เสี่ยวหลิงกับเก๋อเจีย คนหนึ่งรีบไปที่เรือนเสวี่ยลี่เพื่อนำเสื้อผ้าและเครื่องประดับมาให้นาง ส่วนอีกคนขัดสีฉวีวรรณให้ฉินหยีหนิงอย่างมีความชำนาญ
ไม่นานนักเสี่ยวหลิงก็ได้เอาเสื้อผ้ามาให้ และแต่งตัวให้ฉินหยีหนิงด้วยกิริยาเคารพนอบน้อม ท่าทีที่แสดงออกมีความระมัดระวังมากกว่าสองวันที่แล้วเสียอีก
ฉินหยีหนิงนึกขำขันอยู่หลายส่วน จากทายาทสาวของอัครมหาเสนาบดีต้องมาเป็ทายาทสาวของไท่ซือ นี่ก็ถือว่าน้ำขึ้นพลอยยกเรือของนางให้ขึ้นสูงด้วยสินะ?
แต่นางไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจมากเท่าใดนัก เพราะถึงอย่างไรปีศาจหวงโฮ่วก็มีสถานะเช่นนี้มาก่อน
อย่างไรก็ดี ชั่วครู่หนึ่งไม่นานนัก ด้านนอกศาลบรรพบุรุษพลางมีเสียงเซ็งแซ่มีชีวิตชีวาแว่วดังให้ได้ยิน แม้จะห่างกันเป็ระยะหนึ่งประตู แต่กลับสามารถได้ยินเสียงผู้คนที่กำลังพูดคุยอย่างรื่นเริงมีความสุขได้
เก๋อเจียกับเสี่ยวหลิงเปิดประตู จากนั้นรีบขยับตัวหลีกไปอยู่มุมหนึ่งเพื่อพูดคุยกับพวกบ่าวที่มาด้วย
ฉินหยีหนิงมีความรู้สึกสงสัยอยู่หลายส่วน ดังนั้นนางจึงยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูหน้า เฝ้าดูผู้คนที่ถือธูปและเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ
นางพบว่าปี้ถงกับปี้เถาที่รับใช้ฉินฮุ่ยหนิงนั้นก็มาด้วย กำลังช่วยจี๋เสียงกับหรูยี่บ่าวของเรือนสื่อเซี่ยวอยู่ข้างๆ
ไม่จำเป็ต้องคิดมากก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าเื่มีหน้ามีตา นางยังมีน้อยกว่าฉินฮุ่ยหนิงอยู่มาก จะต้องเรียนรู้ให้เยอะๆ
ปี้ถงและปี้เถาก็เห็นฉินหยีหนิงอยู่ที่นี่ั้แ่หลายวันก่อนแล้ว เมื่อเห็นนางแต่งตัวอย่างสวยงามรออยู่ที่ประตู ปี้ถงก็หัวเราะเยาะ
“นางคงเพ้อฝันว่านายท่านใหญ่จะปล่อยนางออกไปสินะ”
เสียงปี้ถงไม่ได้ดังมาก แต่ไม่ได้ตั้งใจลดระดับความดังลงมา ฉะนั้น ผู้คนรายรอบล้วนได้ยินกันหมดแล้ว ในมือทำงานของตัวเองอยู่ แต่หูผึ่งไม่ได้อยู่เฉยๆ
ปี้เถาดึงปี้ถงออกมา “เ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่ ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี จะทำอะไร อยากตายหรือ”
“เ้าปล่อยมือข้า” ปี้ถงเอามือของปี้เถาออกไปพลางส่งเสียงหัวเราะ “เขาว่ากันว่าเบื้องบนไม่ดี เบื้องล่างก็ไม่ดีด้วย รุ่ยหลานโจรขโมยนั่นสามารถขโมยกำไลหยกของล่าวไท่จุน เห็นได้ชัดว่าเ้านายก็ไม่ใช่คนดีเท่าใดหรอก ล่าวไท่จุนมีเมตตา ตีนางเพียงแค่ครั้งเดียวก็ปล่อยออกจากจวนแล้ว ถ้าเป็คนของบ้านอื่นคงต้องตีให้ตายถึงจะเรียกว่าจบสินะ แต่ว่ามีบางคนทำเื่น่าอับอาย แต่ตัวเองทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้นแหละ มันน่าอับอายจริงๆ”
นางทนไม่ไหวมานานแล้ว ฉินหยีหนิงได้ทุบตีนางและยังแกล้งคุณหนูของนางอยู่หลายครั้ง ตอนนี้ฉินหยีหนิงล้มลง หากนางไม่ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เหยียบอีกฝ่ายเสียหลายๆ ที มิเช่นนั้นนางก็คงจะขาดทุนน่าดู
ทุกคนต่างมองว่าฉินหยีหนิงเป็คนป่าเถื่อน หากสามารถกระตุ้นคนป่าเถื่อนให้ลงมือทำร้ายนางในวันที่ดีเช่นหนนี้ได้ มันจะดีขึ้นมากกว่าเดิม คุณหนูจะต้องตกรางวัลให้กับนางอย่างแน่นอน
ปี้ถงพอใจกับแผนการของตนและใบหน้ายั่วยุของนางก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น “ว่ากันว่าเป็ทายาทคนโตของนายท่านใหญ่ ความเป็จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นใครจะไปรู้ ท่าทางแกล้งทำเป็ผู้ดี เหมือนว่าตนเองมีเกียรติสูงส่งอย่างไรอย่างนั้นแหละ
มีเกียรติสูงส่งเช่นนั้น เหตุใดถึงได้ออกจากจวนไปพบผู้ชายข้างนอก แล้วถูกเซียงแหย่กักบริเวณให้อยู่ในศาลบรรพบุรุษล่ะ? พูดให้ชัดๆ ก็คือ ความป่าเถื่อนของคนป่ามันยังไม่เสื่อมคลายอย่างไรล่ะ กลิ่นอายของความเป็คนชนบทเต็มตัวเช่นนี้ก็ยังพาเข้ามาในจวนอีก ไม่ทำให้ชื่อเสียงที่ดีของพวกเรามัวหมองหรือ”
คำพูดของนางรุนแรงมาก ทุกคนรอบตัวได้ฟังอย่างชัดเจนและครุ่นคิดเกี่ยวกับการพูดยั่วยุของปี้ถงมาหนึ่งรอบ
เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วว่า คุณหนูเป็คนที่มีความกล้าหาญ ตอนนี้ดวงตาทั้งสองของพวกเขาสดใสและกำลังรอดูการแสดงที่จะเกิดขึ้น
ในขณะที่ทุกคนมองไปยังด้านหน้าประตูของศาลบรรพบุรุษนั้น กลับเห็นใบหน้ายิ้มแย้มราวดอกไม้ของฉินหยีหนิง
“ในวันที่มีความสุขมากๆ เช่นนี้ กลับได้ยินถ้อยคำเยี่ยงนี้จากพี่ปี้ถง ก็สามารถเห็นได้ชัดว่าคุณหนูฮุ่ยหนิงสอนคนของนางมาดีแค่ไหนแล้ว ไม่รู้ว่าที่พี่ปี้ถงพูดเป็เพราะคิดได้เอง? หรือว่าเป็เพราะคุณหนูของเ้าที่สอนให้?”
ฉินหยีหนิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ว่าสายตาของนางทำให้ปี้ถงนึกถึงคืนนั้น เมื่อกำปั้นของฉินหยีหนิงกระแทกที่ตัวของนาง ส่งผลให้นางรู้สึกเย็นะเืขึ้นมาทันควัน
ปี้ถงอยากจะตบตีกับนางสักหนึ่งยก
ทว่ากลับไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องยอม เมื่อมองท่าทางของฉินหยีหนิงแล้ว นางถึงกับริมฝีปากกระตุก แต่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา
“ในเมื่อคุณหนูของเ้าไม่ได้สอนกฎระเบียบเกี่ยวกับการเป็บ่าว วันหลังถ้าข้ามีเวลาว่าง ข้าจะต้องสอนเ้าให้ดีอย่างแน่นอน” ฉินหยีหนิงยิ้มเล็กน้อย “พี่ปี้ถงแค่รอก็เพียงพอแล้ว”
ร่างกายของปี้ถงสะท้านไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่ได้
ฉินหยีหนิงหันมองไปรอบๆ ใช้สายตากราดสำรวจคนที่เพิ่งหัวเราะเมื่อสักครู่นี้และเอ่ยพูด “ใครอยากจะเรียนกับแม่นางปี้ถง ก็รีบแสดงตัวออกมาเถิด”
ผู้คนที่เคยหัวเราะฉินหยีหนิง ตอนนั้นแม้แต่หายใจดังก็ยังไม่กล้าเลย แต่เดิมก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกนางเลย ทำไมจะต้องหาเื่ให้คุณหนูสี่โมโหด้วย? ถึงนางจะกระทำความผิดอีกครั้ง แต่นางก็ยังเป็ทายาทคนโตของฉินไท่ซืออยู่ดี ไม่ว่าอย่างไร ฉินฮุ่ยหนิงยังคงเป็เพียงลูกบุญธรรมอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าด้านนอกไม่มีอะไรแล้ว ฉินหยีหนิงก็ไม่มีอะไรจะดูต่อแล้วเช่นกัน จึงกลับเข้าไปข้างในเพื่อพักผ่อนสักเล็กน้อย
ไม่นานนัก เสี่ยวหลิงก็เข้ามาบอก “คุณหนู ล่าวไท่จุน นายท่าน พวกเขามากันแล้วเ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว”
ฉินหยีหนิงเดินมาถึงลานกว้างหน้าศาลบรรพบุรุษ ก็เห็นนายท่านรองฉินซิวหยวนและฮูหยินสองซูซื่อประคองล่าวไท่จุนที่แต่งตัวเต็มยศกำลังเดินเข้ามาที่ประตู
นายท่านสามฉินจื้อหยวนกับฮูหยินสามหวางซื่อเดินอยู่ข้างๆ ฉินหวยหยวน กำลังพูดคุยด้วยรอยยิ้ม
ข้างหลังพวกเขา คือคุณชายใหญ่ฉินหยูกับภรรยา คุณชายรองฉินหานกับภรรยาและพี่น้องคนอื่นๆ ต่างก็มาถึงแล้ว
ฉินฮุ่ยหนิงกับคุณหนูหกเดินจับมือกันอยู่ข้างหลังสุด เหมือนกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยอะไรกัน ดูเหมือนจะรู้ว่าฉินหยีหนิงกำลังมองไปที่พวกนาง เมื่อทั้งสองมองมาที่ฉินหยีหนิงก็หัวเราะเยาะ
สมาชิกในครอบครัวทุกคนต่างก็ได้มาถึงแล้ว ขาดอยู่คนเดียวก็คือซุนซื่อ
ดูท่า ซุนซื่อยังอยู่ที่จวนติ้งกั๋วกงไม่ยอมกลับมาอีกสินะ สงสัยคงจะกำลังยืดอกรอฉินหวยหยวนไปรับนางอยู่กระมัง
ฉินหยีหนิงถอนหายใจอย่างไม่มีทางเลือกอื่น นางจัดการอารมณ์ของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นเดินไปคำนับล่าวไท่จุน ท่านพ่อ ท่านลุงและท่านป้า
ฉินหวยหยวนมองไปที่ฉินหยีหนิงอีกครั้ง นอกจากจะไม่มีความขุ่นเคืองแล้ว กลับมีความชื่นชอบขึ้นมาอีกหลายส่วน
หากฉินหยีหนิงไม่ได้ไปที่จวนท่านอ๋องหนิงเพื่อขอคนกลับมา คงไม่มีการรวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็วเช่นนี้ และถ้าไม่มีท่านอ๋องหนิงโค่นล้มฉาวไท่ซือ ก็คงไม่มีวันนี้ วันที่เขาได้รับตำแหน่งเป็พระอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท
เดิมทีฉินหวยหยวนมีตำแหน่งเป็อัครมหาเสนาบดี เมื่อดูจากเส้นทางความเจริญก้าวหน้าของตำแหน่งนั้น ก็ถือว่าได้มาถึงจุดสูงสุดของเหล่าขุนนางแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำงานหนักเท่าใด อยากเลื่อนตำแหน่งก็คงเป็เื่ยากมาก อีกทั้งมันไม่ง่ายที่จะรักษาตำแหน่งของเขาให้ดำรงอยู่อย่างมั่นคงได้
นึกไม่ถึงเลย ว่าปัญหาที่ทำให้เขาเป็ทุกข์แก้ไม่ได้มานานหลายปี กลับได้รับการแก้ไขโดยการเดินหมากผิดของเด็กสาวคนนี้ เป็ที่รู้อย่างแน่ชัดว่าเด็กสาวคนนี้ไม่เพียงแต่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเท่านั้น ทว่ายังมีไหวพริบทางการเมือง มิหนำซ้ำนางก็ยังมีโชคใหญ่อีกด้วย
“หลายวันมานี้หยีเจี่ยร์อ่านหนังสือมาพอสมควรแล้วใช่หรือไม่? อีกสักครู่ก็ย้ายกลับไปที่เรือนเสวี่ยลี่เถิด”
ฉินหวยหยวนหันไปหาล่าวไท่จุนและเอ่ยขึ้น “ข้าเห็นว่าตำแหน่งที่ตั้งของเรือนเสวี่ยลี่ค่อนข้างไกลโพ้น เวลาเดินเท้าก็มากกว่า ดังนั้นยกเหยาฉินกับยวี้ฉีให้หยีเจี่ยร์ ส่วนเื่เงินเดือนของเหยาฉินกับยวี้ฉีก็นับเป็ของห้องหนังสือก็แล้วกันนะขอรับ”
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็นิ่งงัน
คนที่อยู่ในที่นี้ต่างก็รู้ดีว่า ห้องหนังสือของฉินหวยหยวนมีหญิงงามอยู่สี่คน ต่างก็เป็บ่าวลำดับที่หนึ่ง อายุสิบห้าปีทุกคน โดยแบ่งตามความถนัดของตนเองได้แก่พิณ หมากรุก อักษร วาดภาพ และได้ตั้งชื่อเป็เหยาฉิน ยวี้ฉี หม้อเซียง ตานชิง พวกนางทำงานแต่ในห้องหนังสือเท่านั้น และได้รับเงินเดือนเป็เงินส่วนตัวของฉินหวยหยวน ตำแหน่งของพวกนางหากเปรียบเทียบในบรรดาบ่าวทั้งหลายในจวนนั้น ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย
เื้ัมีคนพูดเป็ข่าวลือเยอะมากว่าซุนซื่อหึงฉินหวยหยวน เพราะเด็กสาวทั้งสี่คนนี้มาแล้วหลายครั้ง เมื่อหนึ่งปีก่อน นายท่านสองรู้สึกต้องตาต้องใจยวี้ฉี จึงเอ่ยขอจากฉินหวยหยวนเพื่อให้ไปเป็อนุภรรยา แต่ก็ถูกฉินหวยหยวนปฏิเสธไป
คราวนี้นึกไม่ถึงว่าจะให้ฉินหยีหนิงไปตั้งสองคน
คนข้างกายฉินหยีหนิงก็ไปแล้วหนึ่งคนคือหยูเซียง วันก่อนถูกทำโทษออกไปแล้วหนึ่งคนคือรุ่ยหลาน บ่าวที่อยู่ข้างๆ ขาดอยู่สองคนพอดี
เป็อะไรที่ยากมาก ที่บุคคลสำคัญอย่างฉินหวยหยวนจะใส่ใจว่าลูกสาวของตนยังขาดบ่าวอยู่อีกสองคน อีกทั้งยังทดแทนเข้าไปอย่างใจกว้าง
สรุปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้อยู่ในระดับไหนกันนะ?
ดูเหมือนว่าพวกเขาประเมินความรักของฉินหวยหยวนที่มีต่อลูกสาวต่ำเกินไปแล้ว!
ไม่ใช่ว่าฉินหยีหนิงจะกระทำความผิด แล้วถูกฉินหวยหยวนเกลียดชัง จึงกักบริเวณให้คิดทบทวนหรอกหรือ?
เมื่อดูๆ แล้ว เื่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย!
ฉินฮุ่ยหนิงกัดฟันดังกรอด นี่ฉินหวยหยวนกำลังให้เกียรติกับฉินหยีหนิงต่อหน้าทุกคน และจะบอกทุกๆ คนว่า นางเป็ลูกสาวที่เขารักมากที่สุด
แล้วนางล่ะ กลายเป็อะไรหรือ?