“คุณหนูเอ่ยเช่นนั้นได้อย่างไรกันเ้าคะ” แม่นมฉินยิ้มแฉ่ง พร้อมคำนับฉินหยีหนิงด้วยความเคารพ อีกสองสามอึดใจคนที่ตามมาด้วยนั้นก็ได้มาถึงเช่นกัน
“ในใจของล่าวไท่จุนนึกถึงคุณหนู ได้ยินมาว่านายท่านสั่งห้ามไม่อนุญาตให้บ่าวของคุณหนูมาที่ศาลบรรพบุรุษด้วย จึงสั่งการเป็พิเศษให้บ่าวพาคนสองคนมาที่นี่ด้วย นี่คือเก๋อเจียและนี่คือเสี่ยวหลิง หลายวันนับจากนี้ทั้งสองจะอยู่เพื่อดูแลรับใช้คุณหนูที่นี่เ้าค่ะ”
เก๋อเจียและเสี่ยวหลิงต่างก็คำนับอย่างอ่อนน้อม
ฉินหยีหนิงยิ้มและเอ่ย “ยากมากที่ล่าวไท่จุนจะนึกถึงข้า”
“คุณหนูเอาคำพูดนี้มาจากไหนกันเ้าคะ ล่าวไท่จุนเป็ท่านย่าของท่าน มีเหตุผลใดกันจะไม่นึกถึงท่านละเ้าคะ?” แม่นมฉินหันไปหาเก๋อเจียและเสี่ยวหลิงพร้อมสั่งความและพาไปยังห้องด้านข้างซึ่งฉินหยีหนิงจะอยู่อาศัยในหลายวันนี้ ก่อนกล่าวประโยคถัดมา “อาหารในหลายวันนี้ ก็สั่งให้พวกนางเอามาให้ คุณหนูสบายใจได้เ้าค่ะ”
“มีล่าวไท่จุนกับแม่นมฉินคอยดูแล มีที่ไหนที่ข้ายังไม่สบายใจล่ะเ้าคะ ดีเหมือนกันที่นี่มีความเงียบสงบ ข้าก็จะได้จดจ่ออ่านหนังสือ”
เห็นสีหน้าของฉินหยีหนิงเป็ปกติ ไม่มีความกังวลหรือไม่พอใจเฉกเช่นคนโดนลงโทษเลย แม่นมฉินก็รู้สึกว่านางกระทำการใดด้วยความกล้าหาญ แท้จริงแล้วนางมีอุปนิสัยเหมือนฉินหวยหยวนตอนที่ยังเป็หนุ่ม
แม่นมฉินสั่งกำชับให้เก๋อเจียและเสี่ยวหลิงดูแลอย่างดีที่สุด และสั่งบ่าวร่างใหญ่ให้เฝ้าประตูให้ดีๆ “อย่าคิดว่าดูแค่ประตูไม่ให้คุณหนูออกไปก็ถือว่าเสร็จกิจแล้ว แต่ว่าการดูแลคุณหนูอย่างดีที่สุดต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ถึงแม้ว่าคุณหนูจะได้รับคำสั่งจากเซียงแหย่ให้มาที่นี่เพื่อท่องหนังสือ แต่นางก็ยังคงเป็ดวงใจของเซียงแหย่อยู่ดี”
แน่นอนว่า บ่าวร่างใหญ่เห็นแม่นมฉินมาที่นี่โดยเฉพาะ ก็ต้องเริ่มจริงจังขึ้นมาแล้ว ยามนั้นนางยิ่งย้ำทวนคำอีกหลายหน “ท่านสบายใจเถิดเ้าค่ะ”
ครั้นตรวจตราว่าทุกอย่างได้จัดการเรียบร้อยและไม่มีที่ผิดพลาดแล้วนั้น แม่นมฉินจึงได้คำนับให้ฉินหยีหนิง “บ่าวยังต้องกลับไปดูแลล่าวไท่จุนอีก นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณหนูพักผ่อนก่อนเถิดเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงรีบคำนับคืนและพูดตอบด้วยความซาบซึ้ง “ขอบพระคุณแม่นมฉินที่มาที่นี่”
“นี่เป็หน้าที่ของบ่าวนะเ้าคะ”
...
และแล้วทั้งสองพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง จากนั้นฉินหยีหนิงได้เดินมาส่งแม่นมฉินที่หน้าลานของศาลบรรพบุรุษ และกลับไปที่ห้องของตน
ฝ่ายแม่นมฉินกลับไปที่เรือนสื่อเซี่ยว เดินแวะเข้าห้องหลักเพื่อดูการจัดการเวรยามกะดึกว่าเป็อย่างไรบ้าง
ภายในอีกห้องหนึ่ง ฉินฮุ่ยหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวกุ้นเฟย เปิดหน้าต่างเล็กน้อยเพื่อดูความเคลื่อนไหวข้างนอกให้ได้เห็นชัดเจน
“ล่าวไท่จุนช่างมีเมตตา ที่แท้ก็ดีกับหลานสาวแท้ๆ อย่างไม่ธรรมดาจริงๆ” จากนั้นก็ได้ปิดหน้าต่างอย่างช้าๆ ใบหน้าของฉินฮุ่ยหนิงยิ้มเยาะเย้ยและเดินเข้าไปในห้องข้างใน
แม่นมช่ายเอ่ยขึ้น “คุณหนูอย่าคิดมากเลยเ้าค่ะ ล่าวไท่จุนก็ทำให้ดูดีไปอย่างนั้นแหละเ้าคะ นางเป็ผู้าุโยังจะต้องมีชื่อเสียงด้านคุณธรรมนะเ้าคะ อีกอย่างเื่นี้ก็เป็เื่ใหญ่ สายตาของคนเบื้องบนเบื้องล่างก็กำลังมองดูอยู่”
ฉินฮุ่ยหนิงยิ้มเยาะ “แม้แต่แม่นมก็ยังรู้เลยว่าเื่ของเ้าเด็กป่านั่นมีคนดูอยู่ตั้งเท่าไร แต่ล่าวไท่จุนกับท่านพ่อของข้าทำไมถึงไม่รู้นะ ช่างกล้าไปที่จวนอ๋องเพื่อเจอผู้ชายข้างนอก นางก็น่าจะกินหัวใจหมีเสือดาวถึงได้กล้าและกลายร่างเป็หญิงมารยาเสน่หา ใครจะไปรู้ว่าได้ทำอะไรต่ำช้าสกปรกไปแล้วบ้าง!
ั้แ่นางกลับมาก็มากดสถานะของข้า ตบข้า ล่าวไท่จุนยังไม่ลงโทษหนักเลย ทำความผิดไป ก็เพียงแค่ให้ท่องหนังสือ แม้แต่ท่านยายก็ยังยกกิจการจ้าวหยุนซือให้นางอีก เลี้ยงดูข้ามาสิบสี่ปีก็ไม่เห็นว่าจะให้อะไรข้าเลย!
ตอนนี้คนในบ้านทุกคนล้วนเข้าข้างนางกันหมดแล้ว หากไม่ใช้โอกาสตอนที่นางโดนกักบริเวณนี้ทำอะไรสักอย่างละก็ ข้าเกรงว่าจะไม่มีโอกาสที่ดีแล้วล่ะ!” สายตาของฉินฮุ่ยหนิงมืดมนและน่ากลัว
“คุณหนู ตอนนี้นายท่านกำลังโกรธอยู่ ท่านรอก่อนสักพักได้หรือไม่เ้าคะ?” แม่นมช่ายมีความกังวล
“รอ! รอ! ข้าจะต้องรอถึงเมื่อไร? หรือว่าจะต้องรอให้เ้าเด็กป่านั่นมาเหยียบข้าหรืออย่างไร!” ฉินฮุ่ยหนิงกดเสียงตัวเองให้เบาลง น้ำตาร่วงลงมาอาบแก้ม “แม่นมรับรู้ถึงความทุกข์ของข้ามากที่สุด หลายวันมานี้ข้าโดนดูถูกเหยียดหยามมามากกว่าที่ข้าโดนมาทั้งชีวิตรวมกันเสียอีก ท่านจะให้ข้ารอได้อย่างไร”
ท่าทีของฉินฮุ่ยหนิงยามกล่าวถ้อยคำเ่าั้ส่งผลให้ในใจของแม่นมช่ายรู้สึกเ็ปขึ้นมา นางเม้มปากและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “คุณหนูสบายใจเถิดเ้าค่ะ ความจริงแล้วจะต่อสู้กับนางง่ายนิดเดียว ตอนนี้นางโดนกักบริเวณอยู่ที่ศาลบรรพบุรุษ พวกเราทำอะไรนางไม่ได้ แต่สามารถตัดปีกของนาง ทำให้นางไม่มีคนคอยรับใช้ก็ได้แล้วเ้าค่ะ”
หลังประโยคนั้นจบ ฉินฮุ่ยหนิงเบิกตากว้างสดใสขึ้นทันควัน “แม่นมมีวิธีแล้วหรือ?”
แม่นมช่ายพยักหน้าและพูดว่า “นี่ยังไม่ง่ายอีกหรือ? คุณหนูลองคิดดูนะเ้าคะ นางเพิ่งกลับมาที่จวน คนรอบข้างก็ไม่มีใครที่สามารถเชื่อถือได้ ถ้าพวกเรานำคนที่สนิทกับนางมากที่สุดตัดออกไป แสดงให้ผู้คนเห็นว่า คนรอบข้าง นางยังไม่มีปัญญาดูแล วันหลังยังจะมีใครกล้าทุ่มเทกายใจรับใช้นางละเ้าคะ? อยู่ในจวนใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าไม่มีคนที่ทุ่มเทคอยสนับสนุนให้ ข้าคิดว่าชีวิตนี้น่าจะจบแล้ว”
“แม่นมพูดถูกที่สุด ไม่มีคนสนิทอยู่ข้างๆ นางก็คงทำอะไรไม่ได้มาก วันข้างหน้าไม่ใช่ว่าจะอยู่ในกำมือของพวกเราหรือ?” ฉินฮุ่ยหนิงออดอ้อนโผกอดแม่นมช่าย จากนั้นก็ถอนหายใจพร้อมเอ่ยขึ้น “ดีที่ข้างๆ กายข้ามีแม่นมช่ายอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร”
แม่นมช่ายซาบซึ้งอย่างมาก นางกล่าวตอบ “คุณหนูโตมาด้วยนมของบ่าว ถ้าบ่าวไม่ทุ่มเทใจให้คุณหนู แล้วบ่าวจะทุ่มเทใจให้ใครละเ้าคะ?”
เมื่อนึกถึงเื่แม่นมจิน แม่นมช่ายก็เอ่ยขึ้นอีกหน “บ่าวทุ่มเทกายใจให้คุณหนู ก็เหมือนคุณน้าของบ่าวที่ทุ่มเทกายใจให้ฮูหยิน นางทำอะไรก็เพราะได้รับคำสั่งก็เท่านั้น คุณหนูอย่าถือโกรธโทษอะไรนางเลยนะเ้าคะ”
แน่นอนว่าฉินฮุ่ยหนิงรับรู้ถึงความกังวลของแม่นมช่าย ยายแก่แม่นมจินเปลี่ยนสีเร็วเกินไป แต่ก็ไม่ใช่เพราะว่าท่าทีของซุนซื่อที่เปลี่ยนไปหรอกหรือ?
ใจของฉินฮุ่ยหนิงมีความโกรธเกลียดชัง คิดโทษแม่นมช่ายที่ไม่ได้จัดการเื่น้าของตนให้ดีแต่ก็พูดออกมาไม่ได้ เพียงแค่ปลอบใจแม่นมช่าย จากนั้นนางจึงมาคิดพิจารณาเื่บ่าวของฉินหยีหนิงอย่างรอบคอบว่าจะลงมืออย่างไรดี
**
ในศาลบรรพบุรุษ ฉินหยีหนิงท่องหนังสือใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ข้อแรก ที่นี่เื่กินเื่อยู่ได้รับการดูแลเป็อย่างดี
ข้อที่สอง นางมีความสามารถที่เห็นแล้วจำ
อย่าว่าแต่หนังสือ ‘คำสั่งห้ามของผู้หญิง’ กับหนังสือ ‘การสั่งสอนภายใน’ เลย แม้แต่หนังสือสี่เล่มสำหรับผู้หญิง นางยังท่องจำได้อย่างง่ายดาย
อย่างเดียวที่ไม่ดี ก็คือข่าวข้างนอกมาถึงช้านัก
เนื่องจากซุนซื่อกลับบ้านท่านยายไปสามวันแล้ว ฉินหยีหนิงถึงรู้ข่าวเพราะได้ยินเก๋อเจียกับเสี่ยวหลิงซุบซิบคุยกัน
นางคิดว่าวิธีจัดการของซุนซื่อไม่ดีเลย ทะเลาะกันทีไรก็โวยวายกลับบ้านแม่ยาย แค่นับหลังจากที่นางกลับเข้าตระกูลมา หลายวันนี้ก็เห็นว่ามารดากลับบ้านแม่ยายไปแล้วสองครั้ง อย่าว่าแต่คนบ้านสามีจะรู้สึกไม่ดีเลย คนบ้านแม่ยายเองก็คงระอามารดาแล้ว
ซุนซื่อใช้สถานะตระกูลติ้งกั๋วกงของนาง ซึ่งช่วยเหลือฉินหวยหยวนมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย
ฉินหยีหนิงรู้สึกว่าตนเองก็มีต้นตระกูลที่ดีพอสมควร หากวันข้างหน้าได้แต่งงานกับคุณชายผู้หนึ่งแล้ว จะนำเื่นี้มาเป็ประสบการณ์ เรียนรู้ไม่ทำตัวเหมือนซุนซื่อที่ทำให้คนอื่นรู้สึกรำคาญ
ไม่รู้ว่าเรือนเสวี่ยลี่ตอนนี้จะเป็อย่างไรบ้างแล้ว
แต่ว่าท่านพ่อได้ออกคำสั่งไว้ว่าให้บ่าวทุกคนปิดบ้านและพิเคราะห์ คิดว่าน่าจะป้องกันได้ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้เจอผู้คนภายนอก แน่นอนว่าไม่เจออันตรายแล้ว
ชีวิตที่สงบสุขผ่านไปแล้วสามวัน ระหว่างนั้น ฉินเจียหนิงก็ได้เข้าพิธีปักปิ่น ส่วนเื่วันจะแต่งงานกับคุณชายเจี้ยนอันป๋อก็ถูกกำหนดไว้เรียบร้อย
ข่าวดังกล่าวก็ยังคงได้ยินมาจากปากของเก๋อเจียกับเสี่ยวหลิง
วันนั้นเป็วันที่ฉินหยีหนิงถูกกักบริเวณในศาลบรรพบุรุษเป็วันที่เจ็ด
ฉินหยีหนิงได้รับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ในขณะกำลังรับชาร้อนๆ จากเสี่ยวหลิงเพื่อล้างปาก ทันใดนั้นข้างหน้าประตูกลับมีเสียงแหลมะโเข้ามา
“คุณหนูสี่ ท่านช่วยรุ่ยหลานด้วย”
ฉินหยีหนิงรู้สึกใมาก นางสามารถแยกแยะได้ว่าเสียงนี้เป็เสียงของชิวหลู่ นางรีบวิ่งออกไปด้านนอก
คนของเรือนเสวี่ยลี่ไม่ใช่ว่าต้องโดนกักบริเวณเพื่อพิเคราะห์หรอกหรือ?
เกิดเื่ขึ้นได้อย่างไรกัน?
“คุณหนูสี่ อย่ารีบเลยนะเ้าคะ ระวังชนนะเ้าคะ” เก๋อเจียกับเสี่ยวหลิงรีบวิ่งตามออกมาด้วย
ประตูศาลบรรพบุรุษถูกเปิดขึ้น ฉินหยีหนิงเห็นบ่าวร่างใหญ่สองคนกำลังกักตัวชิวหลู่ไม่ให้เข้ามา ตอนนี้ผมของชิวหลู่กระเซอะกระเซิง มีน้ำตานองเต็มใบหน้า ปกตินางเป็คนเคร่งขรึมไม่ค่อยพูด ทว่ากลับร้องไห้จนคล้ายคนเ้าน้ำตา และยิ่งทำให้ดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่
ทันทีที่ได้เห็นหน้าฉินหยีหนิง ชิวหลู่ก็อ้าปากจะเอ่ยคำ แต่ถูกบ่าวร่างใหญ่ปิดปากเอาไว้ นางร้อนใจจนตาแดง ได้ยินเสียง “วูๆ” น้ำตาร่วงผล็อยๆ
ชิวหลู่เสี่ยงความตายเพื่อมาบอกข่าวที่นี่เป็แน่
“หยุดนะ”
ฉินหยีหนิงดันเก๋อเจียกับเสี่ยวหลิงออกห่าง นางเดินไปข้างหน้าสองก้าว ดึงข้อศอกของบ่าวร่างใหญ่โดยใช้แรงที่มี ก็ทำให้บ่าวร่างใหญ่รู้สึกเจ็บจนต้องร้องเสียงดังออกมา “โอ๊ยๆ”
บ่าวร่างใหญ่ทั้งสองไม่กล้าจับชิวหลู่อีก
“ชิวหลู่เกิดอะไรขึ้น? ที่เรือนมีเื่อะไรหรือ? เ้าพูดว่ารุ่ยหลาน ทำไมหรือ?”
“คุณหนู เมื่อคืนปี้ถงคนของคุณหนูฉินฮุ่ยหนิงมาที่เรือนเ้าค่ะ นางเรียกรุ่ยหลานให้ออกไป ตอนแรกพี่รุ่ยหลานก็ไม่ออกไป แต่ไม่รู้ว่าปี้ถงได้พูดอะไร ในที่สุดก็ทำได้เพียงตามนางไป ผลก็คือพี่รุ่ยหลานไม่ได้กลับมาทั้งคืนเ้าค่ะ
วันนี้ตอนเช้า มีข่าวลือจากเรือนของล่าวไท่จุนออกมา บอกว่าเรือนสื่อเซี่ยวจับขโมยได้ นางขโมยของของล่าวไท่จุน และถูกคนของคุณหนูฉินฮุ่ยหนิงจับได้แล้ว บอกว่าขโมยคนนั้นก็คือรุ่ยหลาน ล่าวไท่จุนโมโหมาก จึงมีคำสั่งให้ลงโทษพี่รุ่ยหลาน โดยโบยด้วยไม้กระดานสี่สิบที โบยเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ทิ้งออกไปข้างนอกจวน
คุณหนู พี่รุ่ยหลานต้องโดนใส่ร้ายเป็แน่เ้าค่ะ โบยด้วยไม้กระดานสี่สิบทีเช่นนี้ถึงกับตายได้เลยนะเ้าคะ
ครอบครัวของพี่รุ่ยหลานยังมีแม่ที่อายุมากและยังมีน้องชายน้องสาว ถ้านางเป็อะไรไป คนในบ้านของนางก็คงต้องจบสิ้นเป็แน่ ขอคุณหนูได้โปรดช่วยนางด้วยนะเ้าคะ”
ชิวหลู่มีจิตใจดีและมีความจริงใจมาก และไม่รู้จักหลบซ่อนกันบ้างเลย นึกไม่ถึงว่าจะร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางพูดออกมาจนจบ
บ่าวร่างใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง เก๋อเจียและเสี่ยวหลิงล้วนได้ยินคำบอกเล่า ในใจพลอยคิดคาดเดา
ฉินหยีหนิงก็รู้เช่นกันว่าต้องเป็ฝีมือของฉินฮุ่ยหนิงที่ใช้โอกาสในขณะที่นางไม่อยู่เรือนเสวี่ยลี่ ฝ่ายนั้นคงพยายามกำจัดคนของนางออกไป ไม่เพียงแค่ตัดปีกซ้ายขวาของนางเท่านั้น แต่ยังทำให้ล่าวไท่จุนรู้สึกว่าลูกน้องไม่ดีแสดงว่าเ้านายก็ไม่ดีด้วย
หากรุ่ยหลานถูกฉินฮุ่ยหนิงปองร้ายไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นความพยายามของนางที่ผ่านมาคงจะไร้ประโยชน์เป็แน่
คนรอบกายตนเองยังไม่สามารถปกป้องได้เลย อนาคตนางจะปกครองคนได้อย่างไร? ไม่ง่ายเลยที่นางจะมีคนที่รู้ใจด้วย วันข้างหน้าหรือว่าจะต้องต่อสู้ด้วยตัวคนเดียวหรือ?
ไม่สิ! จะต้องช่วยรุ่ยหลาน
ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉินหยีหนิงจะถูกกักบริเวณให้ท่องหนังสือ แต่ในใจนั้นมีความกังวลเื่ช่วยเหลือคน และไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว นางก้าวเท้าเดินออกไปทันที
ขณะเดียวกัน ในตรอกเล็กก็มีเสียงดังออกมา “คุณหนูหยุดก่อนเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงหันหลังไปมอง คนที่กำลังเดินเข้ามานั้นคือแม่นมฉิน ซึ่งไม่รู้ว่านางมาที่นี่นานเท่าไรแล้ว ได้ยินมาแล้วเท่าไร
“แม่นมฉิน” ฉินหยีหนิงกดความกังวลและความรีบร้อนเอาไว้ พร้อมเอ่ยทักทายแม่นมฉินอย่างสุภาพ
แม่นมฉินคำนับแล้ว จากนั้นเอ่ยด้วยความจริงจัง “คุณหนู ท่านอย่าลืมนะเ้าคะ ว่าตอนนี้คุณหนูถูกกักบริเวณอยู่และนี่เป็คำสั่งของเซียงแหย่อีกด้วย ไม่มีคำพูดออกมาจากปากของเซียงแหย่ว่าให้ออกไป ท่านจะออกไปนอกบริเวณศาลบรรพบุรุษไม่ได้นะเ้าคะ ถึงคุณหนูออกไปแล้ว หลักฐานมันชัดเจนอยู่แล้ว และจะช่วยคนได้อย่างไรเ้าคะ? รุ่ยหลานขโมยกำไลหยกของล่าวไท่จุน นั่นมันคือหลักฐาน จับได้ทั้งคนทั้งหลักฐาน”
ฉินหยีหนิงเมื่อได้ยินคำพูด ฉับพลันนั้นรู้สึกราวกับมีน้ำเย็นกำลังเทสาดลงมา
ถ้าไม่มีหลักฐาน นางจะช่วยชีวิตคนได้อย่างไร