“ช่วยข้าด้วย” ฟู่ผิงเซียงเห็นชายทั้งสองไม่สะทกสะท้านกับการที่นางโดนจับตัวไป จึงเกิดตื่นตระหนกขึ้นมา
กู้เจิงรู้สึกว่าตัวเองควบคุมฟู่ผิงเซียงได้ง่ายเกินไป พอเห็นท่าทีของชายสองคนนี้ ไหนเลยจะไม่เข้าใจ นางโน้มตัวลงข้างหูฟู่ผิงเซียง พร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า “ดูท่าพวกเขาจะไม่อยากช่วยเ้า”
ฟู่ผิงเซียงหวาดกลัวมาก นางกล่าวกับชายทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ข้าเป็ถึงบุตรสาวของตระกูลฟู่ ถ้าพวกเ้าไม่ช่วยข้า ไม่กลัวท่านอาข้าจะไปเอาเื่เสี่ยนอ๋องหรือไง?”
ชายสองคนนี้เป็คนของเสี่ยนอ๋องหรือ? กู้เจิงคิดไม่ถึงว่าฟู่ผิงเซียงจะสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายสามเสี่ยนอ๋องจริงๆ
“ไม่มีใครจะยืนยันได้ว่าคุณหนูฟู่กับจวนเสี่ยนอ๋องมีความเกี่ยวข้องกันหรอก” หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ “ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ๋องก็ให้พวกเราช่วยคุณหนูฟู่จับคนเท่านั้น เื่นอกเหนือจากนี้ไม่ได้เอ่ยถึง”
“พวกเ้ากล้าดียังไง?” ฟู่ผิงเซียงไม่อาจใช้ลูกน้องของแม่ทัพเยี่ยนมาทำงานนี้ได้ บังเอิญที่นางสนิทกับพระชายาเสี่ยน นางได้เล่าถึงความขมขื่นในใจของนางให้พระชายาเสี่ยนฟัง พระชายาเสี่ยนจึงรีบบอกว่าจะช่วยนาง ผลถึงได้ออกมาเช่นนี้
“ว่าแต่คุณหนูแห่งจวนป๋อเจวี๋ย คิดว่าตัวเองจะจัดการได้จริงๆ น่ะหรือ?” ทันใดนั้นชายทั้งสองคนก็ชักดาบออกมาจากเอวและเดินตรงไปหาพวกนาง
“พวกเ้าจะทำอะไร?” หนิงซิ่วหลันเห็นพวกเขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าดุร้ายก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
“พวกเ้าจะเดินเข้าไปข้างใน หรือจะตายภายใต้คมดาบของพวกเรา เลือกมาสักทางหนึ่ง” ทันทีที่ชายคนนั้นตวัดดาบ ต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ เขาก็โค่นล้มลงมาอย่างน่าเหลือเชื่อ
ไม่ว่าฟู่ผิงเซียงจะโง่แค่ไหน นางก็รู้ว่าพวกเขาไม่ได้พยายามช่วยนาง แม้แต่ตัวนางเองพวกเขาก็จะฆ่าด้วย
“เ้าเป็สตรีที่โง่ที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมา” กู้เจิงบังคับฟู่ผิงเซียงเดินไปด้านหลังทีละก้าว นางพูดเสียงเย็นว่า “เ้าเอาแต่คิดจะทำร้ายคนอื่น ทั้งอ่านสถานการณ์ไม่ออก ตอนนี้ยังถูกคนหลอกใช้ แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ยังไม่รู้จะรักษาไว้ได้หรือไม่”
ฟู่ผิงเซียงกัดริมฝีปากแน่น นางไม่เชื่อว่าพระชายาเสี่ยนจะปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ ทั้งที่นางเห็นอีกฝ่ายเป็เพื่อนมาตลอด มีอะไรก็บอกทุกอย่าง แต่อีกฝ่ายกลับ้าจะฆ่านางงั้นหรือ?
ทั้งสี่คนถอยหลังไปทีละก้าว จนกระทั่งมองไม่เห็นชายสองคนนั้น แต่ก็ไม่กล้าหยุดพัก
“พี่ใหญ่ เราจะไปไหนกันหรือเ้าคะ?” กู้เหยาถามขึ้น
“ข้าไม่รู้” กู้เจิงส่ายหน้า นางไม่คุ้นเคยกับูเาลูกนี้ “ฟ้ามืดแล้ว สิ่งเดียวที่พวกเราต้องทำคือมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วค่อยรอคนมาช่วยพวกเรา” พูดจบนางก็ผลักฟู่ผิงเซียงออกไป
ฟู่ผิงเซียงถูกผลักจนล้มลงกับพื้น นางมองกู้เจิงด้วยสีหน้าดุดัน
“เ้าปล่อยนางไปทำไม?” หนิงซิ่วหลันกลัวฟู่ผิงเซียง จึงจับแขนเสื้อของกู้เจิงไว้แน่น
“จับนางไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว” กู้เจิงปรายตาลงมองฟู่ผิงเซียงที่มีสีหน้าท่าทางจนตรอก “ไม่ว่าเ้าจะไปไหน อย่าตามพวกเราไปก็พอ” กล่าวจบ มือข้างหนึ่งก็จูงกู้เหยาส่วนอีกข้างจูงหนิงซิ่วหลันเดินลึกเข้าไปในป่า นางกลัวว่าชายชุดดำทั้งสองคนนั้นจะตามพวกนางอยู่ไม่ไกล
“พี่ใหญ่ นางยังตามพวกเราอยู่เลยเ้าค่ะ” กู้เหยาหันไปมอง เห็นฟู่ผิงเซียงเดินตามมาด้วยสีหน้าอึมครึม
กู้เจิงเมินเฉย นางเห็นเถาวัลย์หนาเท่านิ้วมืออยู่ข้างหน้าจึงดึงลงมาอย่างแรง แล้วหักกิ่งก้านไม้บางส่วนมาให้น้องสี่กับหนิงซิ่วหลันและเอ่ยว่า “ใช้เถาวัลย์มัดกิ่งก้านเหล่านี้ไว้รองฝ่าเท้า” ส่วนตนก็ทำของตัวเอง
“ทำแบบนี้มันก็เดินไม่สะดวกน่ะสิ?” หนิงซิ่วหลันไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นกู้เหยาเริ่มทำตามคำสั่งกู้เจิง นางจึงได้แต่ลงมือทำเช่นกัน หางตานางเหลือบเห็นฟู่ผิงเซียงกำลังจ้องพวกนางด้วยสายตาเ็า
หลังจากมัดเถาวัลย์เข้ากับเท้าเสร็จ กู้เจิงก็มองไปรอบๆ นางหยิบกิ่งไม้แห้งหนาเท่าข้อศอกมาสองท่อน นางคิดจะหักท่อนไม้แต่พละกำลังไม่พอ จึงได้แต่ส่งให้กู้เหยา “ถือไว้”
กู้เหยาคอยมองสิ่งที่พี่สาวทำอยู่ตลอดเวลา นางรู้สึกว่าพี่ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเหมือนเปลี่ยนไปเป็คนละคนกับที่นางเคยรู้จัก
“ถือไว้สิ” กู้เจิงพูดเสียงเข้ม นางเหนื่อยมากพอแล้ว กู้เหยายังมองนางด้วยท่าทางทึมทื่อเช่นนี้อีก
กู้เหยารีบรับมันมา
“อย่ามัวแต่มอง ไม้เท้าของเ้าต้องหาเอาเอง” กู้เจิงพูดกับหนิงซิ่วหลันที่มองนางอย่างทึมทื่ออีกคนด้วยความอารมณ์เสีย
“ไม้เท้า?” หนิงซิ่วหลันนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้า “ข้าเดินไหว ไม่ต้องใช้ไม้เท้าหรอก”
กู้เจิงหาอีกอันให้ตัวเอง แต่พอได้ยินหนิงซิ่วหลันพูดเช่นนี้ก็มองนางอย่างเฉยชา “อีกเดี๋ยวเกิดเื่อะไรขึ้นอย่าเรียกให้ข้าช่วยแล้วกัน”
หนิงซิ่วหลันหน้าขาวซีด รีบไปหาในทันที
รอบๆ ป่ามีกิ่งไม้มากมาย ไม่นานก็หาเจอ
“พี่ใหญ่ พวกเราจะทำอะไรกับของพวกนี้หรือเ้าคะ?” กู้เหยาถาม
ทันทีที่นางพูดจบ ก็ได้ยินหนิงซิ่วหลันกรีดร้อง เห็นนางเพิ่งดึงกิ่งไม้ออกมา แต่จู่ๆ ก็มีกับดักจับสัตว์ที่อยู่ใต้กิ่งไม้หนีบไม้ท่อนนั้นไว้ กับดักจับสัตว์มีขนาดใหญ่มาก หากเมื่อครู่คนเหยียบลงไป เกรงว่าเท้าทั้งข้างคงได้พิการแล้ว
“ตอนนี้พวกเ้าคงรู้แล้วว่าทำไมข้าถึงให้พวกเ้าผูกกิ่งไม้ไว้รองฝ่าเท้า ส่วนไม้เท้านี้” กู้เจิงใช้มันเสียบไปทางข้างหน้าอย่างแรงสองสามที “เวลาเดินให้ใช้แบบนี้”
ฟู่ผิงเซียงที่แอบเดินตามมาเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบหาเถาวัลย์มาทำบ้าง
ชาติก่อนกู้เจิงชอบปีนเขา แต่ที่เคยปีนล้วนแต่เป็ูเาลูกเล็กๆ ไหนเลยจะมีกับดักจับสัตว์หรือกรงอะไร พวกนี้ ของพวกนี้เป็สิ่งที่พอนึกออกในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี ก็ดีกว่าไม่หาอะไรมาป้องกันไว้เลย
ถ้าเสิ่นเยี่ยนหาพวกนางไม่เจอได้ทันเวลา สัตว์ป่าในตอนกลางคืนคงเป็สิ่งที่รับมือได้ยากที่สุด
กู้เจิงเดินนำหน้า และใช้ไม้เท้าเสียบทางข้างหน้าไปพลาง สิ่งที่นางกลัวที่สุดก็คือหลุมวางกับดักขนาดใหญ่ ประเภทที่ตกลงไปแล้วปีนขึ้นมาไม่ได้ นับว่าพวกนางโชคดีมาก ที่เจอแต่กับดักสัตว์เพียงไม่กี่ตัว
ไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่ไหนแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิท กู้เจิงหยุดฝีเท้าแล้วหันไปพูดกับอีกสองคนที่ตัวสั่นงันงกอยู่ด้านหลัง “พักกันหน่อยเถอะ”
“พี่ใหญ่ ท่านไม่หนาวหรือ?” กู้เหยาตัวสั่น ริมฝีปากเป็สีม่วง
“หนาวสิ เท้าข้าเปียกหมดแล้ว” กู้เจิงหน้าซีดเผือด สภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่
“ดูเหมือนพวกเราจะเดินขึ้นไปทาง้านะ” กู้เหยาพูด ทางยิ่งสูงชัน หิมะก็ยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ พอพูดจบ รู้สึกได้ว่าฝ่าเท้าลื่นไถล ยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมา ก็ถูกกู้เจิงดึงแขนไว้
“ระวังด้วย”
“ไม่เป็ไรแล้วเ้าค่ะพี่ใหญ่” มือของพี่ใหญ่นั้นแข็งแกร่งมาก กู้เหยาไม่เคยนึกว่าพี่ใหญ่ของนางนั้นจะพึ่งพาได้ขนาดนี้
“ข้าก็รู้สึกว่าพวกเรากำลังเดินขึ้นเขาอยู่เหมือนกัน” หนิงซิ่วหลันตัวเปียกั้แ่เท้าจนถึงหัวเข่า นางหนาวจนอยากจะร้องไห้
“ใช่ พวกเรากำลังเดินขึ้นยอดเขา” กู้เจิงมองไปรอบๆ ต้นไม้ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
กู้เหยาไม่เข้าใจ
หนิงซิ่วหลันโมโหจนอยากจะร้องไห้ออกมา “พวกเราควรเดินลงเขาสิ ทำไมเ้าถึงพาพวกเราเดินขึ้นเขาล่ะ”
ฟู่ผิงเซียงที่แอบเดินตามอยู่ห่างๆ สีหน้าเขียวคล้ำ ก่อนจะหันหลังเดินไป
ทว่าหนิงซิ่วหลันเดินได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับไปมองกู้เจิง “ท่านพี่กู้ ทำไมต้องเดินขึ้นยอดเขาด้วย”
กู้เจิงมองฟู่ผิงเซียงที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปจนไร้ซึ่งเงา สายตาจับจ้องไปยังหนิงซิ่วหลัน กล่าวว่า “แม้ข้าจะไม่รู้เส้นทางบนูเานี้ แต่เมื่อเรายิ่งเดินขึ้นไปบนยอดเขา ต้นไม้จะยิ่งน้อยลง และย่อมต้องไม่มีสัตว์ป่า ชายสองคนนั้นบอกว่านายพรานวางกับดักและหลุมพรางล่าสัตว์ไว้มากมายในป่า ยังไงพวกเราก็ออกไปไม่ได้”
“จริงด้วย พวกเขาพูดอย่างนั้น” หนิงซิ่วหลันพึมพำกับตัวเอง
“พวกเราไม่รู้วิธีเลี่ยงกับดักเหล่านี้ แต่สิ่งที่พวกเราทำได้คือพยายามไม่ไปเจอสัตว์ป่าตัวใหญ่ จึงต้องเดินขึ้นยอดเขา ต่อให้ตายบนยอดเขา ก็ยังดีกว่าถูกสัตว์ป่ากัดกิน” เื่ที่ไม่รู้ กู้เจิงจะไม่ดื้อรั้นเด็ดขาด นางจึงเลือกใช้วิธีที่โง่ที่สุด ขอเพียงรอดมาได้ ที่เหลือค่อยคิดหาวิธีอื่น
เมื่อจินตนาการถึงภาพที่ถูกสัตว์ป่ากัดกิน ทั้งสามคนก็สั่นสะท้าน
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง เสียงร้องโหยหวนของฟู่ผิงเซียงก็ดังแว่วมา
“พี่ใหญ่?” กู้เหยาจับมือกู้เจิงไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว
ในยามราตรีเงาระหว่างต้นไม้ไม่อาจมองเห็นได้ชัด และไม่รู้ว่ามีกับดักแบบไหนซ่อนอยู่ กู้เจิงมองความมืดที่อยู่เบื้องล่างอย่างเ็า
“ท่านพี่กู้ พวกเราต้องไปช่วยนางไหม?” หนิงซิ่วหลันกลัวจนร้องไห้ออกมา
ช่วย? หรือไม่ช่วย? กู้เจิงไม่ใช่คนใจแคบ เื่จำพวกเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยนั้นนางทำไม่ได้ เพียงแต่พอนึกถึงจิตใจชั่วร้ายของฟู่ผิงเซียง ที่พวกนางตกอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะนางเป็คนทำ จึงพูดออกมาสองคำจากใจว่า “ไม่ช่วย”
“ช่วยข้าด้วย พวกเ้าได้โปรดช่วยข้าด้วย” เสียงอ่อนแรงของฟู่ผิงเซียงดังมาแต่ไกล
กู้เจิงทำเป็ไม่ได้ยิน
“ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย...” เสียงขอให้ช่วยกรีดดังในยามค่ำคืน ตามสายลมป่าที่พัดพามาเป็ระยะๆ ฟังแล้วช่างวังเวง
กู้เจิงก้าวเท้าเร็วกว่าเดิม เสียงร้องเช่นนี้ กลัวแค่ว่าจะนำพาสัตว์ป่ามาถึงเร็วขึ้น ในฤดูหนาว พวกมันต้องกำลังหิวแน่
“พวกเราไปช่วยนางกันเถอะ?” หนิงซิ่วหลันหยุดฝีเท้า สบกับั์ตาเยือกเย็นของกู้เจิง อดพูดไม่ได้ว่า “ข้าใจไม่แข็งพอ ถึงอย่างไร ตอนเด็กๆ พวกเราก็เคยเล่นด้วยกันบ่อยๆ”
“ไม่ช่วย” กู้เจิงเอ่ยสองคำอย่างเด็ดเดี่ยว
“นั่นเป็ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งเชียวนะ”
“พูดราวกับว่าพวกเราไม่ใช่มนุษย์ เ้าอย่าได้ลืมไป เมื่อครู่นาง้าเอาชีวิตพวกเราสามคน และยิ่งอย่าลืมว่า ที่เราต้องมาพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็เป็เพราะนาง” เสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้น กู้เจิงเองก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ากัน นางรู้คุณค่าของชีวิตมนุษย์มากกว่าใครๆ