เ้าวัวสีทองนิ่งเงียบ ไม่มีแม้เสียงมอ ไม่แม้แต่จะผงกหัวหรือส่ายหัว มันจ้องมองฉู่เฟิงนิ่ง เหมือนกำลังใคร่ครวญอะไรบางอย่าง
“ฉันว่าไอ้ลูกวัวตัวนี้พิลึก อย่าไปตอแยมันดีกว่า” โจวเฉวียนเอ่ยปาก เขาเพิ่งถูกมันป่วน ออกจะเกรงๆ ไม่อยากจะดึงความสนใจจากมันสักเท่าไหร่
“เกสรดอกไม้ ตัวเร่งปฏิกิริยา” ฉู่เฟิงพลันเอ่ยสองสามคำนี้ออกมา
วันจบการศึกษา ครอบครัวของหลินนั่วอีส่งรถมารับ เธอเอ่ยคำพวกนี้ออกมาท่ามกลางความคลุมเครือ แต่ว่าตอนนั้นเขาถูกกันออกห่างอย่างเ็า ไม่อาจได้ยินได้ชัดเจน
พอคำเหล่านี้หลุดปากออกไป แววตาของเ้าวัวสีทองเป็ประกาย แล้วผงกหัวให้เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันมีการตอบสนองในที่สุด
มันเข้าใจคำพูดของฉู่เฟิง คำไม่กี่คำนี้ โดนใจมันอย่างจัง
ฉู่เฟิงเหม่อเล็กน้อย ลูกไม้ประหลาดนั่นอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เกสรจากดอกไม้ประหลาดต่างหากที่ดูจะมีความสำคัญกว่า นี่เป็สิ่งที่เขาคาดเดา
ในเมื่อเป็เช่นนี้ ฉู่เฟิงจึงถามเื่อื่น มันไม่ตอบสนอง ไม่มีท่าทีอะไรเลย
“ฉันเคยเห็นูเาสำริดลูกหนึ่งในเขตที่ราบสูงทางตะวันตก มันเผยตัวออกมาหลังจากเกิดฟ้าผ่า บนเขามีต้นไม้ประหลาดงอกออกมาหนึ่งต้น เวลาที่ดอกไม้บาน แม้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็ได้กลิ่นหอมอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ กลิ่นหอมทำให้ผู้คนรู้สึกตัวเบาหวิวเหมือนกับจะล่องลอยโบยบินสู่แดนเซียน”
ฉู่เฟิงเล่าเื่นี้ เพื่อจะทดสอบมันดู
โจวเฉวียนหัวสมองว่างเปล่า นิ่งฟังอยู่ด้านข้างอย่างสงบ
เ้าวัวสีทองไม่อาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป มันตื่นเต้น เคลื่อนตัวเข้าใกล้ ผงกหัวไม่หยุด ปากก็ส่งเสียงมอๆ เหมือนกำลังคะยั้นคะยอให้เขาพูดต่อ
ฉู่เฟิงชักสงสัย ดอกไม้จากต้นไม้เล็กๆ นั่นสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ? เขาเคยััมันมาก่อน แต่ก็แค่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่เดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
อีกทั้งท่าทางตื่นเต้นของเ้าลูกวัวสีทอง ดูมันคาดหวังกับดอกไม้ที่บานจากต้นไม้ต้นเล็กนั่น มากกว่าลูกไม้สีแดงของโจวเฉวียนเสียอีก
“ที่นั่นฉันเห็นนกั์สีทอง มาสทิฟฟ์ศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็จามรีสีดำตัวใหญ่พวกเดียวกับเ้าด้วย” ฉู่เฟิงพูด พลางสังเกตอาการของมัน
เ้าวัวสีทองตัวนี้ท่าทางการแสดงออก เงี่ยหูฟัง ฉีกยิ้มกว้างเหมือนกับคน มีทั้งอาการนิ่งงัน อาการตื่นเต้น มันสนใจเื่นี้อย่างมาก
“ในโลกของพวกเรานี้ ถึงจามรีหรือมาสทิฟฟ์จะไม่เข้าขั้นว่าเป็สัตว์จำพวกไพรเมต1 ยังไม่มีวิวัฒนาการทางสติปัญญา แต่ทีู่เาสำริดกลับปรากฏสัตว์ที่ไม่ธรรมดาหลายตัวอย่างนั้น ทั้งยังมีสติปัญญามากยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก”
ฉู่เฟิงสังเกตปฏิกิริยาของมัน ค่อยๆ พูดเลียบๆ เคียงๆ เข้าใกล้สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้
จริงดังคาด พอเ้าวัวสีทองได้ยินก็มีท่าทีเคร่งเครียด เหมือนกับให้ความสำคัญกับสัตว์พวกนั้นอย่างมาก
“ฉันคิดว่า ด้วยสภาพแวดล้อมตรงนั้นในอดีต พวกมันน่าจะสามารถพัฒนาสติปัญญาได้ อีกทั้งดินแดนที่ราบสูงทิศตะวันตกเองก็ไร้ซึ่งผู้ต่อกร ดังนั้น เมื่อโลกเกิดการกลายพันธุ์ บางทีพวกมันอาจจะเหนือกว่าธรรมดา ถึงขนาดเป็เทพเลยทีเดียว”
เ้าวัวสีทองฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ผงกหัวรับอย่างลืมตัว เห็นได้ว่าเป็พฤติกรรมจากจิตใต้สำนึกที่ตอบรับคำพูดของฉู่เฟิง
แต่แล้ว มันก็นึกขึ้นได้ สงบนิ่ง ไม่แสดงท่าทีตื่นเต้นอะไร ด้วยไม่้าเผยสิ่งที่มันคิดอยู่ในใจ
แต่ว่า ฉู่เฟิงก็มองออก ยืนยันในสิ่งที่ตัวเองคาดเดาได้
“ฉันว่า หลังจากที่โลกเราเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็เป็ไปได้นะที่จะกลับไปยัง่เวลาแรกเริ่ม? ณ เวลาแรกสุด มันง่ายดายเหลือเกินที่จะเป็...เทพ?” ฉู่เฟิงเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง เพื่ออธิบายสิ่งนั้นที่ไม่มีใครรู้ได้
เ้าวัวสีทองลูกั์ตาหดวูบ เห็นได้ว่าสิ่งนี้โดนใจมันอย่างจังอีกครั้ง
“พวกเ้าดาหน้าระลอกแล้วระลอกเล่า เพื่อจะเข้ามาที่นี่ นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ใน่เวลาแรกเริ่ม ใครๆ ก็คิดจะเสาะหาโอกาสที่จะเป็เทพ?!” ฉู่เฟิงพูดอีกครั้ง
ตอนนี้ แม้แต่โจวเฉวียนก็พอจะจับทางได้ ถึงเขาจะยังใอยู่ แต่ก็เริ่มคาดเดาไปในทางเดียวกับฉู่เฟิง
เวลาที่เ้าวัวสีทองตัวนั้นมองดูฉู่เฟิง มีแววสนิทสนม ออกจะมีแววนับถือด้วยซ้ำ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่แววตาที่ใช้มองโจวเฉวียน
“แกหมายความว่าไงหา? มองฉันล่ะมองเหยียดอย่างกับมองไอ้งั่ง มองเขาล่ะ กลับมองเสมอกัน ยกย่องเสียอีกแน่ะ ไอ้ลูกวัวนี่ มันน่าโมโหชะมัด!” โจวเฉวียนรู้สึกปวดใจ
ที่ร้ายกว่าคือ ตอนนี้เ้าวัวสีทองฉีกยิ้มกว้าง หัวเราะเยาะเขาอย่างไม่มีเสียง ลูกตามันบอกอยู่ชัดเจน
ครึ่งคืนหลัง ูเาสงบเงียบ พวกเขาห่างจากทางออกเทือกเขาไท่หังซานออกมาอีกระยะหนึ่งแล้ว ไม่มีััจากกลิ่นอายอันดุดันจากพวกสัตว์ร้ายอีก
แสงจันทร์อบอุ่น ทอแสงสุกใส โลมไล้ทั่วผืนป่า
“พี่น้อง ต้นไม้ที่นายไปเจอบนเขาสำริดนั่น พิสดารขนาดนั้นเลยเหรอ? สัตว์ประหลาดสามตัวแย่งดอกไม้กัน ทำไมนายไม่แย่งมาบ้าง?” โจวเฉวียนถาม
“มีกลีบดอกสี่กลีบร่วงใส่มือฉัน” ฉู่เฟิงตอบ
“ได้มาจริงๆ เหรอ?” ตอนแรกโจวเฉวียนก็ถามไปงั้นๆ เขาเห็นว่า มีทั้งมาสทิฟฟ์ดุร้าย ทั้งนกั์สีทอง ฉู่เฟิงมีชีวิตรอดลงเขามาได้ก็บุญแล้ว
มาถึงตอนนี้ เ้าวัวสีทองตื่นเต้นสุดขีด กระโจนมาตรงหน้า เอาหัวไถมือของฉู่เฟิง เบิกตากว้าง เหมือนพยายามมองอะไรสักอย่าง
“ผ่านมาตั้งหลายวัน ไม่มีั้แ่แรกแล้วน่า” ฉู่เฟิงหัวเราะ
แต่ว่า เจ้ววัวสีทองนั่นยังไม่ยอมถอย เดินวนเวียนรอบตัวเขา อีกทั้งแววตาแปลกประหลาด สุดท้ายยืดตัวขึ้นยื่นขาหน้าข้างหนึ่งออกมาชี้ที่ฉู่เฟิง ท่าทางทั้งตื่นเต้นทั้งเสียดาย ผสมปนเปกันไป
“แกรู้อะไรกันแน่ รีบบอกฉันมาเดี๋ยวนี้เลย!” โจวเฉวียนจ้องลูกวัว
“มอ!” มันตอบแค่นี้
โจวเฉวียนหัวร้อนจนอยากจะตบมันสักป้าบ แต่ก็ไม่กล้า
ฉู่เฟิงกับโจวเฉวียนเดินอยู่ข้างหน้า เ้าวัวสีทองเดินตามอยู่ข้างหลังไม่ห่าง ดูท่าทางเกาะติดจนถึงที่สุด
พวกเขาเดินทางมุ่งหน้าไปยังอำเภอต่อไปที่ชื่อว่า ซุนผิง บ้านของโจวเฉวียนอยู่ที่นั่น หลังจากเสียเวลากันมานาน ก็ถึงที่หมายในที่สุด
“ไอ้ลูกวัว เอ็งมีชื่อหรือเปล่าเนี่ย? ในเมื่อตามพวกเรามาอย่างนี้ ยังไม่รู้เลยจะเรียกแกว่ายังไง หรือจะเรียกไอ้ลูกวัวดี?” โจวเฉวียนหันมาถาม
จากนั้น เขาก็กระตือรือร้นช่วยมันตั้งชื่อ
“เพิ่งตัวกะเปี๊ยก ก็ชั่วร้ายได้เบอร์นี้แล้ว แถมยังมารได้อีก ฉันเรียกแกว่าหนิวหมัวหวัง2 (าาปีศาจวัว) แล้วกัน ฟังดูมีพลังแล้วก็เพราะด้วย” โจวเฉวียนคะยั้นคะยอสุดกำลังให้มันเห็นด้วย
ตึง!
ผลก็คือ เขากินกีบวัวไปข้างนึง ลงไปกองอยู่กับพื้น เป็นานก็ลุกไม่ขึ้น
“บ้าเอ๊ย หนิวหมัวหวัง!” โจวเฉวียนโอดโอยอยู่นาน กว่าจะลุกขึ้นมาได้ โมโหจนอยากะวิ่งเข้าไปซัดมันสักเปรี้ยง
ในที่สุด ก็เข้าเขตตัวอำเภอ ขณะนั้นเป็เวลาดึกดื่นค่ำคืนแล้ว ถนนหนทางเงียบสงัด บางคาบคราก็มีแมวะโออกมา โคมไฟตามถนนดับมืด
ฉู่เฟิงร่ำลากับโจวเฉวียน เขาต้องเดินทางต่ออีก่หนึ่งจึงจะถึงบ้าน
โจวเฉวียนคะยั้นคะยอให้เขาค้างแรม วันรุ่งขึ้นค่อยออกเดินทาง
ฉู่เฟิงส่ายหัว เขามีความกังวลลึกๆ ว่าหากผ่านพ้นคืนนี้ไป ระยะทางอีกไม่กี่กิโลเมตร อาจกลายเป็สิบกว่าถึงห้าสิบกิโลเมตรเป็อย่างต่ำ สองวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงรุนแรง ไม่อาจจะคาดเดาได้
“พี่น้อง ระวังตัวด้วย ไว้ฉันเจอกับครอบครัวและจัดการอะไรต่อมิอะไรจนเรียบร้อยแล้ว จะไปหานาย” โจวเฉวียนพูด
เขาเข้าใจ บางทีในอนาคตอันใกล้ โลกทั้งใบอาจเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง บนหนทางนี้สามารถพานพบคนบ้านเดียวกัน ผูกมิตรกันได้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง
ท่าทางเ้าวัวสีทองคงติดตามฉู่เฟิงไปอย่างแน่นอนโดยไม่ลังเล ไม่แม้แต่จะหันมามองเขาสักนิด ตาอ้วนโจวก็โกรธจนแยกเขี้ยว
“ไอ้ลูกวัวอกตัญญู กินหญ้าของฉันไปแล้ว ตอนจากกันยังไม่มาร่ำลากันอีก?!” โจวเฉวียนะโไล่หลัง
เ้าวัวสีทองได้ยิน แต่ก็ไม่เหลียวกลับไป มันเดินเอ้อระเหย ยกหางของตัวเองขึ้นสูง แล้วส่ายใส่หน้าเขา
โจวเฉวียนตาค้าง หางวัวยกสูงได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่เคยพบไม่เคยเห็น นี่มันดูถูกเขาอีกแล้ว
“ไสหัวไปเลย ไอ้หนิวหมัวหวัง!” โจวเฉวียนปรี๊ดแตก
เขาอยากจะช่วยฉู่เฟิงหารถสักคัน แต่ก็ถูกปฏิเสธ เพราะเ้าวัวสีทองทั้งตัวนี้เตะตาเกินไป ไม่เหมาะที่จะให้ผู้คนจำนวนมากพบเห็น
ตอนนี้ ตาอ้วนโจวรู้สึกเหนื่อยมาก อยากล้มตัวลงนอนเสียทันที เขารู้สึกว่าหลังจากที่กินลูกไม้นั่นเข้าไป ข้างในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกๆ
“แล้วเจอกัน!”
ถึงแม้ว่าจะผ่านค่อนคืนไปแล้ว แต่กลับไม่มืดสนิท จันทร์สุกสกาวลอยเด่น ทั่วอาณาบริเวณกระจ่างสว่างไสว
ภายใต้แสงจันทร์ส่องสกาว เ้าวัวสีทองทั่วร่างอร่ามเรืองรอง
ระหว่างทาง ฉู่เฟิงประหลาดใจอย่างมาก เขาลองััดูเบาๆ มันไม่ได้ทำจากโลหะ แต่เป็ขนวัวจริงๆ เลื่อมระยับนุ่มนวลดุจผ้าแพรต่วน มีเพียงสองเขาสีทองเท่านั้นที่แข็งอย่างยิ่ง เย็นอย่างยิ่ง
เมืองชิงหยาง อยู่ห่างจากตัวอำเภอไปอีกราวห้ากิโลเมตร
ฉู่เฟิงเกิดที่นี่ จนกระทั่งอายุสิบขวบ จึงติดตามบิดามารดาไปยังเมืองซุ่นเทียน มหานครที่ห่างออกไปอีกร่วม 100 กิโลเมตร
เมืองซุ่นเทียน เมืองหลวงในยุคหกราชวงศ์ เป็เมืองที่ใหญ่ที่สุดทางทิศเหนือ
แต่ว่าหลายปีมานี้ ครอบครัวของเขายังคงกลับไปยังเมืองชิงหยางในทุกๆ ่วันหยุดพักร้อน ด้วยความรู้สึกคุ้นเคยเป็อย่างยิ่งกับที่นี่
แม้จะเป็เวลาดึกดื่น แต่ฉู่เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเปิดเครื่องมือสื่อสารติดต่อกับพ่อ แจ้งว่าอีกไม่นานเขาก็จะถึงบ้านแล้ว
เมื่อตอนกลางวัน เขาได้ติดต่อพ่อแล้ว จึงรู้ว่าพวกท่านยังคงอยู่ที่ซุ่นเทียน ยังไม่ได้เดินทางกลับมา
ตอนนี้ เขารู้แล้วว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาดที่เทือกเขาไท่หังซานอันตรายอย่างยิ่ง หากมีสัตว์ร้ายหลุดออกมาเพียงแค่ไม่กี่ตัว นั่นก็นับเป็ภัยพิบัติแล้ว ดังนั้น เขายังไม่อยากให้พ่อกับแม่รีบกลับมา
“พ่อฮะ ผมใกล้ถึงบ้านแล้วฮะ”
เมื่อต่อสายได้ เขาจึงเล่าเื่เหตุการณ์ทางนี้ให้ฟัง อีกทั้งยังกำชับไม่ให้พวกท่านกลับมา ส่วนเขาอาจเดินทางไปหาแทน
ฉู่เฟิงเห็นว่า ทางนั้นเป็ศูนย์กลางของภาคเหนือ เป็เมืองที่ใหญ่ที่สุด หากมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น การป้องกันย่อมเข้าขั้นสูงสุดเช่นกัน
เขาคุยอยู่นาน ในที่สุดก็สามารถกล่อมให้พ่อกับแม่รอเขาอยู่ที่มหานครนั้นได้
ราตรีเงียบสงบ ในที่สุดก็ถึงบ้านเสียที
นี่เป็อาคารสองชั้นหลังหนึ่ง ตั้งอยู่สุดฝั่งตะวันออกของเมืองชิงหยาง อาณาบริเวณสวนกว้างขวาง ทั้งยังติดกับสวนผลไม้ของเพื่อนบ้าน มองไปไกลๆ จะสามารถมองเห็นเขาไท่หังซานได้ ทัศนียภาพแปลกตาไม่เหมือนใคร
นี่เป็เหตุผลที่ครอบครัวของฉู่เฟิงชอบที่จะกลับมายังที่นี่
เขาขึ้นไปชั้นสอง เข้าไปยังห้องนอน หัวถึงหมอนก็หลับทันที
เช้าตรู่ แสงทองสาดส่องเข้าสู่ห้องนอน อาทิตย์อุทัยนำมาซึ่งเมฆสีกุหลาบเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต
แม้จะเข้านอนดึกดื่น แต่ฉู่เฟิงก็ตื่นได้ในทันที
เขาเปิดเครื่องมือสื่อสารก่อน ดูว่ามีข่าวครึกโครมอะไรอีกหรือไม่ เนื่องด้วยเกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกที่ มีเหตุประหลาดเกิดขึ้นได้ทุกแห่ง จำเป็ต้องคอยติดตาม
“เทวะาา?”
เขาตะลึงเมื่อเห็นข่าวเช่นนี้บนอินเทอร์เน็ต ด้วยว่าสองวันมานี้ นอกจากข่าวเด็กหนุ่มลึกลับที่มีปีกสีทองงอกออกมาคนนั้นแล้ว ยังก็เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติกับมนุษย์อีกสามกรณี
นอกจากนี้ มีการยืนยันแล้วว่า ทั้งสามคนล้วนได้รับพลังเหนือธรรมชาติอันน่าเกรงขาม พวกสอดรู้เรียกคนเหล่านี้ว่าเทวะาา
มีบทความที่วิเคราะห์ในทุกแง่มุมออกมาพูดว่า หากยังคงเป็เช่นนี้ต่อไป ก็อาจจะมีคนบางส่วนได้รับพลังเหนือธรรมชาติเพิ่มขึ้น มีความเป็ไปได้ที่จะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความพิศวง
ส่วนคนที่ได้รับพลังใน่แรกๆ เป็ไปได้สูงว่าจะเป็ผู้ชักนำคนอื่นๆ แล้วสักวันการที่จะได้รับการขนานนามว่าเทวะาา ก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
อย่างเช่น เด็กหนุ่มมีปีกสีเงินที่เทียนเสินเซิงอู้รับตัวไปนั่นไง ตอนนี้เขาสามารถโบยบินสู่ฟากฟ้าได้ อนาคตจะเป็เช่นไรไม่อาจคาดเดาได้เลย!
ฉู่เฟิงวางเครื่องมือสื่อสาร แล้วลงไปที่สวน
เขาตื่นตะลึงทันควัน เพราะท่าทางของเ้าวัวสีทองที่กำลังอาบแสงแดดเรืองรองยามเช้านั่น แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ตอนนี้ มันเหมือนกับเป็มนุษย์ สองขาหลังขัดสมาธินั่งอยู่บนพื้น สองขาหน้าวางอย่างผ่อนคลาย หันหน้าสู่ดวงตะวันที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ดื่มด่ำแสงอาทิตย์อุทัย
นี่มันพิสดารไปแล้ว แค่วัวตัวหนึ่งชัดๆ แต่มันกลับทำอย่างกับเป็มนุษย์ เหมือนกับมันกำลังนั่งขัดสมาธิเดินลมปราณ
ฉู่เฟิงมองอย่างประหลาดใจ รู้สึกว่าจังหวะการหายใจของมันแปลกๆ
เขารู้สึกแปลกใจอยู่ชั่วขณะ เพ่งมองมันอยู่นาน แต่แล้วก็ทดลองหายใจตามจังหวะของมัน
*******************************************
1 ไพรเมต เป็กลุ่มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จำพวกลีเมอร์ ลิง และลิงไม่มีหาง ซึ่งมนุษย์ก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
2 หนิว แปลว่า วัว หมัว แปลว่า ปีศาจ หวัง แปลว่า าาหรืออ๋อง