ฉู่เฟิงส่ายหัว เขาไม่เห็นด้วย
ถึงวัวน้อยตัวนี้จะสูงเพียงหนึ่งเมตร เรียกได้ว่าเป็เพียงลูกวัวเท่านั้น แต่ก็ดูไม่ธรรมดาเลย ตะลุยฝ่าออกมาได้ อาจจะมีอันตรายด้วยซ้ำ
ป่าเขาตกอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์
เ้าวัวสีทองตัวเล็กนั่นตื่นเต้นอย่างยิ่ง เมื่อออกมาได้สำเร็จมันส่ายหัว สะบัดหาง ร้องเสียง “มอ” ต่ำๆ ด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุด
ป่าบนเขามีต้นไม้ใบหญ้ามากมาย มีไม่น้อยที่ผลิดอก
เมื่อเ้าวัวสีทองเห็นเข้าก็ชะงักทันใด ความตื่นเต้นดีใจทั้งปวงเหือดหายทันควัน เดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังเหมือนกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เห็นได้ชัดว่ามันรับรู้ได้ถึงอันตรายที่ยังไม่อาจหลุดพ้น
มันค่อยๆ ก้าว กีบสีทองวางลงอย่างแ่เบา ยามเข้าใกล้ดอกไม้ประเภทเถาวัลย์ูเา สูดดมเบาๆ จากนั่นก็ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
เขาคู่เล็กสั้นของมันเปล่งประกายสีทอง มันแน่ใจแล้วว่าตัวเองปลอดภัย จากนั่นจึงออกเดินไปยังพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า
“เกสรดอกไม้ ตัวเร่งปฏิกิริยา” ฉู่เฟิงครุ่นคิด
เขาเห็นชัดเจนว่าเ้าวัวนั่นสูดเกสรดอกไม้เข้าไป เหมือนกับกำลังทดสอบอะไรสักอย่าง ท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก มันเดินวนรอบใหญ่ ััดอกไมู้เามากมาย
หลายวันมานี้ แผ่นดินเปลี่ยนแปลงมากมาย ที่พบเจอได้บ่อยก็คือพรรณไม้ทุกแห่งหนเติบโตอย่างรวดเร็ว ต้นไม้ใบหญ้าพากันผลิดอก อีกทั้งดอกตูมก็ผิดแผกไปจากที่เคยเป็
วัวน้อยสีทองเดินวนอีกรอบ ร่างกายของมันเกิดเปลวไฟสีทอง!
“มอ...”
มันร้องเสียงต่ำ สั่นไปทั้งตัว ท่าทางหวาดกลัวอย่างยิ่ง อาการเช่นนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันอาจจะเป็เช่นสัตว์หลายตัวก่อนหน้านี้ ถูกแผดเผาจนตายไปเหมือนกัน
ตรงปากทาง ดวงตาขนาดโคมไฟคู่แล้วคู่เล่ากำลังจับจ้อง ท่ามกลางความกดดันที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความชั่วร้ายที่คอยทิ่มแทง
“มันก็ต้องตายเหมือนกันเหรอ?” โจวเฉวียนตะลึง
เปลวไฟแวบวาบ เ้าวัวแตกตื่นสุดกำลังต่อต้านสุดแรง ส่งเสียงร้องไม่หยุดหย่อน ขนสีทองเรืองรองทั่วทั้งตัวสั่นเทา เกิดเป็ริ้วคลื่นเหมือนกับ้าสลัดให้หลุดพ้นจากเปลวเพลิง
แต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนหน้า วัวน้อยสีทองกลับไม่ถูกแผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกฮือขึ้นมาในพริบตา กลับมอดดับไปอย่างรวดเร็ว หาได้ทำอันตรายมันแต่อย่างใดไม่
“โฮก!”
กลางเทือกเขา เสียงส่ำสัตว์กู่ก้องคำรามดังขึ้น เหล่าสัตว์ร้ายเริ่มปั่นป่วน
ฉู่เฟิงอุดสองหูแน่น แต่ยังไม่วายโดนคลื่นเสียงกระแทกจนเืลมปั่นป่วน โจวเฉวียนยิ่งแล้วใหญ่หัวหมุนไปหมด พอก้นแตะพื้นก็แทบจะเป็ลม
เ้าวัวน้อยสีทองผ่านด่านนรกได้แล้วก็ไร้ท่าทีตื่นกลัว มันไม่เกรงกลัวอีกแล้ว เท้าทั้งสี่ออกย่างเดิน ส่งเสียงมอมอไม่หยุดหย่อน
เมื่อได้รับการกระตุ้นเช่นนี้ มีสัตว์ร้ายอีกหกเจ็ดตัวที่พุ่งออกมา บางตัวกางปีกบิน บางตัวโผนทะยาน เสียงลมหวีดหวิว ป่าเขาะเืเลื่อนลั่น
แต่ว่า จุดจบของพวกมันน่าสมเพชยิ่งนัก ทั้งหมดล้วนพ่ายแพ้ กลายเป็ลูกไฟลูกแล้วลูกเล่าที่ถูกแผดเผาอยู่ริมเทือกเขา เหลือทิ้งไว้ก็เพียงเถ้าธุลี
ท้ายที่สุด ตรงปากทางนั้นก็เงียบงัน ไร้สุ้มเสียง ไม่มีสัตว์ร้ายออกมาอีก
เ้าวัวน้อยสีทองที่ออกมาได้ทั้งที่ยังมีชีวิต สะบัดหัวส่ายหาง อารมณ์รื่นเริง จากนั้นก็ทำอากัปกิริยาที่ฉู่เฟิงและโจวเฉวียนตาค้าง
มันทำอย่างกับมันเป็คน นั่งลงขัดสมาธิด้วยขาหลังทั้งสอง แม้จะเก้ๆ กังๆ ง่อนแง่นไม่มั่นคง แต่ท่าทางก็เป็เช่นนั้น
จากนั้น มันยกขาคู่หน้าขึ้น ข้างหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า อีกข้างชี้ลงดิน ปากก็ส่งเสียงไม่ขาดสาย “มอ มอ มอ...”
“มันทำอะไรของมัน เคยไปศึกษาร่ำเรียนพระธรรมมาเรอะ?” โจวเฉวียนทำหน้าเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ
“นี่มัน เป็ปางประสูติของพระสัมมาสัมพุทธเ้า หัตถ์หนึ่งชี้ขึ้นฟ้า หัตถ์หนึ่งชี้ลงดิน ในโลกนี้ มีแต่เราเท่านั้นเป็ผู้ประเสริฐสุด!1” ตาอ้วนโจวตาค้าง
แค่เพียงลูกวัวตัวหนึ่งเท่านั้น กลับแสดงท่าทางเช่นนี้ เขารู้สึกว่ามันชวนหัวร่อยิ่งนัก
โจวเฉวียนสะกิดฉู่เฟิง พูดเสียงเบา “ฉันว่า น่าจะจับมันได้นะ เ้านี่มันเป็แค่ลูกวัวตัวเล็กๆ เอง รับมือไม่ยากแน่นอน!”
พูดจบคำ ฉู่เฟิงยังไม่ทันได้ตอบอะไร ลูกวัวสีทองก็พลิกตัว สี่ขาลงสู่พื้นดิน สะบัดขนสีทองเบาๆ ค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามา
“ถูกเห็นเข้าแล้ว!” โจวเฉวียนใ
“อย่าบุ่มบ่าม” จะอย่างไร ฉู่เฟิงก็รู้สึกว่าสัตว์พิสดารแบบนี้ ต่อให้ยังไม่โตเต็มวัย แต่ก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
เ้าวัวสีทองก้าวอย่างเชื่องช้า รูจมูกบานๆ หุบๆ ตรงดิ่งไปยังด้านข้างของโจวเฉวียน จากนั้นงับกระเป๋าหลังของเขาทันที แล้วออกแรงดึง
“จะแย่งของฉันเรอะ?!” ตาอ้วนโจวออกแรงดึงยื้ออย่างบ้าคลั่ง ป้องกันของไว้จากนั้นพลิกตัวอย่างกล้าหาญจนแทบจะขี่หลังเ้าวัวอยู่แล้ว
น่าเสียดาย เ้าวัวสีทองตัวนั้นว่องไวอย่างมาก แค่ออกแรงสะบัดก็ทำให้เขาตกลงมาได้ แถมยังยกลำตัวขึ้น สองขาหลังยืนบนพื้น ยื่นสองขาหน้ามาด้านหน้า เหมือนตั้งท่ามวยปล้ำแล้วทุ่มตาอ้วนโจวลงพื้น
ตาอ้วนโจวถึงกับเซ่อ นี่มันวัวอะไรกันวะ เป็มวยปล้ำด้วย? ตัวเล็กอย่างนี้กลับจับเขากดทุ่มได้อีกแน่ะ!
“พ่อจะลุยแกเอง!” โจวเฉวียนกลิ้งตัวลุกขึ้นมาได้ก็พุ่งเข้าหา กอดเ้าวัวสีทองไว้แน่น กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับมัน
เห็นเหตุการณ์อย่างนี้ ฉู่เฟิงก็พูดไม่ออก เขาชักกระบี่สั้นสีดำเล่มนั้นออกมา เตรียมจะฟันอยู่แล้วเพื่อช่วยตาอ้วนโจว
แต่ตอนนี้เขากลับวางมือ เพราะวัวตัวนี้ไม่มีกลิ่นอายฆ่าฟันแต่อย่างใด ดวงตาคู่นั้นกวาดมองอย่างรวดเร็วเหมือนดวงตามนุษย์ มีแววฉลาดอย่างยิ่ง
เขาไม่รู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับสัตว์ป่าตัวหนึ่ง แต่กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดอ่านระดับสูง ทั้งยังรู้สึกว่ามันไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด
แต่ว่า เขาก็อดทนดูตาอ้วนโจวเจ็บตัวไม่ได้ รีบกระโจนออกไปช่วยจับเขาทั้งสองของเ้าวัวน้อยไว้ คิดจะจับกดมันไว้กับพื้น
“ไอ้ลูกวัวนี่ มันเล็งลูกไม้ของฉันไว้!”
ระหว่างนี้ เ้าวัวน้อยสีทองแรงดีไม่มีตก สองขาหลังยืนมั่นบนพื้น ใช้สองขาหน้าโอบตาอ้วนโจวไว้ แล้วทุ่มจนเขากลิ้งไม่เป็ท่า
ตาอ้วนโจวหัวเสีย ถ้าถูกวัวชนล้มกลิ้งก็แล้วไป แต่นี่กลับถูกลูกวัวตัวกะเปี๊ยกจับทุ่มอย่างหมดจดงดงาม เขาล้มลุกคลุกคลาน โมโหเป็ฟืนเป็ไฟ
ฉู่เฟิงเข้ามาช่วย ออกแรงยึดเขาของเ้าวัวน้อย แล้วลากมันออกไปด้านข้าง
เขามองออกว่า เ้าวัวน้อยตัวนี้หากว่าบ้าเืจนเอาเขาสีทองพุ่งเข้าชนตาอ้วนโจวเข้าจริงๆ ด้วยพละกำลังมหาศาล คงได้ทะลวงพุงเป็รูจนเืพุ่งแน่ๆ แต่มันไม่มีความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น ไม่แม้แต่จะคิด
ทว่าตอนนี้ ตาอ้วนโจวโกรธจนไม่ลืมหูลืมตา เพราะเขาเห็นว่าไอ้ลูกวัวนั่นกำลังยิ้ม ฉีกยิ้มกว้างจนจะถึงรูหูอยู่แล้ว มันยิ้มเยาะเขา
“บ้าสิ ทับฉัน แล้วยังหัวเราะเยาะเย้ยฉันอีก เข้ามาเซ่!” ตาอ้วนโจวบ้าไปแล้ว
เสียง “ฟึ่บ” ดังขึ้น เ้าวัวสีทองใช้ปากฉีกกระเป๋าหลังของเขาเปิดออกได้ ก็ทำท่าจะกลืนลูกไม้ประหลาดสีแดงสดกลิ่นหอมหวนนั่นลงไปทันที
โจวเฉวียนร้อนรน ใช้กำลังทั้งหมดดันหัวมันไว้ ลูกไม้นี้ ถึงตัวเองจะไม่กล้ากิน แต่เขาก็ไม่คิดจะโยนมันทิ้ง เฝ้าครุ่นคิดมาตลอดทาง พอมาเกิดเื่เด็กหนุ่มมีปีกสีเงินงอกออกมา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ใช่เื่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นพวกระดับสูงอย่างเทียนเซิงเสินอู้จะต้อนรับเขาอย่างกับเศรษฐีใหม่ก็ไม่ปานได้อย่างไรเล่า?
ฉู่เฟิงละจากเขาวัว เข้ามาช่วยเขากอดรัดคอวัว ออกแรงง้างเปิด จะให้ยืนมองเ้าลูกวัวนี่กินลูกไม้นั่นไปไม่ได้
เ้าวัวสีทองดึงดัน ยังคงอ้าปากกว้างดันไปข้างหน้าที่จะกัดลูกไม้
“โพล๊ะ!”
เปลือกของลูกไม้สีแดงสดนั่นแตกออก แสงสีแดงสว่างไสว พื้นที่ตรงนั้นอบอวลขจรขจายไปด้วยกลิ่นหอมเหมือนดั่งแดนสรวง
ฉู่เฟิงตะลังงัน ลูกไม้ถูกเ้าวัวสีทองกลืนไปแล้วหรือ?
แต่ว่า พอก้มหน้าลง เขาเห็นตาอ้วนนอนอยู่บนพื้นดินตรงหน้าเขากำลังกระอักกระไอ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีแดงทุบหน้าอกตัวเองรัวๆ
่เวลาสำคัญนั้น เรียกได้ว่าเขามุทะลุมาก ยัดลูกไม้สีแดงลูกนั้นเข้าปากไปดื้อๆ เคี้ยวสองสามคำก็กลืนลงไปเลย เม็ดก็ไม่คาย ทำเอาเขาถึงกับตาเหลือก
เ้าวัวสีทองวางขาหน้าลง ไม่จับตาอ้วนทุ่มแล้ว ทั้งสี่ขาอยู่บนพื้นดิน ยืนอยู่ตรงนั้น ดูท่าทางเหมือนกับว่ามันโมโหอย่างถึงที่สุด ลูกไม้นั่นมีผลดึงดูดมันอย่างมาก มันโมโหเสียจนควันออกจมูก
เห็นได้ชัดว่า มันไม่ใช่สัตว์ดุร้าย ภายใต้ความผิดหวังเช่นนี้ ก็ไม่มีกลิ่นอายอาฆาตแต่อย่างใด
“สำลักแทบตายเลยฉัน น้ำๆๆ!” โจวเฉวียนโหวกเหวก กระอักกระไอไม่หยุด น้ำหูน้ำตาไหลพราก
ฉู่เฟิงฉุดเขาขึ้นมาจากพื้น ส่งน้ำให้ขวดหนึ่ง แล้วช่วยปัดหลังปัดไหล่ให้ โจวเฉวียนค่อยๆ ดีขึ้น
“สู้กับฉันเรอะ อ่อนไปนะแก!” เขามองเ้าวัวสีทองอย่างอาฆาตมาดร้าย ขณะเดียวกันก็พูดอย่างมีน้ำโห “แกไอ้ลูกวัว มาทุ่มฉันกลิ้งกับพื้น เืขึ้นหน้าแล้วโว้ย!”
“นายจะโมโหเ้าลูกวัวไปทำไม ลูกไม้นั่นน่าจะรสชาติไม่เลวนะ ตอนนี้รู้สึกอย่างไรมั่ง?” ฉู่เฟิงถาม กลัวจริงๆ นะว่าเขาจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น
“น้ำจากลูกไม้นั่นหอมหวาน แต่ยังไม่ทันได้ชิมรสชาติ ฉันก็กลืนลงไปซะก่อน” โจวเฉวียนเสียดาย ทำเสียงแจ๊บๆ ไม่หยุด พยายามนึกถึงรสชาติ
“ฉันรู้สึกหนาวหน่อยๆ มีพลังสายหนึ่งวิ่งพล่านข้างใน” พูดถึงตรงนี้ เขาหลับตาลงจับความรู้สึก
เวลานั้น เ้าวัวสีทองเพ่งมองเขาเขม็ง สุดท้ายจ้องไปที่ต้นหญ้าเขียวขจีที่อยู่ในมือเขา แต่แรกมันเป็เพียงต้นหญ้าป่าธรรมดา แต่หลังจากที่มันออกลูกไม้สีแดง ก็ดูจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
“ยังคิดจะแย่งกับฉันอีกเรอะ?” โจวเฉวียนถลึงตากลับไป พูดไปก็ดึงใบไม้มาใบหนึ่ง ยัดเข้าปาก เคี้ยวบดรุนแรง
“เฮ้ นั่นมันใบหญ้านะ กินไม่ได้ นายก็อย่าไปต่อล้อต่อเถียงน่า” ฉู่เฟิงสะกิดเตือนเขา
“ถุย ถุย ทำฉันลำบากอีก โคตรไม่อร่อยเลย” โจวเฉวียนรู้สึกว่า ตัวเองถูกลูกวัวตัวนั้นทุ่มจนโง่ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจะทำเื่งี่เง่าอย่างกินใบหญ้าได้ยังไง
ตรงหน้า วัวน้อยสีทองจ้องเขาถมึงทึง ตอนนี้ไม่ใช่แค่ควันออกจมูกเท่านั้น หูก็เริ่มมีควันออกมาแล้วด้วย แทบจะพุ่งชนเข้ามาเลยทีเดียว
“อย่าเข้ามานะ ที่โดนไปยังไม่พออีกเรอะ?” ตาอ้วนโจวเสียเซลฟ์เล็กๆ ยื่นต้นหญ้าเขียวอ่อนออกมาข้างหน้า
“ง่ำ!”
เ้าวัวสีทองงับทีเดียวครึ่งต้น แทบจะกัดมือของเขาทีเดียว ตาอ้วนโจวใจนปล่อยต้นหญ้าทิ้ง ถอยหลังกรูด
“ต้นหญ้านั่นแกกินไปเลย ไม่ต้องมาจ้องฉันแล้ว แล้วก็นะ ควันที่จมูกกับที่หูน่ะ เก็บไปเลย ไม่ต้องปล่อยออกมาแล้ว แกจะโมโหอะไร ฉันสิต้องโมโห ถูกทุ่มจนกระดูกพ่อเดี้ยงไปหมดแล้ว” โจวเฉวียนบอก
เ้าวัวสีทองสงบลง
“แกเข้าใจที่พวกเราพูดเรอะ?” ฉู่เฟิงอยากจะสื่อสารกับมัน เขาอยากรู้เื่การเปลี่ยนแปลงของเขาไท่หังซาน ลูกวัวตัวนี้เผ่นออกมาจากในเขา บางทีมันอาจจะรู้ทั้งหมด
เ้าวัวสีทองไม่ผงกหัว แต่ก็ไม่ส่ายหัว กลับเริ่มมองพวกเขาอย่างประเมิน
“มันฟังไม่รู้ความหรอก นายต้องทำอย่างนี้” โจวเฉวียนคว้าหญ้ามากำหนึ่ง เดินไปข้างหน้าแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย พูดว่า “ไอ้เกลอกินสิ พวกเรามาทำความคุ้นเคยกันหน่อย หันหลังให้พ่อโจวขี่หลังหน่อยเป็ไง พ่อจะให้แกกินหญ้าสดใหม่ทุกวันเลย”
ทันใดนั้น เ้าวัวสีทองก็เงยหน้าขึ้น หรี่ตามองเขา สายตาอย่างนั้นมันทำให้ตาอ้วนโจวชักจะสับสนในชีวิต
เพราะว่า เ้าวัวสีทองเหมือนกับจะแฝงแววหยามเหยียดอยู่ในท่าทีที่แสดงออก
“เฮ้ นายรู้สึกไหม?” โจวเฉวียนถามฉู่เฟิง “ทำไมฉันรู้สึกแปลกๆ ไอ้ลูกวัวนี่เหมือนกับกำลังดูถูกว่าฉันเป็ไอ้งั่งอย่างไงอย่างงั้นเลย”
“ใช่เลย” ฉู่เฟิงพยักหน้า
“ฉันถูกไอ้ลูกวัวนี่ดูแคลนงั้นเรอะ?” โจวเฉวียนเป็ฟืนเป็ไฟ
จากนั้น เขาชี้หน้าเ้าวัวสีทองแล้วพูดว่า “กินต้นหญ้าของฉันไปแล้ว แกต้องให้ฉันขี่หลัง ได้ยินไหม?!”
“ฟึ่บ!”
วินาทีต่อมา เ้าวัวสีทองก็วิ่งสี่ขาไปด้านหลังของโจวเฉวียน จากนั้นยกตัวขึ้นยืนด้วยสองขาหลัง สองขาหน้าวางลงบนไหล่ของเขา สุดท้ายก็กอดคอเขาแน่น
“ฉัน...เอ่อ..อั่ก...” โจวเฉวียนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไอ้ลูกวัวนี่เกาะติดตัวเขา หนึบหนับอย่างกับกอเอี๊ยะหนังหมา2
“อะไรวะ? แกต้องให้ฉันขี่หลังโว้ย นี่แกทำอะไรวะ!?” เขาร้องโวยวายพลางหอบแฮก
“ฉันว่า มันอยากขี่หลังนายนะ” ฉู่เฟิงหัวเราะ
โจวเฉวียนครุ่นคิด ไอ้ลูกวัวนี่มีเจตนาอย่างนั้นจริงๆ
โดยเฉพาะเมื่อเขาหันกลับไปเห็นมันฉีกยิ้มใสซื่อ แถมยังพยักพเยิดให้เขาอีก โจวเฉวียนเห็นแล้วให้รู้สึกหมั่นไส้เต็มกำลัง
“ลงไปเลยนะแก!”
ในป่าพลันเกิดเสียงวุ่นวายขึ้น
อีกครู่ต่อมา โจวเฉวียนวิ่งตะบึง หอบแฮกอยู่ข้างหน้า เ้าวัวสีทองวิ่งตาม สองขาหลังติดพื้น สองขาหน้าเกาะติดอยู่กับหลังของโจวเฉวียน พยายามขี่หลังเขา
“ช่วยด้วยยยยย!”
ตาอ้วนโจวหมดสภาพในที่สุด ปลุกปล้ำกันมาตั้งนาน เขารับมือไอ้ลูกวัวนี้ไม่ได้เลย ขี่มันไม่ได้ แถมยังจะถูกมันขี่อีกต่างหาก
“ฉันไม่รู้ว่าแกมาจากไหนนะ แต่ฉันรู้ว่าโลกของพวกเราที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตอนนี้ มีอิทธิพลต่อแก่อย่างมาก” ฉู่เฟิงเอ่ยปาก
พริบตานั้น เ้าวัวสีทองก็ชะงัก ไม่ไล่ตามโจวเฉวียนอีกต่อไป แต่หันไปมองฉู่เฟิงแทน
“ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องตาย บรรดาสัตว์ร้ายพวกนั้นก็ยังตะเกียกตะกายเข้ามาในโลกของพวกเรา แสดงว่าต้องมีแรงดึงดูดอย่างมาก” ฉู่เฟิงยังคงพูดต่อ
เขาเบี่ยงเบนความสนใจของเ้าวัวได้ ทำให้มันสงบลงได้แล้ว
ตาอ้วนโจวที่เมื่อครู่ถูกปั่นหัวจนหมดท่า ที่สุดก็หลุดพ้นออกมาได้รีบพุ่งตัวหลบหลังฉู่เฟิง กระแทกตัวนั่งกับพื้น ทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ฉันถูกไอ้ลูกวัวหยาม ขายขี้หน้าเป็บ้า!” เขาพึมพำสบถ ไม่กล้าส่งเสียงโวยวาย
ขณะเดียวกัน ความสนใจของเขาก็ถูกดึงไปด้วยคำพูดของฉู่เฟิง
“หลังจากที่โลกของพวกเรากลายพันธุ์ แม้แต่ต้นหญ้าข้างทางก็ออกลูกไม้ประหลาด ยิ่งพอมีคนกินลูกไม้ประหลาดนั่นเข้าไป ก็กลายเป็บินได้ ฉันคิดว่าอีกหน่อยน่าจะมีลูกไม้ประหลาดๆ ออกมาอีกใช่ไหม พวกแกมาเพราะเื่นี้ล่ะสิ” ฉู่เฟิงเอ่ย
เขาเดาต่อไป “ฉันว่า ใน่แรกสุดของการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะอันตรายอย่างยิ่ง แต่ใน่เวลาสั้นๆ ตรงนี้ ก็มีความเป็ไปได้ที่จะเป็... าา? แกเลยมาที่นี่”
าา นี่เป็คำที่ฉู่เฟิงยกขึ้นมาใช้แทนไปก่อนเท่านั้น เขารู้ว่า เ้าวัวสีทองเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
เ้าวัวสีทองสงบเสงี่ยมยิ่งกว่าเดิม
“พวกแกมาจากไหนกันแน่?” ฉู่เฟิงถามคำถามแ่เบา
************************************************
1 ปางประสูติ เป็ลักษณะรูปของพระโพธิสัตว์ขณะประสูติ โดยพระนางสิริมหามายาทรงยืนเหนี่ยวกิ่งสาละ เมื่อพระราชกุมารประสูติก็ประทับยืน ย่างพระบาทไปเจ็ดก้าวพร้อมกับมีดอกบัวผุดมารองรับเจ็ดดอก แล้วทรงกล่าววาจา "เราเป็ผู้เลิศในโลก เราเป็ผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็ชาติสุดท้าย บัดนี้การเกิดใหม่มิได้มี"
2 กอเอี๊ยะหนังหมา เป็ยาจีนใช้ภายนอกชนิดหนึ่ง บรรเทาอาการปวด บวม อักเสบของกล้ามเนื้อ สมัยโบราณทาตัวยาบนหนังหมา แล้วปิดบริเวณที่เ็ป แต่ปัจจุบันใช้ผ้าแทน