อวิ๋นอี้ไม่อยากจะบ่นว่ากระไรกับพฤติกรรมของหรงซิวที่ชอบไม่บอกกล่าว กู่ซือฝานพานางไปที่ห้องโถงด้านหน้า และนั่นเองทำให้นางพบหรงซิวที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องโถง
นางขยิบตาให้อวิ๋นอี้และกระซิบว่า “พี่สะใภ้เจ็ด ข่าวลือข้างนอกบางเื่ยังเชื่อถือได้นะเพคะ องค์ชายรักท่านมากจริงๆ !”
เฮอะเฮอะ
อวิ๋นอี้แสร้งยิ้ม และหลังจากนัดแนะกับกู่ซือฝานแล้วว่าจะพบกันใหม่คราหน้า นางก็ถูกหรงซิวเท้าแขนกึ่งโอบกอดและพาไปที่รถม้า ระหว่างทางหรงซิวก็ตั้งกฎกับนางว่า หากจะออกไปเยี่ยมผู้อื่นย่อมทำได้ แต่ห้ามอยู่จนดึกดื่นเช่นนี้ อวิ๋นอี้นึกถึงข้อมูลที่ได้มาจากกู่ซือฝานในตอนบ่าย ก็พยักหน้าเงียบๆ แสดงให้เห็นว่านางเข้าใจ
เมื่อเห็นอาการเหม่อลอยของนาง หรงซิวก็ถามเบาๆ "เป็อันใดไป?"
"ซูเมี่ยวเออร์กับฝ่าาเป็เหมยเขียวม้าไม้ไผ่กันหรือเพคะ?" อวิ๋นอี้ถาม
หรงซิวนิ่ง สายตาไม่สั่นคลอน เขาจ้องนางครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า "ใช่ นางเป็ลูกสาวของท่านป้าที่ไปอภิเษกในแดนไกล"
อวิ๋นอี้ตอบรับเออออ แล้วพิงหน้าต่างหลับตาลงพักผ่อน ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ตลอดทางเงียบสงบไร้อันตราย
่ไม่กี่วันหลังจากนั้น เมื่อใดก็ตามที่หรงซิวไม่ไปทำงาน เขาก็จะดึงอวิ๋นอี้มากระชับความสัมพันธ์เสมอ
ตารางร้อยเื่ที่สามีภรรยาต้องทำอันน่าสะพรึงที่หลงซิวคัดเลือกมาก่อนหน้านี้ เขาดำเนินการตามตารางอย่างพิถีพิถัน ั้แ่ดูดาว จนถึงปลูกดอกไม้ รดน้ำด้วยกัน ทั้งสองก็เหมือนเด็กแฝดที่ตัวติดกันตลอดวัน เกาะติดกันแน่นมิห่างกาย
แม้ว่าหน้าตาของหรงซิวจะสามารถมองได้อย่างสบายตา แต่การต้องเจอกันเป็เวลานาน ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการเบื่อขี้หน้าได้ จึงทำให้นางต้องออกอุบายแสร้งป่วยขึ้นมา
แต่ผู้ใดจะรู้ว่า มิต้องรอให้นางแสร้งทำเป็ป่วย เช้านี้นางตื่นขึ้น ก็ได้รู้ว่าหรงซิวได้ไปสำนักศึกษาจิงซุ่ยในเขตชานเมือง ทำให้อวิ๋นอี้ะโโลดเต้นด้วยความดีใจ
เขาไม่อยู่บ้าน ก็ถือว่าได้พักผ่อนแล้ว หากยังดำเนินการตามการกระชับความสัมพันธ์ของเขาต่อไป เกรงว่าแค่เห็นหน้าเขา นางคงจะหันหนีทันที
นางทานอาหารเสร็จก็รับสั่งให้คนไปนัดพระชายาเก้า ชวนนางออกไปซื้อของด้วยกัน แต่ทว่า ์ทรงไม่เป็ใจเอาเสียเลย
กู่ซือฝานบอกว่าวันนี้สวามีของนางอยู่จวน ทั้งสองอยากจะพลอดรักกัน นางจึงปฏิเสธกลับมา
เ้าคนเห็นบุรุษสำคัญกว่าสหาย
ไม่มีใครไปกับนาง นางก็หมดความสนใจจะออกไปข้างนอกแล้ว หญิงสาวอยู่ในห้อง นับเงินที่นางได้รับจากหรงซิว่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีอยู่ร้อยตำลึงทอง ทำเอานางอดยิ้มไม่ได้ เหตุผลที่นางยอมอยู่กับหรงซิว ทำเื่บ้าๆ ร้อยเื่นั้นก็เพราะเห็นแก่เงิน
มิฉะนั้น ผู้ใดจะไปสนใจเขากัน
หนึ่งร้อยตำลึงนี้ จะบอกว่าเยอะก็ไม่ จะว่าน้อยก็ไม่ หากว่าจะวางไว้เฉยๆ ก็ไม่ใช่เื่ อวิ๋นอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเรียกเซียงเหอมา ให้นางแอบไปเปิดบัญชีที่ตู้เก็บเงิน นำทองเหล่านี้ไปเก็บไว้
เซียงเหอเห็นแล้วก็ประหลาดใจ “พระชายา ท่านมีเงินทองมากมายเช่นนี้ได้เยี่ยงไรเพคะ?”
อวิ๋นอี้กวาดสายตามองนาง “ฝ่าาให้ข้า ข้าใช้ให้เ้าไปก็ไปสิ จะถามมากความอันใด”
เมื่อเซียงเหอได้ยินกระนั้น ก็ใในตอนแรก แล้วยิ้มว่า “พระชายา ั้แ่ที่ท่านกลับมา ฝ่าาก็ทรงดีกับท่านมากเลยนะเพคะ!”
อวิ๋นอี้ยิ้มมุมปากอย่างอับจนคำพูด นางแต่งงานกับเขา เขาให้เงินนางเพื่อทำให้นางมีความสุข นั่นจะนับเป็กระไรไป?
มันเป็เื่เล็กน้อยเท่านั้น รู้ได้เช่นไรว่าเขาปฏิบัติต่อนางดียิ่งนัก?
หรือว่าเมื่อก่อน แค่เื่พื้นฐานเหล่านี้หรงซิวก็ทำมิได้หรือ?
ใน่เวลาสั้นๆ นางครุ่นคิดมากมาย เมื่อได้สติขึ้นมา ก็เห็นเซียงเหอยิ้มมองกล่องเงิน นางก็รีบให้สาวใช้นำไปดำเนินการ
เซียงเหอดูเปิ่นๆ ซื่อๆ แต่ทำงานได้เก่ง ยังไม่ถึงเที่ยง ก็ทำเื่เสร็จเรียบร้อย
นางยื่นกุญแจที่เหมือนหยกให้อวิ๋นอี้ "นี่เป็ของที่ต้องใช้ตอนนำเงินออกมาเพคะ"
อวิ๋นอี้เข้าใจ เดาว่ามันน่าจะเป็กุญแจเปิดกล่องสมบัติของนาง
นางเก็บหยกไว้ ค่อยๆ คำนวณในใจ
หากอยู่ข้างกายหรงซิวได้ครึ่งปี ตามหลักเหตุผลแล้ว น่าจะกอบโกยได้อยู่มากโข แต่ทว่า มันเป็เงินของบุรุษ ถ้ายื่นมือขอเงินย่อมต้องทำตัวดีตอบแทน จำเป็ต้องพูดจาดีๆ ออดอ้อน หากนานไป อาจมิใช่ทางที่ดี
หากนางสามารถหาวิธีทำเงินได้ก็คงดี
ข้ามมิติมาในสถานที่เช่นนี้ กลับไปก็มิได้ อวิ๋นอี้ทำใจยอมรับเื่เช่นนี้ได้นานแล้ว
ในเมื่อ้าจะอยู่รอดต่อไป จำเป็ต้องมีรากฐานทางการเงิน
ในฐานะสตรียุคใหม่ รู้ดีว่าพวกบุรุษนั้นไว้ใจมิได้
ยิ่งไปกว่านั้น สัญญาของนางกับหรงซิวมีอายุเพียงครึ่งปีเท่านั้น นางต้องออกจากที่นี่ ในสมัยนี้คงจะไม่มีการเรียกร้องค่าเลี้ยงดู เมื่อถึงยามนั้นนางไม่เพียงแต่จะเป็หญิงหม้ายเท่านั้น แต่งจะเป็หญิงหม้ายจนๆ อีกด้วย แค่คิดก็อนาถใจแล้ว
ต้องหาเงิน หาเงิน!
อวิ๋นอี้รู้ว่าต้องหาเงิน แต่ไม่รู้ว่าต้องหาเงินเช่นไร ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อใจ
เซียงเหอที่เฝ้ามองนางจากด้านข้าง สังเกตอยู่เป็เวลานานแล้ว จึงถามเบาๆ ว่า “พระชายา เป็อันใดไปเพคะ?”
อวิ๋นอี้ชำเลืองมอง "พูดไปเ้าก็ไม่เข้าใจ!"
"อ้อ เพคะ" เซียงเหอหุบปากอย่างเชื่อฟัง มองไปทางประตูเรือน ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เป็ประกาย "พระชายาเพคะ พ่อบ้านมาแล้ว!”
ทันทีที่นางพูดจบ พ่อบ้านก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
เขาเป็ชายวัยกลางคนที่มีคิ้วโดดเด่น เมื่อเขาขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาก็ดูเหมือนตัวอักษร "囧" ใหญ่ๆอวิ๋นอี้กลั้นหัวเราะและถามเบา ๆ "พ่อบ้าน เ้าเป็อันใดไปเล่า?"
"เฮ้อ!” อีกฝ่ายถอนหายใจ แล้วพูดว่า "เกรงว่าจะต้องให้พระชายาออกเดินทางแล้วขอรับ!"
อวิ๋นอี้เลิกคิ้ว "หมายความว่าเช่นไร?"
เดิมทีหรงซิวจะไปสำนักศึกษาจิงซุ่ยไม่กลับจวน การแพ้อาหารเมื่อไม่กี่วันก่อนทำร้ายสุขภาพของเขานัก หมอหลวงสั่งจ่ายอาหารเสริมมาเยอะเหลือเกิน ่นี้เขาจำเป็ต้องกินยามากมาย เพียงแต่ว่าตอนออกไปวันนี้ รีบร้อนจนลืมยาไว้ เดิมไม่ใช่เื่ใหญ่อันใด แต่ปัญหาคือสำนักศึกษาจิงซุ่ย มิใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะสามารถเข้าไปได้
สำนักศึกษาจิงซุ่ยเกี่ยวข้องกับราชวงศ์และเป็สถาบันฝึกอบรมความสามารถโดยตรงภายใต้ความรับผิดชอบของราชวงศ์ ดังนั้นสถานที่ที่สูงส่งเช่นนี้ผู้ที่มีสายเืราชวงศ์เท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ พวกทาส คนรับใช้ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะััประตูทางเข้า
พ่อบ้านไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาหาอวิ๋นอี้
เดิมอวิ๋นอี้ไม่ได้เต็มใจจะเดินทางครานี้ แต่นางคิดว่าเหตุผลที่หรงซิวต้องกินยาก็เป็เพราะสิ่งที่นางแกล้งทำ คิดไปมา ก็นับว่ารับกรรมที่ตนทำไว้ นางพยักหน้าตกลงกับพ่อบ้าน
พ่อบ้านดีใจยิ่งนัก จึงเรียกให้คนไปเอายาสำหรับสองวันมา
อวิ๋นอี้กลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ขึ้นรถม้า แล้วไปที่สำนักศึกษาจิงซุ่ยทันที
ที่ตั้งของสำนักศึกษาจิงซุ่ยค่อนข้างเงียบสงบ ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวง ล้อมรอบด้วยูเาและลำน้ำ อากาศบริสุทธิ์ ทิวทัศน์งดงาม
เป็่วสันต์ที่ทุกอย่างกำลังฟื้นตัวพอดี เสียงเพรียกของสกุณาและกลิ่นบุปผาโชยหอมตลอดทาง ดูชีวิตชีวายิ่งนัก
อวิ๋นอี้อยู่แต่ในบ้านมาหลายวัน ไม่ได้ออกมาสูดอากาศตั้งนานแล้ว รู้สึกอารมณ์ดีไม่น้อย
เมื่อรถม้าหยุดลง คนใช้ที่บังคับรถ ก็โค้งคำนับแล้วพูดขึ้นว่า “พระชายาขอรับ ถึงแล้วขอรับ!”
อวิ๋นอี้ลงมา ก็ต้องอ้าปากเล็กน้อยเมื่อเห็นซุ้มหินสูงตรงหน้า
ก่อนมาก็เตรียมใจมาแล้วว่ามันต้องเป็สถานที่ที่หรูหรามาก แต่เมื่อได้เห็นจริงๆ มันไม่เพียงหรูหราแต่ยังโอ่อ่ามากทีเดียว
ซุ้มหินขนาดใหญ่ อลังการนัก ข้างหน้าเขียนว่าสำนักศึกษาจิงซุ่ย เขียนได้อย่างวาดัและงู [1] ไร้ขีดจำกัดและทรงพลังยิ่ง
เมื่อคนใช้เห็นอวิ๋นอี้มองอย่างอยู่ในภวังค์ ก็พูดเสริมขึ้น ได้รู้ว่าป้ายชื่อเป็ฝีพระหัตถ์ของฮ่องเต้เอง
เขียนดี แต่จนถึงตอนนี้ นางยังไม่เคยได้พบฮ่องเต้เลย
อวิ๋นอี้ยักไหล่ หยิบยาที่เตรียมไว้จากคนใช้แล้วเข้าไปในซุ้มเบื้องหน้า
เมื่อเข้าสู่ซุ้มหิน นางก็เดินทางอย่างราบรื่นตลอดทาง แต่หลังจากเดินไปข้างหน้าได้ประมาณร้อยเมตร อวิ๋นอี้ก็พบทหารเฝ้าประตูตัวสูงใหญ่ มองนางด้วยสายตาเคร่งขรึม
“...…”
ทั้งกลัวทั้งทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
อวิ๋นอี้พึมพำในใจ เมื่อคิดถึงสถานะพระชายาของนาง ก็เตือนใจตัวเองให้ยืดตัวตั้งตรงอย่างมั่นใจขึ้นมา
ก่อนที่อีกฝ่ายจะถาม นางยืนตรงตรงหน้าเขา เงยหน้าอย่างผยองแล้วพูดอย่างเ็าว่า "ข้าคือพระชายาเจ็ด ข้ามาหาหรงซิว รบกวนรายงานให้ข้าด้วย"
ทหารทั้งสอง หูไวตาไว เมื่อเห็นชุดของอวิ๋นอี้และท่าทางหยิ่งทะนงของนางก็พากันตกตะลึง ก่อนจะออกไป พวกเขาถามเบาๆ ว่า “มีเหรียญตราหรือไม่ขอรับ?”
อวิ๋นอี้เอาเหรียญตราที่พ่อบ้านเตรียมไว้ให้ออกมา ทั้งสองพยักหน้าและโค้งคำนับทันที "เคารพพระชายาเจ็ดขอรับ! ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ มิเจตนาทำให้ท่านขุ่นเคือง"
"ไปบอกให้หรงซิวมารับข้า"
นางพูดอย่างทรงอำนาจ องครักษ์ทั้งสองตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อนึกถึงข่าวลือจากภายนอก ว่ากันว่าองค์ชายเจ็ดติดพระชายามาก พวกเขาจึงมิได้พูดอะไรมากนัก ก่อนจะเดินไปรายงานด้วยรอยยิ้ม
อวิ๋นอี้เบื่อที่จะรออยู่ข้างนอกแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้นเื้ั นางหันตามเสียงนั้นไปก็พบเข้ากับดวงตาสีดำของหรงซิวที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
เขาตัวสูง ร่างใหญ่ แค่เดินก็พาให้เกิดลมพัดแรง พอไปถึงก็หยิบยาในมือนางไป ก่อนจะโอบนางด้วยแขนข้างที่ว่าง “รบกวนอวิ๋นเออร์แล้ว มาเถิด มาพักผ่อนกับข้า"
อวิ๋นอี้โบกมือ พยายามจะสลัดตัวจากอ้อมแขนของเขา แต่แขนของชายหนุ่มผู้นี้ราวกับทำมาจากเหล็ก มันรัดแน่นรอบตัวนาง ทำให้นางอึดอัด และไม่มีทางสู้
นางจ้องเขาอย่างโกรธเคือง “มิต้องเพคะ ข้าแค่มาส่งยาให้ฝ่าา เพลานี้ก็ถึงมือฝ่าาแล้ว ข้าจะกลับแล้ว”
“กลับอันใดกัน?” หรงซิวเลิกคิ้ว “ทิวทัศน์ที่นี่งดงามเช่นนี้ เดิมข้าก็อยากจะพาเ้ามาเที่ยวเล่นที่นี่ด้วย ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็ค่อยกลับไปพร้อมข้าในอีกสองวันข้างหน้าเถิด"
"ไม่เพคะ" อวิ๋นอี้ปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
นางหวังให้หรงซิวออกมาอยู่ข้างนอกไม่กลับบ้าน เขาไม่อยู่บ้าน นางถึงมีความสุข นางถึงสบายใจได้
ทันทีที่พูดจบ เสียงฝีเท้าของบุรุษผู้หนึ่งก็หยุดลง มองไปข้างหน้าก็พบกับลู่จงเฉิง เขาจึงทักทายเขาด้วยความเคารพ "อัครมหาเสนาบดีขวาลู่? ท่านมาที่นี่ด้วยเื่อันใด? มาั้แ่เมื่อใดหรือ?"
คำว่าอัครมหาเสนาบดีลู่คำเดียว ก็ดึงดูดสายตาของอวิ๋นอี้แล้ว
นางมองเห็นบุรุษที่มีหน้าตาราวกับเทพบุตร
วันนี้เขาสวมเสื้อคลุมสีขาว ยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สดใส ดวงตาที่เ็า ราวกับว่าเขาไม่ชื่นชมดอกไม้ใดๆ ในโลก
หัวใจของอวิ๋นอี้เต้นอย่างประหม่า นางมองไปที่หรงซิว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “กระนั้น ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ในเมื่อฝ่าาชวนให้ข้าอยู่เช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็อยู่ชมทิวทัศน์แล้วกันเพคะ เมื่อครู่ข้าประทับใจทิวทัศน์ที่สวยงามระหว่างทางมาที่นี่มาก...”
นางถอนหายใจ แต่หรงซิวกลับเป็ฝ่ายที่พูดไม่ออกแทน “จะอยู่ต่อหรือ?”
“อยู่สิเพคะ” อวิ๋นอี้เหลือบมองเห็นอัครมหาเสนาบดีขวาลู่ ก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
หรงซิวมีสีหน้าจริงจังขึ้น มุมริมฝีปากกระตุกโดยไม่รู้ตัว
เขาค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาใกล้ใบหูของนางพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มเปล่งเสียงแ่เบาว่า "อวิ๋นเออร์ อยู่ต่อน่ะย่อมได้ แต่...เ้าคิดเช่นไรอยู่ข้ารู้ทั้งสิ้น อย่าคิดอยากได้คนที่มิใช่ของเ้า หากคิดจะปีนกำแพงล่ะก็ ต้องรอข้ามศพข้าไปก่อนเท่านั้น"
เชิงอรรถ
[1] วาดัและงู 笔走龙蛇 หมายถึงอักษรที่เขียนได้อย่างสวยงามให้ความรู้สึกทรงพลัง