตัวเขา ด้วยวัย 40 กว่าเขาดูทั้งสุขุมและภูมิฐาน
“คุณเสิ่นิกับคุณเซี่ยวอี๋มาแล้ว เชิญนั่ง” เขาปิดหนังสือในมือ ชายคนนั้นกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มและเชื้อเชิญให้พวกเขาทั้งสองคนนั่งลงที่โซฟา
โดยไม่ต้องให้สั่ง อีชางซูเดินไปถึงบาร์เครื่องดื่ม และบรรจงชงชามาให้
“ก่อนอื่นได้โปรดยกโทษให้กับข้อสันนิษฐานของผมเมื่อคืนนี้ด้วย เกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณเสิ่นินั้น ชางซูได้บอกผมแล้ว ว่าคุณเป็บอดี้การ์ดผู้มีความโดดเด่นโดยแท้” ชายคนนั้นกล่าวขอโทษอย่างสุภาพก่อนแนะนำตัว
“ไม่ต้องอ้อมค้อม คุณเป็ใคร?” เสิ่นิสนใจแค่เื่นี้
“แซ่อันต่ำต้อยของผมคือ ฟาง นามว่า ซื่อเฉวียน” ชายคนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเสิ่นิหยาบคาย ในทางตรงกันข้ามความตรงไปตรงมาเช่นนี้นับเป็ข้อดีที่ได้ประหยัดเวลา
“ฟางซื่อเฉวียน? มหาเศรษฐีแห่งเมืองหลินไห่...ฟางซื่อเฉวียน?” พอเซี่ยวอี๋ได้ยินชื่อนี้เข้าก็เริ่มใจสั่น ราวกับมีบางอย่างแตกสลาย
ในฐานะชาวเมืองหลินไห่หากไม่รู้จักว่านายกเทศมนตรีคนใหม่คือใครนั้นเป็เื่ที่ปกติมาก แต่หากจะตามหาคนที่ไม่รู้จักนามของฟางซื่อเฉวียนละก็ แทบจะหาไม่เจอ มหาเศรษฐีผู้นี้เริ่มต้นเลี้ยงปากท้องจากแผงลอยข้างถนนและเริ่มลงทุนในวงการอสังหาริมทรัพย์ในยุค 90 กระทั่งปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอของฟ้าอร่ามกรุ๊ปซึ่งเป็หนึ่งในบริษัทชั้นนำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าสามหมื่นล้านหยวน แค่ในเมืองหลินไห่ โครงการอสังหาริมทรัพย์กว่า 40% ก็ล้วนแล้วแต่พัฒนาโดยฟ้าอร่ามกรุ๊ป เรียกได้ว่าเป็อภิมหาเศรษฐีในหมู่บรรดาอภิมหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้
ถึงกระนั้นฟางซื่อเฉวียนก็ยังเป็บุคคลซึ่งมีโลกส่วนตัวสูง เขาไม่ยอมให้สัมภาษณ์หรือร่วมกิจกรรมใดๆ นอกจากเหล่าบรรดาคนสนิทแล้ว คนที่รู้จักเขานั้นนับว่าน้อยมาก นั่นจึงเป็สาเหตุที่ว่าทำไมเซี่ยวอี๋ถึงไม่เคยได้รู้จักรูปร่างหน้าตาเขามาก่อนเลย
“เงินทองเป็ของนอกกาย ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเป็เพื่อนกัน อย่าได้มองว่าใครเป็เศรษฐีหรือไม่ใช่เศรษฐีเลย” ฟางซื่อเฉวียนยิ้มอย่างสง่างาม เมื่ออีชางซูชงชาหลงจิ่งเสร็จแล้วจึงนำมาเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ
“ผมไม่ได้คิดอยากผูกมิตรกับคุณฟาง...” เสิ่นิกล่าวพลางจิบชาร้อน จากนั้นค่อยให้ความกระจ่าง “เพราะว่าเมื่อมีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็จะคุยธุรกิจกันไม่สะดวก”
“ดูเหมือนว่าคุณเมิ่งฉีจะพูดถูก คุณเป็บอดี้การ์ดที่มีเอกลักษณ์มาก” ฟางซื่อเฉวียนดำเนินธุรกิจมา 30 ปี ่ 10 ปีให้หลังมานี้ธุรกิจเจริญรุ่งเรืองเป็อย่างมาก ที่ผ่านมามีคนมากมายที่พยายามจะผูกมิตรกับเขา
“คุณรู้จักเมิ่งฉี?” เซียวอี๋สงสัย
“ความจริงแล้วเป็เพราะคุณเมิ่งฉีแนะนำคุณสองคนให้กับผม เธอเป็แชมป์รายการ ‘The Voice of China’ ตอนนี้ก็เลยได้เป็ตัวแทนโครงการใหญ่ของฟ้าอร่ามกรุ๊ป ในงานเลี้ยงรับรองครั้งหนึ่ง เธอไม่ได้พูดถึงเื่การร่วมงานกันสักเท่าไร่เธอเอาแต่รับรองว่าบอดี้การ์ดเก่าของเธอดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ก่อนกลับก็ยังคะยั้นคะยอให้ผมรับเบอร์โทร.ของคุณไว้
ประจวบเหมาะกับที่่นี้ผมมีความจำเป็ที่จะต้องได้รับความคุ้มครองอยู่พอดี ดังนั้นผมก็เลยให้อีชางซูติดต่อพวกคุณ” ฟางซื่อเฉวียนอมยิ้มก่อนจะจิบน้ำชา และนั่นก็เป็ที่ประจักษ์ว่าเมิ่งฉีได้ทำตามพันธสัญญาที่ให้ไว้กับเสิ่นิแล้วเธอไม่เพียงแต่แนะนำเขาเท่านั้น แต่ยังมอบงานั์ให้กับเขา ทำให้เขามีกินมีใช้ไปถึงครึ่งปีเลยทีเดียว!