เมื่อฉินหยีหนิงเห็นว่าบิดายังมีความขุ่นเคืองอยู่ จึงรีบคุกเข่าตรงเบื้องหน้าของฉินหวยหยวนและเอ่ยด้วยเสียงกระซิบหนึ่งประโยค “ลูกโง่เองที่ติดกับดักแผนการของท่านอ๋องหนิง” พูดเพียงแค่ประโยคเดียว จากนั้นนางก็ไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย
ฉินหวยหยวนรอคำสารภาพยอมรับผิดของฉินหยีหนิงนานพอสมควร แต่นางก็ไม่กล่าวคำใดแม้แต่น้อย นางรู้สึกว่าความผิดพลาดอย่างเดียวที่นางได้กระทำก็คือ การติดกับดัก แต่ไม่ใช่เพราะเื่ที่นางได้ตัดสินใจไปช่วยชีวิตคนด้วยตัวคนเดียว
ฉินหวยหยวนโมโหมากและยังรู้สึกว่าน่าขำขันอีกด้วย เด็กคนนี้ยังกล้าดื้อดึงต่อหน้าตนหรือ?
ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากสั่งสอน กลับมีเสียงเล็กๆ สั่นเทาของบ่าวรับใช้แทรกดังเข้ามาในหู “รายงานนายท่าน คนข้างในฝากบอกมาว่า ฮูหยินใหญ่กำลังจะออกประตูสองแล้วขอรับ นายท่านให้คำแนะนำหน่อยเถิดขอรับ” ท่านพูดหน่อยเถิด อย่างน้อยตอบมาประโยคเดียวก็ยังดี
ฉินหวยหยวนเป็คนเงียบขรึมและรักความสันโดษ หลังจากได้ฟังเื่ที่ซุนซื่อสร้างปัญหาขึ้นมาอีก เขาก็คล้ายจะสุดทนจึงเปล่งเสียงพูดอย่างดุเดือด “นางอยากจะไป ก็ให้นางไสหัวออกไป ไม่กลับมาอีกจะเป็การดีที่สุด”
เสี่ยวซือเมื่อได้ยินถ้อยคำของผู้เป็นายก็รับรู้ได้ว่า ฉินหวยหยวนกำลังโมโหเกรี้ยวกราดอยู่ เขาจึงคำนับขอตัวลาและวิ่งออกไป
เขาใช้มือเท้าหน้าผาก น้ำหนักครึ่งตัวของเขากดทับอยู่บนโต๊ะไม้สนทรงสี่เหลี่ยมด้วยท่าทางอ่อนล้าและเหนื่อยมาก
ฉินหยีหนิงเห็นฉินหวยหยวนเป็เช่นนั้น ในใจก็ยิ่งรู้สึกผิดไปอีก
เป็ท่านพ่อที่รับนางกลับมาจากเมืองเหลียง
เป็ท่านพ่อที่ช่วยชีวิตไม่ให้นางถูกส่งตัวออกไปอยู่บ้านเถียน
เป็คำพูดประโยคเดียวของท่านพ่อที่ตัดสินสถานะของนางว่าเป็ทายาทหญิงคนโตที่แท้จริง
ท่านพ่อเป็คนเก่งและมีความสามารถโดดเด่น วัยสี่สิบต้นๆ ก็ขึ้นแท่นเป็อัครมหาเสนาบดีในราชสำนักแล้ว
ทุกสิ่งเหล่านี้เมื่อมาทับซ้อนรวมกัน ก็ยิ่งทำให้ฉินหยีหนิงชื่นชมฉินหวยหยวนลึกซึ้งมากขึ้น
นางมองออกว่า ท่านแม่ไม่มีความสามารถและมีอุปนิสัยหยิ่งทระนงมาก ความคิดความอ่านของท่านแม่กับท่านพ่อก็แตกต่างกัน พูดกันคนละภาษาย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจกันได้เลย นั่นทำให้ท่านพ่อรู้สึกกลัดกลุ้มและรำคาญมาก
แต่นางกลับสร้างปัญหาให้ท่านพ่อมากขึ้น เพียงเพราะความใจอ่อนของนางที่หวังเพียงแค่จะช่วยชีวิตผู้อื่น
นางไม่เสียใจที่ได้ช่วยชีวิตผู้คน แต่เกลียดตัวเองที่ติดกับดักนั่น
“ท่านพ่ออย่าโมโหเลยเ้าค่ะ ลูกรู้แล้วว่าลูกได้กระทำผิดไป ท่านทำงานข้างนอกก็เหนื่อยกายเหนื่อยใจมามากพอแล้ว กลับมาที่บ้านก็ยังต้องมาเผชิญหน้ากับความวุ่นวายนี้อีก รวมทั้งต้องมาจัดการปัญหาที่ลูกได้สร้างไว้ เป็เพราะลูกผิดเอง ครั้งนี้เป็เพราะว่าลูกทนไม่ได้ที่จะเห็นคนสองครอบครัวซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยต้องมาลำบาก จึงคิดพยายามช่วย แต่ท่านอ๋องหนิงคืนคนมาให้อย่างง่ายดาย และให้นางมาเป็บ่าวของลูก ลูกก็รู้ในทันทีว่าลูกได้ติดกับดักเข้าแล้ว วันข้างหน้าลูกจะไม่หุนหันพลันแล่นเช่นนั้นอีกแล้ว หากจะทำการใดๆ จะต้องคิดแล้วคิดอีกถึงจะทำ ขอท่านพ่ออย่าได้โกรธเลยนะเ้าคะ ถ้าโกรธมากแล้ว ไม่ดีต่อสุขภาพขึ้นมา จะดีได้อย่างไรกันเ้าคะ?”
หน้าผากของฉินหยีหนิงก้มต่ำติดพื้น ท่าทียอมรับผิดมีความจริงใจมากยิ่งขึ้น
ฉินหวยหยวนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
จากคำพูดประโยคหนึ่งของฉินหยีหนิง ฉินหวยหยวนมีความเข้าใจความคิดของนางแล้ว
ดูเหมือนว่าเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้คิดว่าการช่วยคนอื่นเป็เื่ที่ผิด แต่เพียงมีความเสียใจและโกรธที่ตนติดกับดักเข้าแล้ว?
เขาอยากจะสั่งสอนลูกสาวว่า ‘กวาดหิมะที่หน้าประตู ทิ้งน้ำค้างแข็งไว้ที่คนอื่น’ แต่คำพูดซึ่งเป็ผลประโยชน์เช่นนั้นฉินหวยหยวนไม่สามารถพูดต่อหน้าลูกสาวได้
ยิ่งไปกว่านั้นฉินหวยหยวนรู้สึกเสมอว่า ‘ไม่มีใครรับฟังปัญหา’ แต่นึกไม่ถึงว่า คำพูดบางคำที่แสดงถึงความเข้าใจ ไม่ได้ออกมาจากปากท่านแม่หรือภรรยาของเขา แต่กลับเป็บุตรีที่ได้เอ่ยในสิ่งที่เขา้าฟังมากที่สุดออกมา
เอาเถอะ
เขาเป็คนทำงานในราชสำนักมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว ในเมื่อเกิดเื่ขึ้น เขาไม่อาจจับเื่นี้โดยไม่ปล่อยแน่ ไม่มีเวลามานั่งบ่นฟ้าดินถึงเพียงนั้น สู้มาคิดหาวิธีรับมือยังจะดีเสียกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉินหวยหยวนก็ได้เอ่ยขึ้น “เสี่ยวซือ”
มีเสียงตอบรับจากบ่าวที่อยู่ข้างนอก
ฉินหวยหยวนมองฉินหยีหนิงซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นและเอ่ยพูดช้าๆ “พาคุณหนูสี่ไปที่ศาลบรรพบุรุษและให้ท่องหนังสือ ‘คำสั่งห้ามของผู้หญิง’ กับหนังสือ ‘การสั่งสอนภายใน’ ถ้ายังท่องไม่จำ ก็อย่าคิดจะออกมาโดยเด็ดขาด และในระหว่างนั้นบ่าวทั้งหลายของคุณหนูสี่ก็ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้คุณหนูสี่ บ่าวทั้งหมดนี้ให้กักบริเวณอยู่ในเรือนเสวี่ยลี่เพื่อคิดพิเคราะห์”
“เ้าค่ะ ลูกขอบพระคุณท่านพ่อที่สั่งสอนเ้าค่ะ”
และแล้วข่าวดังกล่าวก็ได้เข้ามาถึงหูของซุนซื่อที่ยังคงอดทนรออยู่หน้าประตูฉวนฮวา นางโมโหจนทุบเครื่องทองเหลืองซึ่งเป็กระถางอุ่นมือของนางทันที ส่งผลให้กระถางบุบเว้า และถ่านร้อนที่อยู่ข้างในกระเด็นหล่นเต็มพื้น
“ช่างเป็ดาวฤกษ์หายนะจริงๆ ั้แ่นางกลับมาก็ไม่มีสักวันที่ข้าได้หยุดพักผ่อน”
แม่นมจินถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ฮูหยินใจเย็นๆ อย่าอยู่ตรงนี้เลยเ้าค่ะ พวกเรากลับไปเรือนซิ่งหนิงก่อนเถิดเ้าค่ะ คิดให้ช้าๆ รอบคอบก่อนเถิดเ้าค่ะ”
“ไม่ แม่นมอย่าเกลี้ยกล่อมข้าเลย ตอนนี้ข้าก็รอดูท่าทีของฉินเิอยู่ ถ้าไม่้าอยู่กับข้า แล้วจะให้ข้าอยู่ที่นี่เพื่ออะไรอีก”
แม่นมจินปวดหัวเป็ที่สุด แต่เดิมไม่มีเื่อะไรที่เกี่ยวข้องกับฮูหยินเลย แต่นางกลับสร้างให้เป็ปัญหาทะเลาะขึ้นมา นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีเื่แล้วก็หาเื่เข้าตัวเปล่าๆ หรือ
ยามนั้น ซุนซื่อเห็นข้างนอกประตูฉวนฮวาถูกเปิดครึ่งบาน และเห็นเสี่ยวซือผู้อยู่รับใช้เคียงข้างฉินเิกำลังเดินเข้ามา ก่อนเขาจะทำท่าเหยียดศีรษะมองไปทางซ้ายและทางขวา ซุนซื่อจึงโพล่งถาม “ลูกลิง โอ้เอ้ชักช้าอะไรกัน เซียงแหย่1ของเ้าว่าอย่างไรกัน”
เสี่ยวซือจะกล้าพูดประโยคที่ฉินหวยหยวนกล่าวเมื่อสักครู่ได้อย่างไรกัน ‘นางอยากจะไป ก็ให้นางไสหัวออกไป ไม่กลับมาอีกจะเป็การดีที่สุด’ เขาแสร้งยิ้มกว้างอย่างจำใจ จากนั้นแจ้งว่า “ฮูหยิน เซียงแหย่กำลังยุ่งอยู่ขอรับ ท่าน...”
ซุนซื่อไม่รอให้เขาพูดจบ นางเช็ดน้ำตาและก้าวเดินฉับๆ ออกไปข้างนอก “แม่นม เตรียมรถ ข้าจะกลับบ้าน เขาไม่อยากให้ข้าอยู่แล้ว ข้าอยู่แล้วจะมีความสุขอะไร”
แม่นมจินรู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน นางรีบห้ามไม่ให้ซุนซื่อออกไป และรีบขยิบตาให้ฉินฮุ่ยหนิงอย่างรวดเร็ว
ฉินฮุ่ยหนิงได้แต่ก้มหน้าร้องไห้ นางมองไม่เห็นฉากนั้นเลย
ท้ายที่สุดแล้ว แม่นมจินก็เป็เพียงแค่บ่าว ฉ่ายหลานกับฉ่ายจู๋วบ่าวทั้งสองคนก็ไม่กล้าดึงลากซุนซื่อ ทำได้เพียงเดินไปข้างๆ แล้วเกลี้ยกล่อมด้วยท่าทางพะว้าพะวังอย่างจะะโขึ้นมา
เดินเท้าทรมานอยู่นานพอสมควร ในที่สุดซุนซื่อก็ได้นั่งรถม้าสักที
เมื่อนางหย่อนตัวนั่งอย่างมั่นคงแล้ว ซุนซื่อถึงจำได้ว่า ชั่วอึดใจก่อนฉินฮุ่ยหนิงเดินตามนางมาถึงประตูฉวนฮวา ดังนั้นนางจึงเอ่ยถาม “ไหนฮุ่ยเจี่ยร์ล่ะ?”
แม่นมจินถอนหายใจและพูดตอบ “คุณหนูฮุ่ยหนิงส่งฮูหยินมาที่หน้าประตูสอง แล้วก็ไม่ได้ตามมาแล้วเ้าค่ะ”
ใบหน้าของซุนซื่อเต็มไปด้วยน้ำตาและมีสีหน้าที่ใ “เมื่อสักครู่นางบอกว่าจะกลับไปกับข้าไม่ใช่หรือ?”
แม่นมจินไม่ได้ตอบอะไร
นางเริ่มรู้สึกว่าฮูหยินติ้งกั๋วกงตำหนิสั่งสอนซุนซื่อนั้นเป็สิ่งที่ถูก เนื่องจากแม้ว่าฉินฮุ่ยหนิงถึงจะเกลี้ยกล่อมซุนซื่อ แต่ไม่มีประโยคไหนเลยที่ได้ผล กลับทำให้ซุนซื่อยิ่งใจร้อนขึ้นไปอีก
“ฮูหยิน วันหลังก็อย่า...อย่าละเลยสุขภาพตนเองสิเ้าคะ โมโหเช่นนี้จะไม่ดีต่อร่างกายเอานะเ้าคะ” แม่นมจินอยากจะพูดว่าอย่าได้เชื่อฉินฮุ่ยหนิงให้มากนัก แต่คำพูดติดอยู่ที่ปากจำต้องกลืนเข้าไป
คำพูดประโยคดังกล่าว นางเป็บ่าวคนหนึ่ง ถึงจะพูดออกไปอย่างไรก็ไม่ได้ผล จะต้องให้ฮูหยินติ้งกั๋วกงเป็คนพูดถึงจะดี
**
ขณะเดียวกันในเรือนสื่อเซี่ยว ล่าวไท่จุนไม่ได้โมโหเกรี้ยวกราดเหมือนอย่างเมื่อครั้งก่อนๆ แต่ได้ให้คนรอบข้างออกไปทั้งหมด เหลือเพียงแค่แม่นมฉินที่อยู่คุยกับนางข้างๆ
“หลู่จวน เ้าว่าวันนี้เิเกอร์เป็เช่นนั้น กำลังโกรธฉินหยีหนิงอยู่ใช่หรือไม่? ทำไมข้ารู้สึกว่าในนั้น มันมีบางอย่างแปลกๆ ไปล่ะ”
ผู้ที่กังวลห่วงใยเกี่ยวกับลูกมากที่สุดนั้นก็คือคนเป็แม่ ในใจของล่าวไท่จุนเห็นลูกชายคนโตซึ่งประสบความสำเร็จมากที่สุด เป็ที่หนึ่งเสมอ มิหนำซ้ำความรู้สึกที่มีให้ลูกชายคนโตนั้นก็ลึกซึ้งมากที่สุดด้วย แน่นอนว่านางเข้าใจเขามากที่สุดด้วยเช่นกัน
ในความคิดของล่าวไท่จุน ในเมื่อฉินหยีหนิงทำเื่ผิดพลาดใหญ่โต ฉินหวยหยวนเพียงแค่บอกนางและให้นางสั่งสอนก็เพียงพอแล้ว มีอย่างที่ไหนที่โมโหซุนซื่อเพราะตบฉินหยีหนิง? มีอย่างที่ไหนที่ตนเองพานางไปจัดการลงโทษและสั่งสอนด้วยตัวเอง?
นี่เป็เพราะว่าเขาชื่นชอบหรือไม่ชื่นชอบฉินหยีหนิง?
แม่นมฉินเอ่ยขึ้น “ตามที่บ่าวเห็นนะเ้าคะ เซียงแหย่น่าจะสั่งสอนคุณหนูสี่เหมือนสั่งสอนลูกชายไปแล้วเ้าค่ะ”
ล่าวไท่จุนคาดเดาอยู่ก่อนหน้าแล้ว เพียงแค่ไม่ชัดเจน จับใจความสำคัญไม่ค่อยได้ ครั้นฟังถ้อยคำของแม่นมฉิน ทำให้นางต้องนำความคิดมาร้อยเรียงอีกครั้ง
นางผงกศีรษะอย่างแรงและเอ่ยขึ้น “ใช่ ที่แท้เิเกอร์ก็คิดเช่นนี้นี่เอง มิเช่นนั้นจะให้ความสำคัญกับหยีเจี่ยร์เช่นนี้ได้อย่างไร?” ดูๆ แล้วถึงแม้ว่าหยีเจี่ยร์จะสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นมา แต่กลับได้รับความชื่นชอบจากเิเกอร์
“คุณหนูสี่นอกจากจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดแล้ว ยังมีความกล้าหาญอีกด้วย และถึงแม้ว่านางจะเป็หญิง แต่มีความแข็งแกร่งไม่แพ้ผู้ชาย หรือล่าวไท่จุนไม่รู้สึกเลยหรือเ้าคะ ว่าคุณหนูไม่เพียงแค่มีหน้าตาที่คล้ายเซียงแหย่ แต่ว่าอุปนิสัยก็มีความคล้ายกับเซียงแหย่สมัยหนุ่มๆ ด้วยนะเ้าคะ”
“ใช่” ล่าวไท่จุนพยักหน้าซ้ำๆ และนึกถึงลูกชายคนโตตอนหนุ่มๆ เสมือนว่าตนนั้นได้ย้อนกลับไปยังอดีตที่สวยงามอีกครั้ง นางชอบมันมาก “เิเกอร์ยังไม่มีบุตรชายและได้เจอกับลูกสาวที่มีความคล้ายตน ไม่แปลกเลยที่จะชอบนางอยู่หลายส่วน แต่ว่าหยีเจี่ยร์กล้าหาญเช่นนี้ ตกลงทำเื่ผิดพลาดใหญ่หลวงอะไรกันหรือ”
“โถ่ ล่าวไท่จุน ท่านอย่าได้กังวลเลยเ้าค่ะ” แม่นมฉินหยีหนิงยกถ้วยน้ำชามาให้ นางพูดพลางยิ้มแย้ม “บ่าวกลับรู้สึกว่า เซียงแหย่จะต้องจัดการปัญหาให้ลูกสาว แล้วก็คงจะรู้สึกมีความสุขในนั้นด้วยนะเ้าคะ”
“มีความสุขในนั้น?” ล่าวไท่จุนรับถ้วยชา ความคิดยังวนเวียนอยู่กับเื่ของบุตรชาย ทำให้นึกถึงเื่ที่สามีนางสั่งสอนลูกชายอย่างมีความสุข นางเข้าใจแล้วพยักหน้า ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน จากนั้นกลับร้องไห้น้ำตาเอ่อล้นออกมา “ยิงกวางไม่มีวาสนา ถ้าเขาสามารถเห็นลูกชายของเขาได้ดิบได้ดี ไม่รู้ว่าจะชื่นชอบมากถึงเพียงใด”
แม่นมฉินเมื่อเห็นล่าวไท่จุนนึกถึงล่าวไท่แหย่ ก็รีบเข้าไปปลอบ นางปลอบจนล่าวไท่จุนจนสงบลง แล้วเอ่ยขึ้น “เซียงแหย่ได้ให้คุณหนูสี่ไปอยู่ที่ศาลบรรพบุรุษและให้ท่องหนังสือ ‘คำสั่งห้ามของผู้หญิง’ กับหนังสือ ‘การสั่งสอนภายใน’ และไม่อนุญาตให้บ่าวของคุณหนูไปรับใช้เ้าค่ะ”
ล่าวไท่จุนครุ่นคิดก่อนบอกกลับไปว่า “ในเมื่อเิเกอร์ให้ความสำคัญกับนาง แน่นอนว่านางต้องมีสิ่งดีๆ อยู่บ้าง คนข้างๆ นางไม่อยู่ด้วย หลายวันนี้เ้าช่วยจัดการให้ที จะตั้งความหวังกับแม่ของหยีเจี่ยร์หรือ ข้าว่าตั้งความหวังให้ฟ้าส่งฝนสีแดงลงมายังจะมีความหวังมากกว่าอีก”
“ล่าวไท่จุนอย่าโกรธเลยนะเ้าคะ สุขภาพของท่านสำคัญกว่า ส่วนเื่ฮูหยินใหญ่กับเซียงแหย่ ก็เป็เื่สามีภรรยาทะเลาะกันธรรมดาทั่วไป ทะเลาะที่หัวเตียงคืนดีที่ปลายเตียง ไม่เกินสองวันก็คืนดีกันแล้วเ้าค่ะ”
แต่เมื่อนึกถึงซุนซื่อ ล่าวไท่จุนพลอยรู้สึกรำคาญในทันที อดไม่ได้ที่จะติเตียนอีกหน “ข้าไม่ชอบท่าทีหยิ่งยโสทำตัวสูงส่งของนาง ตัวเองเกิดมาในตระกูลดีก็เถอะ ก็แค่นอนกินต้นทุนเก่าที่บรรพบุรุษสร้างไว้ก็เท่านั้น ไม่มีทั้งความสามารถไม่มีทั้งคุณธรรม หรือจะเหมาะสมกับเิเกอร์ของข้า”
แม่นมฉินเห็นว่าล่าวไท่จุนเริ่มกรุ่นโกรธ แน่นอนว่าต้องเกลี้ยกล่อมปลอบใจอยู่หลายประโยค
รอให้ล่าวไท่จุนอาบน้ำและพักผ่อนแล้ว แม่นมฉินก็เรียกบ่าวในเรือนสื่อเซี่ยว คนหนึ่งเป็บ่าวที่ค่อนข้างมีอายุกับบ่าวอีกคนหนึ่งซึ่งเป็เด็กหญิง นางออกปาก “ล่าวไท่จุนมีคำสั่งให้พวกเ้าสองคนไปปรนนิบัติคุณหนูสี่ที่ศาลบรรพบุรุษ ตอนนี้ตามข้ามาเถิด”
สามีของบ่าวอายุมากผู้นั้นมีสกุลเก๋อ เรียกนางว่าเก๋อเจีย ส่วนเด็กหญิงมีชื่อเล่นเรียกว่าเสี่ยวหลิง เพิ่งอายุสิบปีเต็ม ท่าทางฉลาดมีไหวพริบ ทั้งสองคำนับแม่นมฉิน จากนั้นได้สั่งให้บ่าวร่างใหญ่ยกผ้าปูที่นอน เตาถ่านและสิ่งของอื่นๆ ที่จำเป็ต้องใช้ เดินไปยังศาลบรรพบุรุษ
ศาลบรรพบุรุษตั้งอยู่ที่เรือนข้างนอก อยู่ที่มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีประตูหยีอยู่สามชั้น เป็ที่ที่มีความสงบมาก ห้องโถงหลักเป็ที่ไหว้บรรพบุรุษ มีที่วางป้ายิญญาของบรรพบุรุษของตระกูลฉินก่อนนี้ ห้องด้านข้างทั้งสองฟากมักจะมีคนมาทำความสะอาดและจัดของให้เรียบร้อยตลอด ผู้อาศัยอยู่ที่นี่ก็อยู่ได้มากพอสมควรและมีความงดงามหรูหรามากกว่าเรือนเสวี่ยลี่เสียอีก
ตอนที่แม่นมฉินมาถึงนั้น ฉินหยีหนิงกำลังถือหนังสือ ‘การสั่งสอนภายใน’ และอ่านมันอยู่
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ฉินหยีหนิงก็รีบลุกขึ้นยืนเพื่อต้อนรับ “แม่นมฉินมาแล้ว ข้าจะกล้ารบกวนแม่นมฉินให้มาด้วยตนเองเช่นนี้ได้อย่างไร”
***************
1 เซียงแหย่(相爷)เป็ชื่อเรียกสั้นๆ ที่ใช้เรียกอัครมหาเสนาบดี