อารมณ์ของหรงซิวตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน ทั้งดีใจทั้งสับสน
เขาคิดว่าตัวเองหล่อเหลา สุภาพและสง่างาม แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะต้องพ่ายแพ้แก่ทองเพียงก้อนเดียว
นี่ถือเป็การตบหน้าเขาอย่างรุนแรง!
ถ้าเป็สตรีอื่น คงถูกไล่ออกไปจากจิ่วเซียว [1] ไปนานแล้ว แต่ผู้ที่ดูแคลนเขากลับเป็พระชายาของเขาเอง
หรงซิวสูดหายใจเข้าลึกๆ ปลอบโยนตนเองว่าอย่าโกรธ สตรีที่เขาเลือกเอง แม้ว่าจะทรหดหรือลำบากเช่นไรก็ต้องอดทนไว้
เมื่อปลอบใจตัวเองเสร็จ เขาก็ยิ้มออก ก้าวไปข้างหน้าและยื่นก้อนทองคำให้นาง
สตรีตัวน้อยบนตั่งรับมันด้วยรอยยิ้ม มองมันอย่างละเอียด แล้วเก็บไว้ในแขนเสื้อ
การเจรจาระหว่างคนทั้งสองเสร็จสมบูรณ์ อวิ๋นอี้ไม่มีกะจิตกะใจที่จะคุยต่อ "ฝ่าา หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าจะพักผ่อนนะเพคะ"
พูดพลาง นางก็หลับตาลง
หรงซิวจ้องมองด้วยสายตาลึกซึ้ง ั้แ่คิ้วบางๆ ของนางไปจนถึงริมฝีปากแสนเย้ายวน ทั้งที่เขาได้เห็นท่าทางในทุกอิริยาบถแล้วแท้ๆ แต่ในยามนี้ ตอนที่นางเงียบสงบ กลับเป็เวลาที่นางมีเสน่ห์ที่สุด
ริมฝีปากของเขาขยับ เบือนหน้าหนี เพราะนึกได้ว่าเขายังมีธุระที่ต้องจัดการ จึงหันกลับไปนั่งที่โต๊ะ
แต่ก่อนหรงซิวรวมต่อสู้กับกองทัพมากมาย คิดมาเสมอว่าตัวเองเป็แม่ทัพทหาร แต่เมื่อไม่นานมานี้ ราชวงศ์ต้าอวี่ที่เน้นการพัฒนาแว่นแคว้นอย่างสันติ บรรลุข้อตกลงเป็มิตรและค้าประโยชน์ร่วมกันกับแคว้นเพื่อนบ้าน ไม่มีาที่ชายแดนมีเพียงทหารบางส่วนเท่านั้นที่ถูกส่งไปเฝ้า ในขณะที่เขาถูกเรียกกลับเข้าเมืองหลวง
เดิมอยากจะกลับมาเป็องค์ชายว่างงาน นั่งกินนอนกิน แต่ฮ่องเต้บอกว่าไม่อาจฝังความสามารถของเขาเอาไว้ในดินได้ จึงให้เขาเข้าไปช่วยงาน
การเข้าไปช่วยงานที่ว่าเป็เพียงแค่คำพูดให้ดูดีเท่านั้น อันที่จริงเขาเปรียบเหมือนอิฐ ที่ใด้าตัวก็ต้องรีบไปเติม
เมื่อสองวันก่อน เขารับผิดชอบเื่การบรรเทาภัยพิบัติ ยามนี้่เทศกาลตรุษจีนเพิ่งจะผ่านพ้นไป เขาก็ถูกส่งตัวไปเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการล่าสัตว์ในวสันต์และการสอบที่จะจัดขึ้นในฤดูนี้
หรงซิวเหนื่อย เนื่องจากงานรัดตัว แต่ก็ยังพลิกม้วนกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะเรื่อยๆ ห้องนั้นสว่างไสว มีกลิ่นเครื่องหอมและควันสีขาวบางๆ ที่ลอยอยู่ กลิ่นนั้นหอมสดชื่น เขาเริ่มที่เื่การล่าสัตว์ก่อน แม้ว่าราชวงศ์ต้าอวี่จะไม่ได้ออกรบมาหลายปีแล้ว แต่ต้นกำเนิดราชวงศ์มาจากการสู้รบบนหลังม้า ใน่แรกๆ ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ล้วนมีประเพณีการล่าสัตว์ในฤดูวสันต์ ดังนั้นใน่ฤดูนี้จึงมีความครึกครื้นเป็อย่างยิ่ง
หรงซิวคุ้นเคยกับประเพณีนี้เป็อย่างดีแล้ว อย่างไรเขาก็เข้าร่วมการล่าสัตว์นี้มาั้แ่เด็ก ขณะเดียวกันเขาก็ยังตระหนักได้ถึงข้อเสียมากมาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงเขียนสิ่งที่้าจะเพิ่มเติมลงไป
กลิ่นอายวสันต์เริ่มจางไป เมื่อถึงยามบ่ายแสงอาทิตย์ที่สาดเข้าทางหน้าต่างพลันร้อนแรงมากขึ้นเล็กน้อย แสงส่องเข้ามาในห้อง นอกจากเสียงเขียนพู่กันแล้ว ยังมีเสียงหายใจแ่เบาของสตรีตัวน้อยที่นอนนิ่งอย่างสงบ
ยามที่หรงซิวเงยหน้าขึ้นมาเป็ครั้งคราว เขาก็เหลือบไปเห็นนางที่นอนตะแคงข้างอยู่ก็ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากอภิเษกกันมานานกว่าสามปี เขาไม่ค่อยมี่เวลาเช่นนี้ที่ได้มองนางชัดๆ เลยสักครั้ง เมื่อก่อนตอนที่เคยถูกนางพัวพัน หรงซิวรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก
ทว่าในเวลาต่อมา...
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขาค่อยๆ เ็าขึ้นมาหลายส่วน แม้แต่มุมปากของเขาก็พลันกระตุกขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ หรงซิวละสายตาออก และมองไปยังม้วนกระดาษบนโต๊ะอีกครั้ง มีเพียงคลื่นลูกเล็กๆ กลิ้งไปมาในดวงตาของเขาเท่านั้นที่ยากจะสงบลง
เมื่ออวิ๋นอี้ลืมตาขึ้น นางรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
นางมองดูเครื่องเรือนที่อยู่ตรงหน้า และตกตะลึงอยู่นานก่อนจะนึกได้ว่านางอยู่ในห้องหนังสือของหรงซิว อวิ๋นอี้ค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่ง และเห็นหรงซิวที่เอามือเท้าคาง จดจ่ออยู่กับกระดาษ ว่ากันว่าบุรุษเวลาทำอะไรจริงจังมักจะหล่อเหลาที่สุด เื่นี้ท่าจะจริง
นางสลัดทิ้งความหน้าไม่อายของหรงซิวออก ณ เพลานี้ เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหรา ผมยาวพลิ้วไสวราวกับน้ำตก แค่เพียงโครงหน้าก็งดงามจนทำให้ใต้หล้าสั่นคลอนได้แล้ว
“ตื่นแล้วหรือ?”
อาจเป็เพราะสายตาของนางจ้องมองอยู่นาน ทำให้เขารู้สึกตัว และหันมามอง คิ้วเรียวยาวของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย แฝงไปด้วยความหยอกเย้า ใจของอวิ๋นอี้ไม่ฟังเ้าของอีกแล้ว... มันเต้นแรงยิ่งขึ้นไปอีก
นิ่งไว้!
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แอบบอกตัวเองว่าบุรุษตรงหน้าไม่ใช่พ่อเทพบุตรที่นางชอบ แต่เป็หรงซิว!
อวิ๋นอี้ค่อยๆ ขยี้ตา ตบหน้าเบาๆ ก่อนจะกระแอมไอขึ้น "ตื่นแล้วเพคะ"
"หิวหรือไม่? ข้าสั่งให้คนเตรียมชาไว้ ยังมีขนมที่เ้าชอบทานด้วย อยากลองหน่อยหรือไม่?” หรงซิวยิ้ม วางม้วนกระดาษลง แล้วเดินตรงมาหานาง
อวิ๋นอี้ถูกดูแลเป็อย่างดีจนรู้สึกดีเป็อย่างยิ่ง!
ทำไมหลับไปแค่ตื่นเดียว หรงซิวกลับดูผิดปกติไป?
แม้ว่าในยามปกติเขาจะนิสัยดีและอ่อนโยนอยู่แล้ว แต่เขาที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ราวกับมีราศีของเปลวทองอันเปล่งปลั่ง ทำให้นางรู้สึกหวั่นไหวใจไม่สู้ดี
เกิดอันใดขึ้น!?
ขณะที่อวิ๋นอี้กำลังคิดอยู่นั้น หรงซิวก็เดินมาถึงตัวแล้ว
เขาเอื้อมมือไปหานาง พยักหน้าเบาๆ "ลุกขึ้นเถิด ข้าจะพาเ้าไปเอง"
"......"
อวิ๋นอี้กลืนน้ำลายทำอันใดมิถูก แล้ววางมือลงบนฝ่ามือใหญ่ของเขา
มาถึงลานเรือนด้วยความมึนงง เมื่อได้ทานขนม หัวใจของอวิ๋นอี้ถึงได้กลับมาเป็ปกติ
เพียงแต่นางยังคงไม่กล้ามองหรงซิว
สายตาของชายหนุ่มอยู่บนศีรษะของนาง สายตาแปลกๆ ที่แน่วแน่ของเขา ทำให้เมื่อนางสบตาเข้า ก็คิดอยากจะหลบสายตา
หรงซิวลูบหัวนางนิ่งๆ อย่างอ่อนโยน "ทานเยอะๆ ทานหมดแล้วพวกเราจะไปสนามม้ากัน"
สนามม้าหรือ?
การแข่งม้าครั้งสุดท้ายในวัง ทำให้นางจดจำไปทั้งชีวิต นางไม่อยากแม้แต่จะไปยุ่งกับสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับม้าแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของหรงซิว นางก็ตื่นตัวขึ้นทันที “ไปสนามแข่งม้าทำไมหรือเพคะ?"
"เลือกม้าให้เ้า"
"ข้าไม่้า!" อวิ๋นอี้ไม่พอใจ "คราที่แล้วซูเมี่ยวเออร์ของท่านเกือบจะฆ่าข้าแล้ว ฝ่าายังคิดจะให้ข้าขี่ม้า ทรงคิดว่านางทำร้ายข้าได้ไม่เยอะพอหรืออย่างไร?”
"เ้าพูดเื่ไร้สาระอันใด?" หรงซิวขมวดคิ้ว "เ้าเป็พระชายาของข้า ที่ผ่านมาก็มีแต่ข้าที่จะอยู่ข้างกายเ้า เหตุใดจึงต้องร่วมกับซูเมี่ยวเออร์เพื่อทำร้ายเ้าด้วย? อวิ๋นเออร์ ในใจของเ้า สวามีคนนี้โเี้อำมหิตถึงกระนั้นเชียวหรือ?"
คำพูดเหล่านี้ทำให้ทั้งสองคนเงียบนิ่งไป
อวิ๋นอี้ก้มหน้าลงเล็กน้อย รู้สึกสับสนในใจ
ั้แ่ที่อยู่กับหรงซิว ไม่ว่านางจะทำเื่วุ่นวายขนาดไหน หรือแม้กระทั่งวางยาเขาไปเมื่อไม่นานมานี้ เขาก็ไม่เคยพูดเื่รุนแรงเช่นนี้เลย เป็ไปได้ว่า ยามนี้นางคงทำให้เขาไม่พอใจแล้วจริงๆ
อวิ๋นอี้ครุ่นคิดว่าจะพูดอย่างไร หากขอโทษไปดื้อๆ มันดูกะทันหันเกินไป นางจึงถามอย่างเคืองๆ ว่า "เหตุใดจึงต้องเลือกม้าให้ข้าเพคะ?"
"เทศกาลล่าสัตว์ฤดูวสันต์"
"ข้าไม่ไปได้หรือไม่เพคะ?" ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขากำลังโกรธ อวิ๋นอี้ก็ยังดึงดันจะพูด
"ไม่ได้" หรงซิวพูดอย่างหนักแน่น "ข้ารับผิดชอบงานล่าสัตว์ในปีนี้ ในฐานะที่เ้าเป็พระชายาของข้า ไม่ว่าจะด้วยประการใด ก็ควรจะเข้าร่วม"
ไอ๊หยา
อย่างนั้นก็ได้
ฉากนี้ปิดลงด้วยความสงบ หลังจากทานขนมดื่มชาจนพอใจแล้ว อวิ๋นอี้ก็ตามหรงซิวไปที่สนามม้า
ไม่เหมือนสนามแข่งม้าของราชวงศ์ เพราะที่แห่งนี้คือสนามส่วนตัวของหรงซิวที่เต็มไปด้วยม้าแสนรักของเขามากมาย
อวิ๋นอี้ไม่รู้จักม้า นางมองดูม้าทุกตัว นอกจากสีของพวกมัน ก็เหมือนๆ กันไปเสียหมด จึงไม่มีความสนใจอันใด ตรงกันข้ามกับหรงซิว ดูเหมือนเขาจะลืมการทะเลาะวิวาทเมื่อครู่ระหว่างคนสองคนไปแล้ว และพยายามอย่างยิ่งที่จะเลือกม้าให้นาง
อืม...ตั้งใจเลือกม้าเสี่ยวเฮยสีดำตัวเล็กให้กับนาง
พูดตามตรงว่าม้าที่อวิ๋นอี้เคยเห็นมีสีขาว สีน้ำตาล และสีแดงอมม่วง แต่ม้าที่ดำมืดไปทั้งตัว ม้าที่ราวกับปลาเลนดำเช่นนี้ เพิ่งจะเคยเห็นเป็คราแรก
“ม้าตัวนี้เหมาะกับเ้านัก เ้าลองขี่ดูน่าจะไม่เลว ลองหน่อยได้หรือไม่?” หรงซิวก้มถามนาง
นางอยากจะปฏิเสธจริงๆ แต่นางก็กลัวว่าจะทะเลาะกันอีก จึงยักไหล่แล้วปีนขึ้นไปบนหลังม้า
เสี่ยวเฮยนิสัยอ่อนน้อมและมีมารยาทมากกว่าที่นางคิด หลังจากที่ลองไปวิ่งมาสองรอบ อวิ๋นอี้ก็รู้สึกถูกใจเป็อย่างยิ่ง
พอสบโอกาส หรงซิวก็ขึ้นไปขี่ม้ากับนาง เขาขังนางไว้ในอ้อมแขนอย่างแ่า หลังนางแนบติดหน้าอกของเขา หัวใจเต้นที่เต้นอย่างแรงสั่นะเือย่างชัดเจนจนนางรู้สึกได้
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ใบหน้าของนางเริ่มเห่อร้อนขึ้น
โชคดีที่หรงซิวแหงนมองสีของท้องฟ้า ก่อนจะพานางลงจากหลังม้า “ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป มาลองขี่ม้าทุกๆ สองวัน แม้ว่าการแข่งล่าสัตว์ของสตรีจะมิต้องยิงธนู แต่การขี่ม้าจะขายหน้าผู้อื่นมิได้"
"เพคะ" อวิ๋นอี้มุ่ยปาก พูดเสียงเบา "กลัวว่าจะขายหน้า ก็มิต้องให้ข้าไปสิ!"
หรงซิวเดินนำไปก่อนแล้ว ไม่รู้ว่าเขาได้ยินหรือไม่
วันที่แสนวุ่นวายวันหนึ่งก็ผ่านไปเช่นนี้ วันรุ่งขึ้นหรงซิวก็ไปทำงาน หลังจากเื่ขี่ม้าเมื่อวานนี้ อวิ๋นอี้จำได้ว่าพระชายาเก้ากู่ซือฝานช่วยชีวิตนางจากภัยครั้งนั้น คิดว่าจะต้องไปจวนองค์ชายเก้าเพื่อเยี่ยมนางสักหน่อย
ตามธรรมเนียม นางให้คนไปขอเข้าเยี่ยม หลังจากได้การตอบรับ นางก็เริ่มแต่งตัว อวิ๋นอี้พอใจมาก ทุกวันนี้ ที่จวนมีของกินของใช้ดีๆ แม้แต่ผิวของนางก็ดีขึ้น ดูเอิบอิ่ม เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
มีของดีถวายให้ขนาดนี้ นางจะปล่อยไว้มิได้
หลังจากแต่งตัวเสร็จ ก็ไปนั่งรถม้า ไม่นานก็มาถึงจวนองค์ชายเก้า กู่ซือฝานกำลังรออยู่ เมื่อเห็นรถม้าวิ่งมาแต่ไกล ก็เรียกคนมายืนรอต้อนรับหน้าประตูจวนอย่างยินดี
รถม้ายังมิทันหยุดนิ่ง นางก็มาถึงตัวรถแล้วร้องเรียก “พี่สะใภ้เจ็ด!”
อวิ๋นอี้ผลักประตูออก นางยิ้มทักทายก่อนจะเดินลงมา พูดอย่างเป็กันเองว่า “ซือฝาน”
นางรู้ผิดชอบชั่วดี เื่การแข่งม้าครั้งที่แล้ว ถึงแม้จะเข้าใจกู่ซือฝานผิดไป ทว่าก็ไม่มีผลต่อการชื่นชมนางในภายหลัง เต็มใจที่จะเป็สหายกับนาง
สตรีสองคนเดินจับมือกันเข้าไปในจวน หลังจากที่กู่ซือฝานสั่งให้คนเตรียมชาและขนมก็แทบจะรอไล่สาวใช้ออกไปไม่ไหว
“พวกเราจะคุยกัน จะให้พวกนางยืนอยู่เพื่ออันใดใช่หรือไม่เพคะ?” กู่ซือฝานยิ้ม “แต่ว่า พี่สะใภ้ท่านส่งสารมาเยี่ยมข้า ทำให้ข้าแปลกใจเหลือเกิน รู้มาว่า ก่อนนี้ท่านไม่เคยจะไปมาหาสู่กับผู้ใดเลย แม้ว่าข้าจะไปเป็แขกที่จวนองค์ชายเจ็ดบางครั้งบางครา ท่านก็มิได้ออกมาเจอเลยนะเพคะ”
อวิ๋นอี้ใ รู้สึกสงสัยจึงถามตามน้ำไปต่อ “เหตุใดข้าจึงมิออกมาเจอกัน?”
“อ๊า?” กู่ซือฝานแปลกใจมาก ก็คิดได้ทันทีว่าพี่สะใภ้เจ็ดสูญเสียความทรงจำ บุคลิกของนางจึงแตกต่างกว่าแต่ก่อนมาก นางอธิบายช้าๆ ว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหตุผลชัดแจ้ง ท่านมิชอบออกไปข้างนอก ไม่ชอบพูดคุยกับผู้ใด ข้าจะพบท่านแต่ละครั้งก็่ตรุษจีนเท่านั้นเพคะ ข้าเคยถามท่านพี่เจ็ดก่อนหน้านี้ เขาบอกว่าท่านชอบความสงบ การกระทำจึงเป็เช่นนั้น กระนั้นทุกคนจึงมองว่าเป็เื่ปกติ”
อวิ๋นอี้เย้ยหยันด้วยเสียงต่ำ “เขารู้จักข้าดีหรือ?”
กู่ซือฝานแย้มยิ้มมิได้พูดอันใดต่อ “ใช่แล้ว พี่สะใภ้เจ็ด ท่านมาหาขาด้วยเหตุอันใดเล่าเพคะ?”
อวิ๋นอี้คนนี้ เมื่อเจอใครถูกชะตา ก็เผยนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ชอบหลบซ่อนอันใด
เมื่อถูกกู่ซือฝานถามเข้า นางก็ตอบอย่างจริงใจว่า “แข่งม้าครั้งก่อนเ้ามิได้าเ็หรือ? ข้าจึงมาดูว่าเ้าฟื้นตัวเป็เช่นไรบ้างแล้ว? อย่างไรเสียหากมิได้เ้า คนที่จะาเ็ต้องเป็ข้า ...”
“ไอ๊หยา!” ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ กู่ซือฝานก็ขัดขึ้น “เื่เล็กแค่นี้ พี่สะใภ้มิต้องเอาไปใส่ใจหรอกเพคะ ข้าแค่รู้สึกว่าข่าวลือข้างนอกไม่เหมือนกับตัวตนจริงของท่าน ข้าชอบท่านในยามนี้ จึงอยากเป็สหายกับท่าน ท่านก็คิดเสียว่าข้ากำลังเอาใจท่านก็แล้วกัน!”
ริมฝีปากของอวิ๋นอี้หยักขึ้น ความจริงใจและความร่าเริงของกู่ซือฝานทำให้นางเปิดใจมากขึ้น
เมื่อเปิดเผยและพูดคุยกันอย่างชัดเจน สตรีทั้งสองก็พบว่าพวกเขาต่างก็มีเื่ที่เข้ากันมากมาย จึงพูดคุยกันเื่โน้นเื่นี้ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงยามมืดค่ำ
อวิ๋นอี้ไม่อยากจะกลับบ้าน จนกระทั่งหรงซิวต้องมารับ
เชิงอรรถ
[1] จิ่วเซียว 九霄 หมายถึงชั้นบนสุดของชั้นบรรยากาศ เปรียบเปรยถึงความไกลโพ้น