จังหวะที่เซี่ยวอี๋ลุกไปเข้าห้องน้ำ จี้เฉินก็จ้องมองไปที่เสิ่นิที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเ็า ก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมไม่ชอบพี่ ผมไม่สนว่าพี่เซี่ยวอี๋จะไปหาพี่มาจากไหน เพื่อที่จะหลอกผม ผมให้โอกาสครั้งนี้ครั้งเดียว หากคราวหน้าผมนัดพี่เซี่ยวอี๋ออกมาแล้วพี่ยังตามออกมาอีกล่ะก็ เชื่อสิ ผมจะหักขาพี่เป็สองท่อน”
เสิ่นิคีบขนมปังและซดน้ำซุปในชาม เขารู้สึกสนุกสนานไปกับคำพูดของจี้เฉิน “เพื่อนเอ๋ย อย่างที่เขาว่ากัน กินของเขาแล้วก็ไปอย่าหักหน้าเขา วันนี้ถือว่าพี่เป็หนี้นาย พี่จะไม่ถือสา หากคราวหน้านายคิดจะขู่พี่อีก พี่จะจับมาตีก้นซะ”
“ผมเรียกคุณพี่ใหญ่เข้าหน่อย คุณก็ทำทียกตนข่มท่านเลยนะ” จี้เฉินเผยสีหน้าอันดุร้าย พร้อมกับแย่งช้อนไปจากมือของเสิ่นิ “คอยดูให้ดี”
จี้เฉินออกแรงแขนทั้งสองข้าง เขาบีบช้อนสเตนเลสจนงอ 90 องศา ก่อนจะโยนมันกลับไปตรงหน้าเสิ่นิ
“คุณอาจจะเป็เ้าหน้าที่ตำรวจ หรืออาจจะเป็ตำรวจพิเศษ แต่จำเอาไว้เลยนะ ผมเป็นายทหารชั้นยอดของกรม เรียนหลักสูตรการต่อสู้เพื่อการสังหารคนมาแล้วทุกหลักสูตร พี่เซี่ยวอี๋และผมโตมาด้วยกัน ผมตั้งปณิธานั้แ่ 5 ขวบว่าจะแต่งงานกับเธอให้ได้ เพื่อพี่เซี่ยวอี๋ ผมถึงได้สมัครเป็ทหาร ท้าทายตัวเองเพื่อเดินบนเส้นทางนี้
เพียงเพราะอยากเป็คนที่ปกป้องพี่เขาได้ เป็ผู้ชายที่คู่ควรกับพี่เซี่ยวอี๋ ผมจะไม่ยอมให้พี่เซี่ยวอี๋ต้องเสื่อมเสียเพราะผู้ชายอย่างคุณหรอก”
“ความรักของสหายนั้นช่างลึกซึ้ง พี่ชายฟังแล้วน้ำตาจะไหล แต่ว่านะ ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ พละกำลังสามารถทำอะไรได้หลายอย่างบนโลกใบนี้ แต่กำลังไม่อาจบังคับหัวใจมนุษย์ได้” เสิ่นิยิ้มพร้อมกับหยิบช้อนที่งออยู่บนโต๊ะขึ้นดู เขาใช้แค่เพียงนิ้วโป้งข้างเดียวดันด้ามช้อนขึ้นจนเกิดเสียงคลิก จากนั้นช้อนก็กลับสู่สภาพเดิม และนั่นทำเอาจี้เฉินตกตะลึงอึ้งอยู่กับที่
“พวกนายคุยอะไรกัน น่าสนุกจัง” เซี่ยวอี๋กลับมาที่โต๊ะพอดี
“ไม่มีอะไร พี่ชายกับน้องชายคุยกันถึงมุมมองของเราที่มีต่อความรักก็เท่านั้น คุณจะทานต่อไหม” ในที่สุดเสิ่นิก็ทานจนอิ่ม
“ฉันอิ่มแล้ว ถ้าอย่างนั้น จี้เฉิน ฉันขอตัวก่อนนะ ทานข้าวครั้งหน้าต้องให้ฉันเลี้ยงนะ อย่ามาแย่งจ่ายล่ะ บาย!” เซี่ยวอี๋ฉวยโอกาสนี้จากไปพร้อมกับเสิ่นิ ทิ้งให้จี้เฉินหัวเราะเยาะตัวเองอยู่ที่โต๊ะ
“สมกับที่เป็พี่เซี่ยวอี๋ หาคนมาหลอกกันก็ยังไม่ใช่คนธรรมดา”
สืบเนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์มา ทั้งคู่จึงไม่สามารถขับรถกลับบ้านได้ พวกเขาเดินไปตามถนนเลียบชายฝั่ง สืบเท้ากลับบ้านภายใต้แสงไฟสีนวลส้ม ไม่มีแม้เงาของผู้คนที่สัญจรไปมา
ดูเซี่ยวอี๋จะสุขใจยิ่ง หญิงสาวเหยียบย่างไปตามรั้วถนนเตี้ยๆ กางแขนในขณะที่ก้าวขาไปข้างหน้าเหมือนกับกำลังไต่เชือก เสิ่นิซึ่งสวาปามไปเสียจนพุงแทบแตก สองมือล้วงกระเป๋าเดินตามหลังไป
“วันนี้ขอบคุณมากนะ” นี่เป็ครั้งแรกที่เซี่ยวอี๋ขอบคุณเสิ่นิจากใจจริง
“ที่จริงเ้าตัวแสบนั่นก็ไม่เลวนะ ถ้าไม่นับที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ก็ถือว่าใจกว้างมาก รูปร่างก็ไม่เลว ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาดูรักคุณเอามากๆ ทำไมถึงไม่ลองพิจารณาดูสักหน่อยล่ะ” เสิ่นิไม่เข้าใจ
“หยุดพูดพล่อยๆ ได้ไหม เขาเป็น้องชายของฉันนะ จะเป็แฟนกันได้ยังไง เป็ไปไม่ได้!” เสียวอี้พูดพลางโบกมือปฏิเสธ
“คุณเคยมีความรักหรือเปล่า?”
“เคยแอบรักรุ่นพี่ นั่นนับด้วยหรือเปล่า?” ดูท่าแล้วเซี่ยวอี๋คงจะดื่มไปมากเกินไป วันนี้เธอถึงได้พูดมากกว่าปกติ
“เปลี่ยนคำถามก็แล้วกัน คุณอยากแต่งงานกับผู้ชายแบบไหน?” เสิ่นิถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ผู้ชายคนนั้นเหรอ แน่นอนว่าเขาจะต้องเป็ฮีโร่กอบกู้โลกที่ได้รับคำสรรเสริญจากผู้คน!” เซี่ยวอี๋มองไปยังหมู่ดาวบนท้องฟ้าในขณะที่กล่าวคำซึ่งเป็ดั่งจินตนาการของเด็กสาวตัวน้อย
“OK ข้อแรกก็ตัดผมทิ้งไปได้เลย ผมน่ะ เป็พวกที่ชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในความมืด มือปืนผู้ที่จากไปหลังจากเหนี่ยวไก ไม่ต้องพูดถึงการได้รับคำสรรเสริญจากผู้คนเลย ใครก็ตามที่เห็นหน้าผมระหว่างปฏิบัติการ เขาคนนั้นจะต้องถูกฆ่าปิดปากเรียบ”
“เหอๆ นายนี่หลงตัวเองชะมัด ลองทบทวนดูสิว่าตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้นายทำเื่แย่ๆ อะไรไว้บ้าง ในฐานะหุ้นส่วน ฉันเอือมนายเต็มทน ให้ฉันคนนี้ไปกอดกับหมาเสียยังจะดีกว่ากอดกับนาย!” เซี่ยวอี๋หัวเราะไม่ขาดปาก เธอก็ก้าวเท้าพลาด ก่อนจะลงไปนอนกองกับพื้นยางมะตอย รถบรรทุกที่แล่นผ่านไปพากันบีบแตร
เซี่ยวอี๋หัวสมองว่างเปล่า แต่พอเธอรู้สึกตัวอีกที ก็มีมืออันทรงพลังคว้าข้อมือเธอไว้และดึงกลับไป ร่างบอบบางของเซี่ยวอี๋ปลิวไปตกอยู่ในอ้อมแขนของเสิ่นิ ด้วยสัญชาตญาณของความกลัว หญิงสาวกอดคอเสิ่นิไว้ ราวกับคู่รักที่กำลังคลอเคลียกันอยู่ริมถนน
“โฮ่งๆ” เสิ่นิยิ้มเ้าเล่ห์
“นาย…” เซี่ยวอี๋ทั้งรู้สึกขอบคุณและโมโห เธอสับสนจนพูดอะไรไม่ถูก แต่เสิ่นินั้นตั้งสติได้ไวกว่า เขาจึงรวบเอวบางของเซี่ยวอี๋เอาไว้ ออกกำลังที่ฝ่าเท้า และทันใดนั้น พวกเขาก็พิงอยู่กับซากรั้วปรักหักพังริมทาง
“นายจะทำอะไรน่ะ” เซี่ยวอี๋ที่ถูกเสิ่นิล้มทับ ริมฝีปากของเธอถูกนิ้วของเสิ่นิประกบไว้
“เรากำลังตกเป็เป้า” เสิ่นิส่งสัญญาณให้เซี่ยวอี๋หันกลับไปมองตำแหน่งที่พวกเขาเคยยืนอยู่ จุดเลเซอร์สีแดงเล็งส่องไปที่นั่น มันเล็กจนแทบไม่ทันได้สังเกตเห็น
“สไนเปอร์?!” เซี่ยวอี๋จากที่มึนหัวอยู่ก็สร่างเมาในทันที เธอคว้าปืนพก .77 ขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ
“เก็บเถอะ ระยะห่างเกินไป เสียงปืนและเงารังแต่จะเผยตำแหน่งคุณ” เสิ่นิสงบราวกับไม่ใช่มนุษย์ “ใช้เลเซอร์ในการพุ่งเป้า แสดงให้เห็นว่ามือปืนไม่จำเป็ต้องคำนึงถึงความเร็วลมและวิถีโค้งของะุ จากการคำนวณแล้ว เขาอยู่ห่างจากเราในระยะ 150 ถึง 200 เมตร”
“เอายังไงดี? แจ้งความไหม?” เป็ครั้งแรกที่เซี่ยวอี๋ตกเป็เป้าของคนอื่น เหงื่อเย็นผุดขึ้นตามฝ่ามือเธอ
เสิ่นิยังไม่ทันได้ตอบเซี่ยวอี๋ เสียงเรียกเข้าของไอโฟนในอ้อมอกของเขาก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดู เบอร์โทรนั่นถูกซ่อนไว้
เสิ่นิรับสาย เขาเอาโทรศัพท์แนบหูไว้แต่ไม่เปิดปากพูด ปลายสายนั้นก็ไม่มีเสียงลอดออกมาเช่นกัน มีเพียงเสียงลมหายใจยาวเหยียดซึ่งฟังดูเหมือนว่าไม่มีอะไร หลังจากเงียบอยู่ 30 วินาที เขาก็ได้ยินเสียงขึ้นลำกล้องตามมา คำพูดเพียงประโยคเดียวจากคนคนนั้นก็คือ “หนึ่งในสองจะรอด ใครจะอยู่ ใครจะตาย?”
“ลองทายดูสิ” เสิ่นิพูดจบก็ตัดสายทันที
“ว่าไง? ใครโทรมา?” เซี่ยวอี๋ถามด้วยความวิตก
“ฝีมือระดับสูง เทคนิคการซุ่มยิงอย่างมืออาชีพ ใช้ปืนไรเฟิลต่อต้านรถถังขนาด 12.7 มม. รุ่น 10” เสิ่นิวิเคราะห์รูปการณ์ทั้งหมดนี้ได้โดยอาศัยแค่เพียงการฟังเสียงสูดลมหายใจและเสียงโหลดะุ
“ปืนไรเฟิลต่อต้านรถถัง?!” เซี่ยวอี๋เคยอ่านจากนิตยสารทหารมาบ้าง แม้แต่หน่วยรบพิเศษก็ยังไม่อาจติดตั้งอาวุธบ้าระห่ำนี้ได้ อาวุธตัวนี้สามารถเจาะทะลวงได้แม้กระทั่งแผ่นเกราะของรถถัง ลืมกำแพงอิฐด้านหลังของทั้งคู่ไปได้เลย
“รุ่น 10 ที่น่ากลัวไม่ใช่พละกำลังของปืน แต่มันติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนอินฟราเรดเพื่อเล็งเป้า เขามองเห็นเรา...” เสิ่นิเข้าใจว่าสไนเปอร์ตั้งใจให้เขาได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงขึ้นลำกล้อง เพื่อ้าบอกว่านี่ไม่ใช่เกม นอกจากตอบคำถามของเขาแล้ว ก็อย่าคิดเป็อื่นอีก
“เซี่ยวอี๋ เชื่อใจผมไหม?” เสิ่นิกระชากปืนลูกซองไปจากมือเซี่ยวอี๋
“นอกจากเชื่อใจนาย ฉันยังมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ?” เซี่ยวอี๋จนปัญญา
เสิ่นินั่งลงตรงมุมกำแพง ก่อนจะยกปืนขึ้นยิงหัวดับเพลิงตรงริมถนน ปัง! ปัง! ปัง! รวดเดียวหกนัด ด้วยพลังของปืนสั้น .77 ของตำรวจ ไม่อาจสร้างความเสียหายให้แก่เหล็กบริสุทธิ์ของหัวดับเพลิงได้ แต่สิ่งที่ร้ายกาจก็คือ ะุทั้งหกนัดของเสิ่นินั้นพุ่งเข้าเป้าเดิมอย่างแม่นยำ หัวฉีดน้ำดับเพลิงทะลุเป็รู น้ำเย็นๆ พุ่งออกมาปะทะคนทั้งสองที่อยู่ตรงมุมกำแพง ทั้งคู่เปียกโชกในชั่วอึดใจ
“นี่มันเทคนิคการยิงแบบไหนกัน นายใช่คนจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย” เนื่องจากอุณหภูมิในร่างกายที่ลดลง ทำให้เป้าหมายดับหายไปจากเลนส์ สไนเปอร์ไม่ได้ใแต่กลับยิ้มและโทรกลับไปยังเบอร์ของเสิ่นิ “ดูเหมือนนายไม่คิดที่จะตอบคำถามฉัน”
“ไม่ ฉันเลือกแล้ว รอดสอง ดับหนึ่ง แกลองทายสิว่าใครจะดับ” เสิ่นิพูดจบก็ตัดสายไปอีกครั้ง
สไนเปอร์เก็บอุปกรณ์ลงซองหนัง ก่อนจะรีบทะยานหนีไปที่บันไดของตึกร้างในพื้นที่ที่รื้อถอน เขาสูญเสียโอกาสในการสังหารเป้าหมายไปแล้ว การหลบหนีจึงเป็ทางเลือกสำหรับมืออาชีพ
แต่พอวิ่งมาถึงชั้นล่างสุด สไนเปอร์นายนั้นก็ยืนตัวแข็งทื่อไม่อาจเคลื่อนไหว เพราะว่าเสิ่นิยืนอยู่ห่างออกไปเพียง 20 เมตรและเล็งปืนมาที่ขมับของเขา
“ฟิตเกินไปแล้วมั้ง? ฉันใช้เวลาลงบันไดมาแค่ 24 วินาที จากตำแหน่งที่นายอยู่ถึงตรงนี้ เต็มที่ก็ 200 เมตร ไหนจะต้องฝ่าซากปรักหักพังนั่นมาอีก นายวิ่งมาโดยที่ไม่หอบเลยสักนิด?” ขณะนี้สไนเปอร์ยกมือขึ้น
“อยากจะรู้อะไรเพิ่มอีกหน่อยไหมล่ะ? อย่างเช่นเทคนิคการยิง...” เสิ่นิกล่าวอย่างเยือกเย็น
“เื่นี้ไม่จำเป็หรอก นายยิงหัวดับเพลิงทะลุได้ใน 6 นัด ยิงด้วยมือเดียวในท่านั่ง อัตราการยิงสูงสุด 6 นัดเข้าเป้าเดียว ราวกับว่าร่างกายประสานเป็หนึ่งเดียวกับปืน ไม่ได้รับแรงสั่นะเืจากปืนเลยสักนิด บุคคลเช่นนี้ บนโลกมีเพียงหนึ่งเดียว ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็อัจฉริยะปืนไรเฟิล แชมป์ยิงปืนระดับจังหวัด จนได้รับการขนาญนามว่า ‘ชายผู้ไม่ะเืต่อแรงปืน’ ...เสิ่นิ ช่างบังเอิญนะ ชื่อเหมือนนายพอดีเลย?” มือปืนแสยะยิ้มพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้น
“แกเป็ใครกันแน่?” เสิ่นิถาม
สไนเปอร์คนนั้นทำท่าว่าจะวางกระเป๋าปืนไว้ด้านหลัง ภายใต้กระบอกปืนของเสิ่นิ เขาค่อยๆ เปิดกระเป๋าอย่างระมัดระวัง และสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาก็ไม่ใช่ปืนไรเฟิลต่อต้านรถถังรุ่น 10 แต่เป็เพียงชิ้นส่วนของไรเฟิลและกล้องอินฟราเรดรุ่น 10 เท่านั้น เลเซอร์อินฟราเรดสีแดงก็เป็เพียงปากกาของเล่นเด็ก
“ว่าง่ายๆ ก็คือ ฉันคือผู้ตรวจสอบ และนายก็ผ่าน” มือปืนถอดฮูดออก เผยให้เห็นใบหน้ารุ่นราวคราวเดียวกันกับเสิ่นิ
“ฉันจำไม่ได้ว่าตัวเองไปสมัครทดสอบอะไรไว้” เสิ่นิยังไม่ลดปืนลง
“ธุรกรรมครั้งหนึ่ง ค่าตอบแทน 3 แสนหยวน แต่เรามีข้อกังวลอยู่บ้างเกี่ยวกับอดีตของนาย บอสของเรา้าทราบจริงๆ ว่าตอนนี้นายเป็มือสังหาร หรือเป็บอดี้การ์ดกันแน่?” แน่นอนว่าสไนเปอร์คนนี้รู้เื่ราวในอดีตของเสิ่นิหมดแล้ว เนื่องจากเขาไม่ได้เปลี่ยนชื่อ ที่อยู่สำนักงานรักษาความปลอดภัยก็ไม่ได้เปลี่ยน นายจ้างที่หัวไวก็น่าจะพอเชื่อมโยงตัวตนของเขาได้
“นายเห็นว่าฉันเป็อะไรล่ะ?” ในที่สุดเสิ่นิก็ลดปืนในมือลง ก่อนจะถอนะุนัดสุดท้ายออกจากรังปืน
“บอดี้การ์ดผู้ร้ายกาจกว่ามือสังหาร...” สไนเปอร์กล่าวยืนยัน “ถ้านายไม่ยุ่ง พรุ่งนี้ 7 โมงเช้า ฉันจะไปรับนายกับคู่หู อย่าสายล่ะ บอสเข้มงวดเื่เวลามาก ถึงขนาดจับเป็วินาทีเชียว”
“5 แสน ถ้าไม่โอเค พรุ่งนี้เช้าก็ไม่ต้องมา นี่คือราคาที่พวกนายทดสอบฉัน ถ้ายังมีครั้งต่อไปอีก ฉันอาจจะอยากเปลี่ยนอาชีพเป็มือสังหารก็ได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้