หลังจากเห็นฉินหยีหนิงยอมหยุดเดินและมีสีหน้าท่าทางคล้ายกำลังไตร่ตรอง แม่นมฉินก็รู้สึกโล่งใจทันที ดูเหมือนว่าฉินหยีหนิงไม่ได้เป็คนอารมณ์หุนหันพลันแล่น แม่นมฉินประทับใจในนิสัยหลายอย่างของฉินหยีหนิงมาั้แ่ก่อนหน้า มายามนี้นางยิ่งรู้สึกประทับใจมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนมีใจช่วยเหลือเพียงหนึ่งส่วน แต่ตอนนี้ได้กลายมาเป็สิบส่วนแล้ว
“คุณหนู” แม่นมฉินสาวเท้าเข้าไปหาฉินหยีหนิงอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยพูด “คุณหนูเป็คนฉลาดและรู้ดีว่าจะทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด ตอนนี้คุณหนูเองก็ยากที่จะปกป้องตัวเอง ถ้าคุณหนูไม่ฟังคำสั่งของเซียงแหย่แล้วจะออกไปให้ได้ นอกจากจะช่วยรุ่ยหลานไม่ได้แล้ว เกรงว่าคุณหนูเองก็จะสูญเสียความรักและความชื่นชอบจากเซียงแหย่อีกด้วย คุณหนูลองคิดดูว่าเส้นทางในอนาคตของคุณหนูจะเดินอย่างไรเ้าคะ?”
ฉินหยีหนิงรู้ว่าแม่นมฉินพูดถูก
รุ่ยหลานโดนจับทั้งคนทั้งของกลาง นางก็ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่ารุ่ยหลานนั้นบริสุทธิ์ ถึงนางไปช่วยย่อมทำได้เพียงขอร้องให้ล่าวไท่จุนเมตตาเท่านั้น
ถึงกระนั้นฉินหยีหนิงก็รู้ดี ในสายตาของล่าวไท่จุน เกรงว่าคงไม่อาจทำให้นางเมตตาได้มากพอ
แต่ว่านางสามารถที่จะเห็นคนตายต่อหน้าโดยไม่ช่วยอะไรเลยหรือ?
ถึงแม้ว่ารุ่ยหลานจะเคยทำผิด แต่ก็ได้เปลี่ยนแปลงตนเองแล้ว ทั้งอีกฝ่ายก็ดูแลนางด้วยดีมาโดยตลอด
วินาทีนั้น สีหน้าของฉินหยีหนิงตึงเครียด มีความโกรธเกลียดฉินฮุ่ยหนิงอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ั้แ่นางกลับมาที่บ้าน ฉินฮุ่ยหนิงได้หาเื่นางมาแล้วกี่ครั้ง?
เดิมนางคิดเพียงปล่อยวางยกโทษให้ฝ่ายนั้นไป เข้าใจว่าฉินฮุ่ยหนิงโดนสับเปลี่ยนมา ไม่ใช่ความผิดของเด็กสาวผู้นั้น ถือเป็วิกฤติที่พอจะเข้าใจได้
ทว่าจะมีวิกฤติมากเท่าใด ก็ไม่สมควรทำเพื่อความสะใจของตนโดยไปทำร้ายชีวิตของคนอื่น
รุ่ยหลานไม่เคยทำร้ายนางมาก่อนเลย แล้วก็ไม่เคยทำเื่ที่ขัดต่อผลประโยชน์ของนางเลย แต่ฉินฮุ่ยหนิงก็ยังสามารถทำร้ายชีวิตบ่าวผู้นั้นได้ นางน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก
สัตว์เดรัจฉานกินคนเพื่อให้อิ่มท้อง ถ้าหากไม่กินก็จะอดตายได้
แต่ฉินฮุ่ยหนิง ถ้านางไม่ทำร้ายคน ตัวเองจะสูญเสียอะไรหรือ?
ปรารถนาความรักความเอ็นดู ก็สามารถทำตัวกตัญญูต่อท่านย่ากับท่านแม่ แสดงความสามารถแข่งกันในทางที่ดี ฉินฮุ่ยหนิงไม่ยอมทุ่มเทความจริงใจออกมา แล้วยัง้าให้คนอื่นมีความจริงใจต่อนาง ไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ ก็มีความคิดเคียดแค้นต่อผู้อื่น สู้ผู้คนรอบข้างไม่ได้ก็อิจฉาริษยา โดยใช้วิธีทำร้ายชีวิตคนอื่นเพื่อความสาแก่ใจของตนเอง
ฉินหยีหนิงไม่ได้คิดว่าตนเองเป็คนดี ถ้ามีคนมาทำร้ายนาง นางย่อมไม่ลังเลใจที่จะต่อสู้กลับ แต่นางจะไม่ใช้สถานะของตนเองเพื่อมาทำร้ายชีวิตของผู้บริสุทธิ์เด็ดขาด
“ขอบพระคุณแม่นมฉินที่ตักเตือนข้า แต่ว่ารุ่ยหลานอย่างไรก็รับใช้ข้ามาก่อน ครั้นนางได้รับโทษ ก็เป็เพราะข้าที่ทำให้นางต้องโดนเช่นนี้ วันนี้ข้ารู้สึกละอายใจมาก ข้าเป็นาย ถ้าพยายามมากแล้วก็ไม่สามารถช่วยนางได้ นั่นก็เป็เพราะว่าข้าไม่มีความสามารถ แต่ถ้าทำเพื่อตนเองแล้วไม่ไปช่วยนาง นั่นก็เป็เพราะว่าข้าไร้คุณธรรม”
ครั้นพูดจบ ฉินหยีหนิงรู้สึกว่าตนเองเหนื่อยกายเหนื่อยใจมากแล้ว แต่ว่าความอ่อนแอของนางปรากฏขึ้นเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น เมื่อมองอีกทีกลับเห็นเพียงสายตาเชื่อมั่นแน่วแน่
“แม่นมฉิน ข้ายอมเป็คนที่ไม่มีความสามารถ แต่ไม่อาจเป็คนไร้คุณธรรมได้เ้าค่ะ” นางก้าวเท้าเดินออกทันทีหลังจบประโยค
ภายในใจของแม่นมฉินซึ่งชื่นชมฉินหยีหนิงนั้น ได้ละลายกลายเป็ตาน้ำไหลออกมาจากต้นลำธารไหลออกเป็แม่น้ำสายเล็กๆ ที่จริงแล้วนางก็เป็บ่าว ต่อสู้เผชิญความยากลำบากกับล่าวไท่จุนมาครึ่งชีวิต ประสบความยากลำบากมาด้วยกันนับไม่ถ้วน แน่นอนว่ามีความรู้สึกผูกพันกับล่าวไท่จุน ทว่าคราวนี้เมื่อได้ฟังที่ฉินหยีหนิงพูดออกมา เหมือนมันกระแทกเข้ามาโดนหัวใจที่เป็จุดอ่อนที่สุด
แม่นมฉินตาไวมือเร็วรีบจับและดึงมือของฉินหยีหนิง
“คุณหนู ได้โปรดฟังที่ข้าพูดก่อน” แม่นมฉินกระซิบข้างหูของฉินหยีหนิง เสียงดังได้ยินกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น “คุณหนูออกไปเช่นนี้ มีข้อเสียมาก ทั้งไม่มีข้อดีอะไรเลย ข้าสามารถรับรองได้ว่ารุ่ยหลานยังไม่ตาย เื่อื่นๆ ขอแค่คุณหนูผ่านบททดสอบของเซียงแหย่และได้ออกจากศาลบรรพบุรุษ จะทำสิ่งใดย่อมทำได้ คุณหนูลองคิดในสิ่งที่บ่าวได้พูดมานั้น ตอนนี้ท่านยังจะออกไปอีกหรือไม่เ้าคะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินหยีหนิงถึงกับอึ้งนิ่งไปพักใหญ่
หากแม่นมฉินสามารถรับรองว่ารุ่ยหลานยังไม่ตาย ก็ไม่ใช่ว่าจะมีประโยชน์มากกว่าที่นางออกไปเสียอีกหรือ?
ถึงนางออกไป ก็ทำได้แค่ขอให้ไว้ชีวิตรุ่ยหลาน ส่วนเื่ล้างความผิดนั้นวันหลังค่อยหาหลักฐานแล้วค่อยพูด
แม่นมฉินสัญญาเช่นนี้ ก็เท่ากับว่านางได้ทำในสิ่งที่นางอยากจะทำแล้ว
ครั้งก่อนนางโดนลงโทษให้คัดอักษรเหมือนฉินฮุ่ยหนิง เป็แม่นมฉินที่เตือนล่าวไท่จุน ทำให้ล่าวไท่จุนนึกถึงเื่การนับจำนวนขึ้นมา
ครั้งนี้นางโดนกักบริเวณในศาลบรรพบุรุษ แต่เดิมคนเบื้องล่างมักยกย่องคนสูงกว่าและจะเหยียบย่ำคนต่ำกว่า ตัดอาหารการกินและการใช้ของนาง ก็เป็เพราะแม่นมฉินคอยสั่งการ ทำให้นางใช้ชีวิตเจ็ดวันได้อย่างสบายใจ
“แม่นม ท่าน...” ฉินหยีหนิงพูดไม่ออก นางนิ่งงันทำอะไรไม่ถูก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “แม่นม เหตุใดแม่นมถึงได้ช่วยเหลือข้าเช่นนี้?”
แม่นมฉินคำนับฉินหยีหนิง สีหน้ายิ้มแย้มเต็มใบหน้าและอธิบาย “คุณหนูเป็หลานของล่าวไท่จุน ก็ถือว่าเป็เ้านายของบ่าว ทุ่มเททำงานให้เ้านายอย่างเต็มที่ ก็เป็หน้าที่ของบ่าว อีกอย่างบ่าวเป็คนของล่าวไท่จุน บ่าวทำอะไร ก็หมายความว่าล่าวไท่จุนให้ทำเช่นนั้น คุณหนูได้โปรดกลับไปก่อนเถิดเ้าค่ะ เื่ในวันนี้ก็ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณหนูอ่านหนังสืออย่างสบายใจเถิด คิดเสียว่าไม่เคยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ จากข้างนอกเลยนะเ้าคะ”
ฉินหยีหนิงเข้าใจในความหมายที่แม่นมฉิน้าจะสื่อในทันที
แม่นมฉินมาที่นี่ในครั้งนี้ เป็เพราะมีความจงรักภักดีต่อล่าวไท่จุน ข้อที่หนึ่งเพื่อช่วยสานสัมพันธ์ที่ดีให้ล่าวไท่จุน ข้อที่สองเพื่อให้ล่าวไท่จุนสร้างความสมดุลให้กับคนเบื้องล่าง ไม่อยากให้ลมทิศตะวันออกกดลมทิศตะวันตกจนล้มลง
จะต้องรู้ว่า ในฐานะที่เป็ผู้าุโนั้น คนเบื้องล่างมีอำนาจใหญ่โตคนเดียวไม่ใช่เื่ดีสักเท่าใดนัก ก็เหมือนราชสำนัก บ้านเล็กๆ ก็เป็เช่นนี้เช่นกัน
ดูเหมือนว่าถ้าเพียงแค่อุปนิสัยของล่าวไท่จุน ก็สามารถยืนอยู่ในตระกูลฉินจนได้กลายเป็ล่าวเฟิงจุนอย่างมั่นคง เช่นนั้นจะเป็ไปได้หรือ สติปัญญาความเฉลียวฉลาด ความมั่นคง ความจงรักภักดีของแม่นมฉินนั้นขาดไม่ได้เลย
ฉินหยีหนิงยิ้มและคำนับแม่นมฉิน “ขอบพระคุณแม่นมฉิน ข้าเข้าใจหมดแล้ว”
“คุณหนูอย่าทำเช่นนี้อีกนะเ้าคะ บ่าวไม่กล้ารับเ้าค่ะ” แม่นมฉินหลบหลีกคำนับของฉินหยีหนิง และหันไปที่ชิวหลู่
“เมื่อคิดถึงความจริงใจทั้งหมดของเ้าแล้ว เื่ในวันนี้ก็ให้มันแล้วไปเถิด เ้าเองก็กลับไปคิดทบทวนให้ดี ในฐานะบ่าว เ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะระงับสิ่งต่างๆ เอาไว้ ไม่ใช่ว่าหาเื่เดือดร้อนให้ผู้เป็นาย เ้ารู้หรือไม่?”
ชิวหลู่ผงกศีรษะ นางละอายใจจนหน้าแดงแล้ว ครั้งก่อนเื่ที่ช่วยเหลือคุณหนูถาง ก็เป็เพราะนางพูดมาก ครั้งนี้ก็เช่นกัน นางรู้ว่านางมาที่นี่ย่อมมีความเสี่ยง เป็การสร้างความเดือดร้อนให้คุณหนู ยังดีที่แม่นมฉินมีเมตตา
“บ่าวรับทราบแล้วเ้าค่ะ ขอบพระคุณแม่นมฉินที่สั่งสอนบ่าว”
แม่นมฉินผงกศีรษะและเอ่ยขึ้น “คุณหนูสี่วางใจกลับไปอ่านหนังสือเถิดเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงรู้ว่ารุ่ยหลานไม่เสียชีวิตเพราะเื่นี้ และชิวหลู่ไม่ต้องรับโทษด้วย เพียงเท่านี้ย่อมพอใจแล้ว ส่วนเื่ที่เหลือนั้น คงต้องรอให้นางออกไปแล้วค่อยจัดการ
ฉินฮุ่ยหนิงจะสู้กับนาง ต้องดูด้วยว่านางจะยอมหรือไม่ยอม
เมื่อก่อนนางไม่อยากจะทำร้ายคน แต่คนรังแกนางจนถึงศีรษะแล้ว นางคงไร้เหตุผลที่จะไม่ตอบโต้
**
แม้ว่าข้างนอกจะเปลี่ยนไปเท่าใด แต่การใช้ชีวิตในศาลบรรพบุรุษกลับยังคงเงียบสงบ
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น คนที่มาส่งกล่องอาหารที่ศาลบรรพบุรุษให้ฉินหยีหนิงนั้นได้เปลี่ยนเป็หญิงชราอายุมาก ประมาณหกสิบปีท่านหนึ่ง
ฉินหยีหนิงรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดแปลกไปเล็กน้อย
หญิงชราท่านนี้สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีเขียวเข้มใหม่เอี่ยมอ่อง แบบเสื้อและวัสดุตัดเย็บเพิ่งมีการนำออกมากใช้งานไม่นาน ปิ่นทองถูกปักไว้บนศีรษะของนางและข้อมือของนางสวมกำไลทองคู่ ดูจากการแต่งตัวแล้ว นางดูเป็คนที่มีเกียรติและไม่ใช่คนที่มีสถานะส่งกล่องอาหารให้คนอื่นเป็แน่
เมื่อเห็นฉินหยีหนิง หญิงชราก็คำนับด้วยความเคารพ “คุณหนูสี่สวัสดีตอนเช้าเ้าค่ะ สกุลสามีของบ่าวคือ จิ่ง มาส่งอาหารให้คุณหนูเป็พิเศษเ้าค่ะ”
“แม่เฒ่าจิ่งรีบลุกขึ้นมาเถิด” ฉินหยีหนิงยิ้มและประคองนางขึ้นมา
แม่เฒ่าจิ่งยิ้มพลางและยื่นกล่องอาหารให้เก๋อเจียและเสี่ยวหลิง
นางฉวยโอกาสตอนที่บ่าวทั้งสองเตรียมจัดวางอาหารบนโต๊ะ เอ่ยเสียงเบาต่อฉินหยีหนิง “คุณหนูสี่ บ่าวทำงานเป็หัวหน้าในครัวที่ด้านนอก วันนี้ฟังคำสั่งจากหัวหน้าจงให้มาบอกข่าวแก่คุณหนูสักหนึ่งประโยค ตอนนี้รุ่ยหลานถูกส่งไปที่โรงเตี๊ยมท่าหยุนหนึ่งในสาขาของจ้าวหยุนซือเรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ ร่างกายาเ็ไม่ร้ายแรงนัก อีกอย่างเป็แผลิัเสียทั้งหมด ทายาแผลพุพองไม่กี่วันก็หายดีแล้ว คุณหนูสี่สบายใจได้เ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงเอ่ยพูดด้วยความประหลาดใจ “แม่เฒ่าจิ่งเป็คนของจ้าวหยุนซือหรือ?”
“ตอบคุณหนูสี่ ลูกชายของบ่าวเป็เหรัญญิกระดับสาม อยู่ภายใต้การดูแลของหัวหน้าจง สมาชิกในบ้านทั้งหมดของบ่าวเลื่อนตำแหน่งได้เพราะหัวหน้าจง คุณหนูเป็เ้าของกิจการจ้าวหยุนซือ วันข้างหน้าบ่าวจะต้องพึ่งพาคุณหนูอีกมาก บ่าวเพียงแค่มาส่งข่าว มันไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมาย อีกอย่างบ่าวก็อายุมากแล้ว กำลังวางแผนที่จะกลับบ้านนอกแล้วเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงเข้าใจและเอ่ยขึ้น “เื่เป็อย่างนี้นี่เอง ไม่ว่าอย่างไร คงต้องรบกวนแม่เฒ่าจิ่งที่มาที่นี่ด้วยนะเ้าคะ”
“คุณหนูเกรงใจเกินไปแล้วเ้าค่ะ ได้เจอคุณหนูเป็เกียรติของบ่าวเ้าค่ะ” จากนั้นแม่เฒ่าจิ่งก็หันไปมองซ้ายมองขวา นางยิ้มแย้มและกดเสียงให้เบาลงอีก
“หัวหน้าจงให้บ่าวมาบอกข่าวถึงคุณหนู ก่อนนี้หลายวัน ท่านอ๋องหนิงได้ประกาศถอดถอนตำแหน่งฉาวไท่ซือในราชสำนัก เมื่อก่อนนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเคยจะถอดถอนมาก่อนนะเ้าคะ ทว่าเพราะแต่ก่อน คนส่วนใหญ่ยังคงทำตัวเป็กลาง แต่ครั้งนี้ท่านอ๋องหนิงได้ประกาศถอดถอน ก็มีคนส่วนมากประกาศสนับสนุนท่านอ๋องหนิงด้วย ฮ่องเต้จึงมีพระราชกฤษฎีกาถอดถอนฉาวไท่ซือออกจากตำแหน่งและหน้าที่ ให้เขากลับไปที่บ้านเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบตอนแก่น่ะเ้าค่ะ”
อะไรนะ! ตาแก่ฉาวไท่ซือนั่นถูกโค่นล้มแล้ว!
ไม่ต้องพูดว่าทำไม แต่เดิมคนที่เคยเป็กลางถึงได้เข้าข้างท่านอ๋องหนิง แน่นอนว่า เป็เพราะเห็นติ้งกั๋วกงกับฉินหวยหยวนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านอ๋องหนิงกระมัง
คนเ่าั้ได้พูดคุยกับท่านอ๋องหนิงมาก่อนแล้ว? หรือว่าดูทิศทางลมถึงได้เลือกสนับสนุนท่านอ๋องหนิงกันนะ?
ฉินหยีหนิงไม่คาดคิดเลยว่า ตนเองจะเป็สายฟ้าสายสำคัญในการโค่นล้มฉาวไท่ซือ
ฉาวไท่ซือได้รับโทษก็ต้องยอมรับโทษ แต่ว่าบุตรสาวของฉาวไท่ซือยังคงเป็หวงโฮ่ว นางจะต่อสู้กับปัญหาที่บิดาของนางถูกโค่นล้มลงจากตำแหน่งได้อย่างไร? จะจัดการกับคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำให้บิดาถูกโค่นล้มครั้งนี้ได้อย่างไร?
อีกอย่าง ตำแหน่งพระอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทตอนนี้ก็ยังคงว่างอยู่สินะ ฮ่องเต้ก็มีองค์ชายรัชทายาทเพียงแค่องค์เดียวเท่านั้นที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ แน่นอนว่าจะต้องหาคนที่เหมาะสมในการเป็พระอาจารย์ให้กับองค์ชายเป็แน่ ตำแหน่งพระอาจารย์คนใหม่ขององค์ชายรัชทายาทจะเป็ผู้ใดที่เหมาะสมกันนะ? ผู้ที่ถูกเลือกนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับทิศทางลมในราชสำนักและเกี่ยวข้องกับโชคชะตาของต้าเยี่ยนอย่างแน่นอน
ฉินหยีหนิงรับประทานอาหารเช้าได้ไม่มากเท่าใดนัก
ข่าวที่แม่เฒ่าจิ่งนำมาบอกนั้น ทำให้นางใ
ยิ่งไปกว่านั้น การมาถึงของแม่เฒ่าจิ่งเอง ก็ทำให้ฉินหยีหนิงตระหนักรู้เป็ครั้งแรก ว่าจ้าวหยุนซือนั้นมีสายสัมพันธ์กว้างขวางและมีศักยภาพมากมายเพียงใด
และไม่ว่าราชสำนักจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร จ้าวหยุนซือที่อยู่ในมือของนางไม่ใช่เป็เพียงแค่หีบเงินทองเท่านั้น เกรงว่ายังจะสามารถทำผลประโยชน์อื่นๆ ได้อีกมหาศาล
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ทำให้ฉินหยีหนิงรู้สึกเืตื่นตัว มีความมั่นใจมากขึ้น
กระทั่งถึงตอนเที่ยง ทันใดนั้นข้างนอกได้มีเสียงดังขึ้นเป็พักๆ
เก๋อเจียเดินไปเปิดประตู เป็บ่าวข้างกายล่าวไท่จุน จี๋เสียงกำลังยิ้มแฉ่งและเอ่ยขึ้น “นายท่านได้รับเกียรติขึ้นดำรงตำแหน่งเป็พระอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท ตอนนี้ได้กลับมาถึงจวนแล้ว ให้คุณหนูสี่รีบแต่งตัวเร็วเข้า อีกสักพักนายท่านจะพาสมาชิกในครอบครัวทุกคนมากราบไหว้ที่ศาลบรรพบุรุษเพื่อมาบอกข่าวดีนี้ให้บรรพบุรุษล่วงรู้เ้าค่ะ”
เก๋อเจียและเสี่ยวหลิงได้ยินเช่นนั้น พลอยยิ้มดีใจกันยกใหญ่ และพูดซ้ำไปซ้ำมา “เป็ข่าวมงคล เป็ข่าวมงคล นายท่านช่างมีความสุขล้ำฟ้า คุณหนูสี่ บ่าวกำลังจะไปเตรียมเสื้อผ้าให้คุณหนูเดี๋ยวนี้เลยเ้าค่ะ”