ในยุคสมัยนี้ การเดินทางออกนอกบ้านต้องมีหนังสือรับรอง การซื้อของต้องใช้สารพัดคูปอง แม้แต่การซื้อเสื้อผ้าก็เช่นกัน
ห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง ถึงอย่างไรก็คงเทียบกับห้างในยุคปัจจุบันไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าเสื้อผ้าปะชุนของเ้าของร่างเดิมมากนัก อีกทั้งผู้หญิงส่วนใหญ่ในหมู่บ้านมักจะซื้อผ้ามาตัดเย็บเอง รูปแบบจึงค่อนข้างธรรมดา
สวี่จือจือดูอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกซื้อเพียงเสื้อผ้าฝ้ายลายดอกไม้เล็กๆ สีชมพูตัวหนึ่ง กับกางเกงขายาวสีดำตัวหนึ่ง ที่จริงแล้วเธอชอบชุดกระโปรงระบายชายอีกตัวมากกว่า แต่ราคาแพงเกินไป อีกทั้งยังไม่เหมาะกับการใช้งานในชนบท
ในใจพลันเกิดความมุ่งมั่นว่าเมื่อนโยบายเปิดกว้างกว่านี้ เธอจะต้องหาเงินให้ได้มากๆ อยากใส่เสื้อผ้าแบบไหนก็ซื้อ อยากได้อะไรก็ซื้อ หรือแม้แต่จะซื้อเสื้อผ้าแบบเดียวกันแต่คนละสีมาใส่สลับกันเลย!
“เมื่อกี้ชุดกระโปรงตัวนั้นก็สวยดี ทำไมคุณไม่เอาล่ะ?” ลู่จิ่งซานถาม
“แพงเกินไป ไม่ค่อยได้ใช้” สวี่จือจือตอบ
ลู่จิ่งซานมองเธอแวบหนึ่งแล้วกล่าว “งั้นก็ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มอีกสักสองชุดเถอะ”
เดิมทีสวี่จือจือตั้งใจจะบอกว่าไม่เป็ไร เธอคิดว่าจะซื้อผ้ากลับไปตัดเสื้อเอง แต่ก็ต้องได้ยินลู่จิ่งซานพูดต่อว่า “ตามธรรมเนียมบ้านเรา อย่างน้อยต้องซื้อเสื้อผ้าให้ฝ่ายหญิงชุดหนึ่ง คุณจะให้ตระกูลลู่ขายหน้าไม่ได้หรอกใช่ไหม?”
แต่ธรรมเนียมนั้นมักจะเป็ตอนก่อนไปจดทะเบียนสมรส ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ใส่ไปจดทะเบียน จะมีบางคนที่ไม่อยากซื้อให้ภรรยาก็จะอ้างนู่นอ้างนี่ แล้วพอแต่งงานไปก็ไม่มีอะไรเลย มีธรรมเนียมแบบนี้ด้วยเหรอ?
แต่ใครจะไม่ดีใจเมื่อได้เสื้อผ้าใหม่ใส่กัน? สวี่จือจือจึงเลือกเสื้อผ้าแบบเรียบง่ายอีกสองชุด แม้จะเรียบง่ายแต่ราคาก็ไม่ถูกเลย
เพียงเท่านี้ก็ได้เสื้อผ้ามาสามชุดแล้ว สวี่จือจือเสียดายอยู่สามวินาที จากนั้นก็หัวเราะร่า
มีความสุขดีนี่นา!
จนกระทั่งลู่จิ่งซานบอกว่าจะพาเธอไปร้านอาหารของรัฐ ความสุขนั้นก็พุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุด
กินบะหมี่เนื้อสับไปคนละชาม สวี่จือจือก็ลูบท้องอย่างอิ่มเอมใจแล้วกล่าว “คุณนี่เป็คนดีจริงๆ” นี่เป็มื้อที่เธออิ่มและอร่อยที่สุดั้แ่ทะลุมิติมาเลย
ลู่จิ่งซานถึงกับจนใจ รู้สึกว่าเธอยิ่งเหมือนเด็กเข้าไปทุกที
ตอนกลับหมู่บ้าน คนที่นั่งคุยกันอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านต่างก็ทักทายเมื่อเห็นทั้งคู่ “จิ่งซานพาน้องสะใภ้คนใหม่ไปเที่ยวมาเหรอ?”
ลู่จิ่งซานเป็เด็กบ้านอื่นที่เก่งั้แ่เล็ก ตอนนี้เข้าไปอยู่ในกองทัพยิ่งเก่งกาจมากยิ่งขึ้น
เขาจอดรถแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “ครับ คุณยายสาม”
“คือว่าตอนก่อนแต่งงานยังไม่มีเวลาพาเธอไปซื้อเสื้อผ้า วันนี้เลยชดเชยให้น่ะครับ”
สวี่จือจือรู้สึกอบอุ่นในใจ ลู่จิ่งซานกำลังให้หน้าเธออยู่
ถึงแม้คนในชนบทจะใสซื่อ แต่ก็มีการเปรียบเทียบกัน
ใครที่สะใภ้ใหม่มีสินสอดเยอะ หรือตอนจดทะเบียนสมรสซื้อเสื้อผ้าไปกี่ชุดก็จะเอามาเปรียบเทียบกัน
ยิ่งมีสินเดิมเยอะก็แสดงว่าบ้านเดิมรักลูกสาวมาก
ยิ่งซื้อเสื้อผ้าเยอะก็แสดงว่าบ้านสามีให้ความสำคัญกับว่าที่ลูกสะใภ้มาก!
สวี่จือจือไม่มีสินสอดจะอวด ตอนก่อนแต่งงานก็ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้า ที่หมู่บ้านผานสือก็ถือเป็รายแรก
ตอนนี้ได้ยินว่าลู่จิ่งซานพาเธอไปซื้อเสื้อผ้า ทุกคนก็เลยเข้ามามุงดูกัน
“จุ๊ๆ...ซื้อไปตั้งสามชุดเลยนะ” มีสะใภ้คนหนึ่งพูดด้วยความอิจฉา “ต้องใช้เงินเยอะแค่ไหนกัน?”
ไม่ใช่แค่เงินเท่านั้น ยังต้องมีคูปองผ้าอีกด้วยนะ!
บ้านที่มีฐานะดีในหมู่บ้าน อย่างมากก็ซื้อแค่ชุดเดียวก็สุดยอดแล้ว
เมื่อก่อนยังมีคนที่ดูถูกสวี่จือจืออยู่บ้าง ตอนนี้กลับอิจฉาจนทนไม่ไหว
“จิ่งซานนี่รักเมียจริงๆ” มีชายคนหนึ่งพูดติดตลก
ทุกคนก็พากันแซวตาม
สวี่จือจือเห็นว่าโจวเป่าเฉิงก็ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่แววตานั้นก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
ตอนกลับถึงบ้านก็เงียบเหงา ยังได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ แว่วมา
สวี่จือจือเลิกคิ้ว ไม่รู้ว่าตอนที่พวกเขาไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ตอนนี้เธออยู่ในฐานะสะใภ้ใหม่ ถึงแม้ว่าในบ้านจะมีเื่อะไร ก็ไม่ใช่เื่ที่เธอต้องไปยุ่ง
“ฉันขอตัวกลับห้องก่อนนะ” สวี่จือจือพูดเบาๆ ยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงคนพูดขึ้น
“ใช่สวี่จือจือกลับมาแล้วหรือเปล่า?” เสียงของเหอเสวี่ยฉินดังมา “ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาไหม?”
“ค่ะ กลับมาแล้ว” สวี่จือจือตอบเสียงใส
“เอาเข้ามาให้พวกเราดูหน่อยสิ”
“ได้เลยค่ะ” สวี่จือจือกลอกตา
ลู่จิ่งซานอยากจะหัวเราะ
อย่างไม่รู้ตัว เขากลับรู้สึกว่าสวี่จือจือที่กลอกตาแบบนี้ช่างน่ารักเสียจริง
ตอนที่สวี่จือจือเข้าไปก็ไม่คิดว่าในห้องจะมีคนอยู่หลายคน
เหอเสวี่ยฉินนอนอยู่บนเตียง มีป้าใหญ่ลู่ไห่เสียนั่งอยู่บนขอบเตียง และยังมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่สวี่จือจือไม่รู้จัก
ลู่หลิงซานกับลู่ซื่ออวี่ก็อยู่ด้วย ตอนที่เห็นของในมือของเธอ ลู่หลิงซานถึงกับแทบจะพ่นไฟออกมา
“นี่ซื้อเสื้อผ้าไปกี่ชุดเหรอ?” เหอเสวี่ยฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
“สามชุดค่ะ” สวี่จือจือตอบ
“อะไรนะ?” ลู่หลิงซานพูดเสียงดัง “ซื้อตั้งสามชุด ทำไมเธอถึงได้โลภมากแบบนี้!”
หน้าไม่อายจริงๆ
“ก็ใช่” สวี่จือจือพูดอย่างจนปัญญา “ฉันก็ไม่อยากซื้อหรอก แต่พี่ชายของเธอไม่ยอม”
ลู่หลิงซานถึงกับพูดไม่ออก คนหน้าไม่อายคนนี้!
“จิ่งซานเป็คนรักภรรยา” เหอเสวี่ยฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดเลยว่าจะซื้อเสื้อผ้าให้เธอถึงสามชุด”
“ถึงเธอจะเป็สะใภ้ใหม่ แต่เื่นี้ในฐานะผู้ใหญ่ฉันก็ต้องพูดหน่อย” ลู่ไห่เสียหน้าตาบึ้งตึงแล้วกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “เงินช่วยเหลือของจิ่งซานนั้นเป็เงินที่เขาแลกมาด้วยชีวิต เธอจะเอาไปใช้จ่ายอย่างนี้ได้ยังไง...”
“เฮ้อ!”
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบก็ได้ยินเสียงเหอเสวี่ยฉินถอนหายใจ แล้วขัดคำพูดของลู่ไห่เสีย “เพิ่งแต่งงาน จิ่งซานก็รักภรรยา มันก็เป็เื่ที่เข้าใจได้”
“รักภรรยาแต่ก็ไม่ควรใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ ฉันได้ยินมาว่าเมื่อก่อนที่บ้านเดิมเธอไม่ได้เป็แบบนี้นี่” หญิงวัยกลางคนพูดเยาะเย้ยต่อ “จิ่งซานของเราเป็คนรักภรรยา แต่ในฐานะคนเป็ภรรยา เธอก็ควรจะเห็นใจสามีตัวเองไม่ใช่หรือไง?”
“ก็จริง เมื่อก่อนที่บ้านเดิมยังใส่เสื้อผ้าปะชุนอยู่เลย พอมาอยู่บ้านตระกูลลู่ก็สำออยขึ้นมาเลย?” ลู่ไห่เสียพูดอย่างขุ่นเคือง
“นี่...” เหอเสวี่ยฉินมองสวี่จือจือด้วยท่าทางลำบากใจ แล้วพูดกับลู่ไห่เสียและพี่สะใภ้ “พี่สาว พี่สะใภ้สาม อย่าโกรธเลย จือจือไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกค่ะ”
“ทำไมจะไม่ใช่?” ลู่ไห่เสียกล่าว “เพิ่งแต่งเข้ามาก็เป็แบบนี้แล้ว อีกหน่อยไม่รู้จะเอาของบ้านสามีไปจุนเจือบ้านเดิมของตัวเองหรือเปล่า”
เพราะฐานะของทั้งสองบ้านนั้นแตกต่างกันมาก บ้านตระกูลสวี่เป็ยังไง คนทั้งประชาคมชีหลี่คงไม่มีใครไม่รู้
“แล้วพวกคุณจะให้ทำยังไงล่ะคะ?” สวี่จือจือพูดด้วยรอยยิ้ม
นี่ไม่ได้มาดูเสื้อผ้าใหม่สักหน่อย นี่มันเป็การไต่สวนสามฝ่ายชัดๆ!
“พี่สาว ว่าไงดี?” เหอเสวี่ยฉินทำท่าทางลำบากใจ “เสื้อผ้าเราก็ซื้อมาแล้ว จะให้เอาไปคืนคงไม่ได้หรอกมั้ง”
“ทำไมจะคืนไม่ได้?” ลู่ไห่เสียสีหน้าตาบึ้งตึง “พี่สะใภ้ที่บ้านเดิมของเธอไม่ได้ทำงานอยู่ในห้างสรรพสินค้าเหรอ? ลองไปบอกดูสิว่าจะคืนได้ไหม? ถ้าคืนไม่ได้เราก็เอาไปเปลี่ยนให้เด็กสองคนนี้คนละชุดก็ยังได้”
“จือจือ เธอว่ายังไง?” เหอเสวี่ยฉินมองเธอด้วยความเอ็นดู
“เสวี่ยฉิน เธอใจดีเกินไปแล้วนะ เธอเป็แม่สามีคนแล้ว ทำไมยังต้องถามความคิดเห็นลูกสะใภ้อยู่อีก?”
“ไอ๊หยา มีแม่สามีแบบเธอ สงสัยจะโชคดีเหมือนได้ขึ้น์”
ลู่ไห่เสียกับสะใภ้สามพูดด้วยรอยยิ้ม
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้