“เอ้ก!อิเอ้ก!เอ้ก~"
ไก่ตัวผู้ประสานเสียงขับขานยามฟ้าเริ่มสาง
เมื่อได้ยินเสียงไก่ขานครั้งแรก ฉินหลางดีดตัวขึ้นนั่งบนที่นอนโดยสัญชาตญาณ เตรียมพร้อมที่จะฝึกซ้อมหลักสูตรภาคบังคับทุกวันของเขา
“ไฟตอนยามสาม เสียงไก่ขานตอนตีห้า เป็เวลาที่ลูกผู้ชายต้องฝึกฝนวรยุทธ์” นี่เป็คำที่ตาเฒ่าพิษได้สั่งสอนเอาไว้ ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือแม้แต่ในยามหิมะตกก็ตาม ตาเฒ่าพิษก็ต้องให้ฉินหลางลุกขึ้นมาฝึกฝนวรยุทธ์ให้จงได้ มิเช่นนั้น ตาเฒ่าพิษก็จะจับงูพิษ ตะขาบ สัตว์หรือพวกแมลงที่มีพิษใส่เข้าไปในผ้าห่มของฉินหลาง ให้พวกมัน “นอน” เป็เพื่อนฉินหลาง
แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ที่เมืองเซี่ยหยาง ฉินหลางก็ไม่เคยคิดจะี้เี รีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นวิ่งไปบนูเาลูกเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังชีจง
นี่เป็สถานที่ที่ฉินหลางเลือกเอาไว้ฝึกฝนวรยุทธ์ให้ตัวเอง โดยเขาได้เลือกไว้ั้แ่เมื่อวานที่เพิ่งมาถึงแล้ว
ฉินหลางเริ่มต้นฝึกฝนวิชา*ฝูหลงจู้(ท่ายืนกำราบั) ด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม
ตาเฒ่าพิษเคยบอกไว้ว่า คนที่ฝึกฝนวิทยายุทธ์แบ่งออกเป็เก้าลำดับขั้น ขั้นแรกฝึกฝนพละกำลัง ขั้นที่สองฝึกฝนความมั่นคง ฝึกฝนความมั่นคง ก็คือการฝึกฝนความแข็งแรงของขาด้วยท่านั่งม้า เป็พื้นฐานที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงทุกคนจะต้องก้าวผ่าน
พูดไปแล้วฝูหลงจู้นี่ช่างวิเศษจริงๆ ตอนที่ฉินหลางเพิ่งเริ่มฝึกฝนเมื่อสามปีที่แล้ว ยืนเพียงครู่เดียวก็ปวดเมื่อยไปจนทั่วร่างกาย มิหนำซ้ำยังต้องโดนตาเฒ่าพิษทั้งด่าทั้งตีเป็ประจำ แต่ปัจจุบันกลับยิ่งยืนยิ่งรู้สึกเบาสบาย ยิ่งยืนนานยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ยืนท่านั่งม้ามาสามปี ฉินหลางรู้สึกว่าตนช่ำชองและเข้าใจแตกฉาน ลึกซึ้งมากขึ้นไม่น้อย แต่ทว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ตาเฒ่าพิษหลุดปากพูดออกมา ฉินหลางจึงได้รู้ว่าฝูหลงจู้นี้ไม่ได้เป็วรยุทธ์ของตาเฒ่าพิษ แต่เป็วรยุทธ์ที่เขาไปขโมยมาจากนิกายของศาสนาพุทธมาโดยเฉพาะ
เวลานี้ฉินหลางยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของูเา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็ต้นสนแก่ๆ ต้นหนึ่ง ที่หยั่งรากลึกลงไปใต้ดิน ยืนสู้ลมสู้ฝนด้วยความมั่นคง ไม่ว่าลมพายุจะพัดกระหน่ำแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้เขาไหวเอนได้
ฉินหลางค่อยๆ เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ *ฝูหลง (กำราบั) ”
กระดูกสันหลังของคนทุกคน นับั้แ่กระดูกสันหลังส่วนคอไปจนถึงกระดูกสันหลังส่วนเอว ที่มีทั้งหมดยี่สิบสี่ชิ้น แน่นอนว่ามันเป็ดั่งัที่นอนหมอบอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งด้วยเหตุที่มี “ัตัวใหญ่” อาศัยอยู่ คนเราจึงสามารถยืนบนพื้นดินด้วยเท้า ชี้หัวขึ้นไปบนฟ้า แต่ทว่า คำว่า “ *ฝู(กำราบ) ” ใน*ฝูหลงจู้ (ท่ายืนกำราบั) นั้นไม่ใช่ันอนหมอบอยู่ แต่มีความหมายเป็การ “กำราบ” ั โดยทุกครั้งที่ฝึกซ้อมตามธรรมดานั้น จะต้องกำราบัตัวใหญ่นี้ให้ได้เสียก่อน ถึงจะสามารถฝึกจนบรรลุเป้าหมายสูงสุดได้ ตอนลงมือ “ลงมือทีไรทุกคนล้วนต้องตกละลึง ด้วยวรยุทธ์ที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้”
้าที่จะเอาชนะคนอื่น ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้ก่อน
การฝึกฝนยุทธ์ด้วยเคล็ดวิชาฝูหลงจู้ “ฝึกฝนความมั่นคงของขา” ไม่เพียงแต่ทำให้ยืนได้มั่นคงเท่านั้น แต่ยังต้องกำราบพละกำลังทั่วทั้งร่างกายแล้ว ยังต้องกำราบความคิดในใจของตัวเองให้ได้ด้วย ให้พละกำลังทั้งหมดที่มีในร่างกายมารวมตัวกันอยู่ที่ “ัตัวใหญ่” ในกระดูกสันหลัง ยืนตรงเพื่อยืมพลังจากฟ้าดินมาขัดเกลาตนให้มีพละกำลังและความตั้งใจมากยิ่งขึ้น
แต่การยืนท่านั่งม้าแบบธรรมดานั้น ย่อมไม่มีความล้ำลึกมากเท่านี้ และไม่สามารถปรับสมดุลพลังในร่างกายให้เท่ากับพลังความคิดได้
หลังจากที่เขาเข้าใจแตกฉาน คำนิยามที่ฉินหลางได้ให้ฝูหลงจู้ทั้งสี่คำคือ “ช่างร้ายกาจสมคำล่ำลือ!” แม้ดูไปแล้วตาเฒ่าพิษจะค่อนข้างี้เี แต่วิชาที่เขาให้มาฝึกฝนเพื่อวางรากฐานในการฝึกฝนวิชายุทธ์นั้น เป็วิชาชั้นเยี่ยมจริงๆ!
สามปีที่ฝึกฝนมาด้วยความลำบาก ได้ประโยชน์ไม่เท่าการเข้าใจแตกฉานในวันเดียว แต่ทว่า หากไม่ใช่เพราะตลอดสามปีมานี้เขาฝึกฝนอยู่ไม่ขาด ทั้งฝึกฝนพละกำลัง ทั้งฝึกฝนความมั่นคง วันนี้เขาคงจะเข้าใจแตกฉานไม่ได้แน่ๆ
ฉินหลางรู้ว่าเขาฝึกฝนวิชายุทธจนบรรลุขั้นที่สอง “ฝึกฝนความมั่นคง” ถึงขั้นสูงสุดแล้ว ลำดับต่อไปกำลังจะก้าวไปสู่ขั้นที่สาม ซึ่งเป็การฝึกซ้อม “กระบวนท่า” ฝึกฝนและทำความเข้าใจกระบวนท่าต่างๆ ในวรยุทธ์
ฉินหลางเข้าใจฝูหลงจู้อย่างแตกฉานแล้ว เขาไม่ได้ดีใจอย่างบ้าคลั่ง ทว่ากลับ “กำราบ” ความรู้สึกดีใจของตัวเองเอาไว้ได้ ยังคงฝึกฝนด้วยท่ายืนของฝูหลงจู้ต่อไปด้วยความนิ่งเรียบ ราวกับต้นสนเก่าแก่ที่ยืนตระหง่านอยู่บนหน้าผาสูง อาบแสงดาวที่กำลังจะเลือนหายไป รอต้อนรับแสงของเช้าวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง
※※※
แสงรำไรจากดวงอาทิตย์ มาพร้อมกับเสียงนกร้องที่ดังระงมไปทั่วทุกทิศ
จู่ๆ ฉินหลางรู้สึกว่ามีเข็มเงินสองสามเล่มร่วงลงมาบนหัว กิ่งสน้าสั่นสะท้านอย่างรุนแรงเป็ระยะๆ นกที่อยู่ในรังบนกิ่งไม้บินออกจากรังด้วยความตื่นตระหนก เสมือนพวกมันใมาก
งูใหญ่ตัวนี้เพิ่งจู่โจมรังนก และมันได้กลืนนกที่เพิ่งฟักออกมาใหม่เข้าไปหนึ่งตัว นกที่ตัวเต็มวัยสองตัวทำได้เพียงส่งเสียงกรีดร้องใส่งูหัวสามเหลี่ยมไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจขับไล่งูใหญ่ตัวนี้ไปได้
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก นี่คือกฎของธรรมชาติ
หลังจากที่งูตัวใหญ่กินลูกนกแล้วจึงค่อยๆ เลื้อยจากไปอย่างสบายอารมณ์ เลื้อยลงมาตามกิ่งก้าน เหมือนกำลังเตรียมที่จะจู่โจมรังนกอีกรังหนึ่ง
งูหัวสามเหลี่ยม หรือเรียกอีกอย่างว่างูหัวลูกศร นอกจากงูชนิดนี้จะมีพิษร้ายแรงแล้ว ยังมีระบบย่อยอาหารที่ดีมากด้วยเช่นกัน เป็งูที่มีกลุ่มอาหารหลากหลาย สามารถกินได้ั้แ่กบ หนู นก รวมถึงไข่นกมันก็สามารถกลืนเข้าไปได้ทั้งสิ้น ถ้าอยู่ในฤดูที่อาหารขาดแคลน พวกมันสามารถกินได้แม้กระทั่งพวกเดียวกันเอง เพราะเขี้ยวที่แข็งแรงของมัน งูชนิดนี้ที่อาศัยอยู่บนูเาที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์อย่างนี้ พวกมันจะมีขนาดลำตัวที่ยาวและใหญ่ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งบางตัวอาจมีขนาดเท่ากับงูเหลือมเลยก็ว่าได้
ทว่า ตอนที่งูหัวสามเหลี่ยมตัวนี้เลื้อยลงมาจากบนต้นไม้ เห็นได้ชัดว่ามันสังเกตเห็นฉินหลางแล้ว แต่ด้วยความที่มันเป็งูตัวใหญ่ มันจึงทำเสมือนว่าฉินหลางไม่ได้อยู่ในสายตา เลื้อยลงมาตามลำต้นอย่างสบายๆ
ฟิ้ว!
ในเวลานี้เอง แสงสีแดงลอยผ่านสายตาของฉินหลางไป แสงดังกล่าวลอยไปตกอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ ขวางทางของเ้างูหัวสามเหลี่ยมไว้พอดี
ที่ฉินหลางคาดไม่ถึงก็คือ สิ่งที่ขวางทางงูหัวสามเหลี่ยมไว้นั้นเป็เพียงตั๊กแตนสีแดงตัวหนึ่ง!
ตั๊กแตนสีแดงตัวนี้มีขนาดประมาณสิบเซ็นติเมตร ดูจากลักษณะภายนอก น่าจะเป็ตั๊กแตนพันธุ์ ต้าเตาจีน แต่ทว่าโดยปกติแล้วตั๊กแตนพันธุ์ต้าเตาจีนมักจะมีสีเขียว หรือสีน้ำตาลเข้ม นี่เป็สีที่แสดงการป้องกัน เพื่อลดโอกาสที่จะโดนโจมตีตามห่วงโซ่อาหาร แล้วตั๊กแตนสีแดงสดราวกับเืแบบนี้ ฉินหลางยังไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะจริงอยู่ที่สีแดงอาจดูโดดเด่น แต่ก็เป็สีที่ง่ายต่อการถูกโจมตีจากสัตว์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน นอกจาก---
สีแดงของตั๊กแตนชนิดนี้ไม่ได้เป็สีที่ป้องกัน แต่มันเป็สีแจ้งเตือน!
ตัวอย่างเช่น งูหรือแมลงที่มีพิษร้ายแรง มักจะมีสีสันที่สดใส โดดเด่น เพื่อเป็การเตือนสัตว์ชนิดอื่นๆ ว่า “ ในตัวบิดามีพิษที่ร้ายแรง พวกเ้าอย่ามาหาเื่บิดาเด็ดขาด!มิเช่นนั้น ต่อให้เป็เทพก็สามารถปล่อยพิษฆ่าเทพได้ เป็พระเ้าก็สามารถปล่อยพิษฆ่าพระเ้าได้!
และดูจากท่าทางหยิ่งผยองของตั๊กแตนตัวนี้!เ้าตั๊กแตนสีเืตัวนี้ยืนอยู่ห่างออกไปจากหัวของงูหัวสามเหลื่อมประมาณสิบเมตร ยกแขนทั้งสองที่คมราวกับใบมีดของมันขึ้นเบาๆ ให้ความรู้สึกเย็นะเื ราวกับกำลังบอกงูหัวสามเหลี่ยมว่า “ถ้าจะผ่านทางนี้ ต้องจ่ายค่าผ่านทางมาก่อน” ผ่านท่าทีของมัน!
งูหัวสามเหลี่ยมถูกเ้าตั๊กแตนยั่วโมโหได้สำเร็จ หากเปรียบเทียบกับรูปร่างและพละกำลังของมันแล้ว ตั๊กแตนตัวนี้เป็เหมือน “ตั๊กแตนไม่ประมาณตนที่หวังจะขวางรถยนต์” เท่านั้น งูหัวสามเหลี่ยมแลบลิ้นสีแดงออกมาด้วยความเ็า เสมือนว่าวันนี้มันเตรียมที่จะเปลี่ยนรสชาติ มาลิ้มลองรสชาติของตั๊กแตน
ซู่!
งูหัวสามเหลี่ยมเริ่มโจมตีก่อน หัวงูพุ่งออกไปราวกับติดสปริง กระโจนไปกัดเ้าตั๊กแตนสีเืทันที
ฉินหลางถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ เ้าตั๊กแตนสีเืตัวนี้ท้าประลอง “ข้ามรุ่น” กับงูใหญ่ แม้ความกล้าหาญของมันจะน่านับถือมาก แต่เห็นได้ชัดว่าจุดจบไม่สวยเลย
แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะมีสารคดีที่จับภาพตั๊กแตนในขณะออกล่าทั้งหนูและงู นั่นมันก็เป็เพียงพวกหนูและงูเล็กๆ ในโลกของแมลง ตั๊กแตนอาจเป็ผู้เชี่ยวชาญในการล่าเหยื่อ แต่ถ้าต้องต่อสู้กับงูตัวใหญ่ๆ แล้วล่ะก็ มันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย!
หวืด!
ในขณะที่ดูคล้ายตั๊กแตนสีเืจะต้องตายในปากงู ทันใดนั้นมันกระแทกปีกอย่างแรง ปีกทั้งสองของมันที่อยู่ภายใต้แสงแดดยามเช้าดูโดดเด่น ด้วยประกายสีแดงอ่อนๆ มันกระพือปีกคล้ายกำลังพยายามจะบิน แต่กลับบินไม่ขึ้น ถึงแม้ขาของมันจะยังคงตอกแน่นอยู่บนต้นไม้ ในขณะที่หัวของเ้างูหัวสามเหลี่ยมรีบหดถอยกลับไป แล้วยังแสดงท่าทางตื่นตระหนก
ของเหลวหนึ่งหยดตกลงบนใบหน้าของฉินหลาง หลังจากใช้มือแตะมาดู เขาจึงรู้ว่า มันไม่ใช่หยดน้ำ หากแต่เป็หยดเื!
เืงู!
“อย่าบอกนะว่าเ้างูใหญ่ตัวนี้ได้รับาเ็? ”
ฉินหลางตกตะลึง สิ่งที่เกิดขึ้นในฉากเมื่อกี้เกิดขึ้นเร็วเกินไปจนเขามองเห็นได้ไม่ชัดเจน ตอนนี้มาดูอย่างละเอียดอีกที เพิ่งเห็นว่าตาทั้งสองข้างของเ้างูหัวสามเหลี่ยมถูกกรีดเป็รอยแผลยาวประมาณสองเิเ เห็นได้ชัดว่าตาทั้งสองข้างของเ้างูหัวสามเหลี่ยมตัวนี้ไม่อาจใช้การได้อีกแล้ว!
“เชี่ย!จริงเหรอว่ะเนี่ย? ”
ฉินหลางตะลึงใจอย่างอดไม่ได้ เ้าตั๊กแตนสีเืตัวนี้แข็งแกร่งมากเกินไปแล้ว สามารถทำลายตาของคู่ต่อสู้ได้ในกระบวนท่าเดียว ทำให้เ้างูหัวสามเหลี่ยมสูญเสียพลังส่วนใหญ่ในการต่อสู้ไป ช่างแข็งแกร่งมากจริงๆ!
เ้างูหัวสามเหลี่ยมกลายเป็งูตาบอด ความกลัวมากกว่าความเคียดแค้น จึงตกจากต้นไม้ด้วยความลุกลี้ลุกลน ตกลงไปในกอหญ้า ก่อนจะรีบหลบหนีหายไป
แต่ทว่าเ้าตั๊กแตนสีเืไม่ได้จะปล่อยคู่ต่อสู้ไปอย่างนั้น บินมาด้วยความเร็วราวกับแสงไฟแวบผ่านไปยังบริเวณหัวใจที่ใกล้กับหัวของเ้างูหัวสามเหลี่ยม ก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างที่แหลมคมราวกับใบมีดของมัน ฟันลงไปอย่างอำมหิต แขนส่วนหน้าที่คมที่สุดทิ่มลงไปยังส่วนหัวของเ้างูบริเวณที่จุดสามนิ้ว เ้างูหัวสามเหลี่ยมดิ้นทุรนทุรายด้วยความเ็ป ก่อนที่จะจบชีวิตลง
“ตีงูต้องตีให้ตาย!เ้าตั๊กแตนสีเืตัวนี้รู้จักคู่ต่อสู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ฉินหลางใกับวิธีการจัดการคู่ต่อสู้ของเ้าตั๊กแตนสีเื และต้องใมากขึ้นเพราะเ้าตั๊กแตนสีเืวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ จุดอ่อนของงูมีอยู่สองจุดคือที่จุด “สามนิ้ว” และที่จุด “เจ็ดนิ้ว” ซึ่งคนส่วนมากรู้แต่เพียงตีงูต้องตีที่จุดเจ็ดนิ้ว แต่มักจะไม่รู้ว่าสามารถตีงูที่จุดสามนิ้วได้ด้วย เพราะจุดดังกลาวตรงกับกระดูกสันหลังที่อ่อนที่สุด จึงแตกหักได้ง่าย ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางของงูถูกทำลายและทำให้สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนที่
หลังจากจัดการงูหัวสามเหลี่ยมเรียบร้อยแล้ว เ้าตั๊กแตนสีเืที่ยืนอยู่บริเวณหัวของงู กางปีกออกเบาๆ ยืนอยู่บนหัวของงูด้วยท่าทางของผู้ชนะ ใช้แขนทั้งสองข้างกรีดหนังที่หัวของงูออก เริ่มดูดกินสมองของเ้างูทันที
“โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยเื่มหัศจรรย์จริงๆ ด้วย!”
ฉินหลางแอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อก่อนเขาเคยอ่านนิทานเื่ “ตั๊กแตนล่างู” จากหนังสือ ((เื่เล่าที่แปลกประหลาดของเหลียวหยู)) ตอนนั้นคิดว่าเป็เพียงเื่เล่าในตำนาน ที่มีการเขียนแต่งเติมจินตนาการในเนื้อเื่จนเกินความเป็จริง ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้เห็นฉากที่อยู่ในตำนานนี้ด้วยตาของตัวเอง
ในเวลานี้เอง เหมือนว่าฉินหลางจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใ “หรือนี่จะเป็ “แมลงกลายพันธ์” ที่พูดถึงในหนังสือตำราพิษ!”
( *ฝูหลงจู้ - ท่ายืนกำราบั เป็กระบวนท่าหนึ่งของไทเก๊ก โดยขาทั้งสองข้างจะอ้าออกกว้างกว่าไหล่ทั้งสองข้างเล็กน้อย ย่อลงคล้ายกับท่านั่งม้าหลังตรง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ให้ลมปราณไหลเวียนอยู่ภายในท้องน้อย คว่ำมือลงอย่างเต็มกำลัง จนรู้สึกถึงพลังมหาศาลของตน ที่มากพอจะสามารถกำราบัได้ )