“จวินอ๋องน้อย นี่ทรงหมายความเยี่ยงไรเพคะ?” หัวใจของหลันเชี่ยนหยิ่งพลันร่วงหล่นลงสู่จุดที่ต่ำสุดทันที
มองซูเช่ออีกครั้ง ยังคงเป็ภาพลักษณ์ของคุณชายผู้หล่อเหลางดงาม อีกทั้งสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็บุตรีของภริยาเอกของเสนาบดีกรมพิธีการ และยังเป็พี่น้องที่ดีของนาง
“ไม่มีความหมายใด เพียงคิดว่าควรให้เ้าเห็นอย่างชัดเจน ว่าต่อให้ไม่มีหลิงมู่เอ๋อร์ ข้างกายของเปิ่นหวางก็ยังจะมีสตรีนางอื่น” ซูเช่อด้านหนึ่งกล่าววาจา อีกมือยังเกี่ยวคางของสตรีในอ้อมกอด เชยริมฝีปากแดงของนางขึ้นมา ถือโอกาสจะจุมพิตลงไป
หลันเชี่ยนหลิ่งโมโหจนเพลิงโทสะลุกโชนไปสามจั้งทันที “พี่เช่อ!”
นางะโร้องด้วยความโมโห ยังดียังดี ซูเช่อมิได้จุมพิตลงไปจริงๆ แต่ฝ่ายหลังแม้จะหยุดการกระทำ แต่กลับโทโสยิ่งกว่านาง “ะโอะไร?”
ในยามที่ซูเช่อกล่าวคำนี้นั้น มิได้มองหน้าของหลันเชี่ยนหยิ่งแม้แต่น้อย แต่กลับพินิจสตรีในอ้อมกอดอย่างละเอียด มองจนหญิงสาวเขินอายอยู่เป็ครู่ เขาคล้ายว่าอย่างไรก็มองไม่พอ “เ้าเป็ผู้ใดของข้ากัน ยุ่งกับฟ้า ยุ่งกับดิน ยังคิดจะยุ่งว่าคืนนี้เปิ่นหวางจะโปรดผู้ใด?”
ซูเช่อพูดจบ คล้ายกับไม่ใส่ใจ แต่กลับจงใจเกี่ยวกระดุมเม็ดแรกบนสาบเสื้อด้านหน้าของหญิงสาวออก เผยให้เห็นต้นคอเรียวระหงของหญิงสาว
แต่หลันเชี่ยนหยิ่งเห็นอย่างชัดเจนว่า ที่ข้างลำคอของหญิงสาวมีรอยจุมพิตสีแดงก่ำอยู่รอยหนึ่ง
“เ้า พวกเ้าถึงกับ…” หัวใจที่อ่อนนุ่มราวกับถูกฉีกกระชากอย่างรุนแรงเป็พันเป็หมื่นชิ้น หลันเชี่ยนหยิ่งถอยไปหลายก้าว มองคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
ยามนี้ ในใจของนางราวถูกหมื่นกระบี่ทิ่มแทง เจ็บ เจ็บเหลือทนจริงๆ
“ในเมืองหลวง เปิ่นหวางคิดจะทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น โดยเฉพาะกับสตรี ต่อให้ไม่ได้ผู้ที่ข้า้า แต่ก็มีอีกมากที่จะโผเข้าสู่อ้อมกอดของข้า แต่พวกที่ชอบยุแยง เล่นเล่ห์เพทุบายนั้น เปิ่นหวางไม่มีทางเอาอย่างแน่นอน” เห็นสีหน้าของนางเปลี่ยนจากขาวเป็เขียว ก็โอบสตรีในอ้อมกอดเดินส่ายอาดๆ ออกไปอย่างได้ใจ
มือที่ถือผ้าเช็ดหน้าอยู่นั้นแทบอดไม่ไหวที่จะจิกลงในเืเนื้อ หลันเชี่ยนหยิ่งมองเงาหลังของพวกเขาที่ไกลออกไป โกรธจนทั่วทั้งร่างสั่นไม่หยุด
“หยิ่งเอ๋อร์?” เสียงที่น่ายำเกรงและจนใจดังมาจากเื้ั หลันเชี่ยนหยิ่งหันสายตาไป เห็นเพียงบิดาที่ถอนใจอย่างเป็ทุกข์ “คนล้วนจากไปไกลแล้ว เ้ายังตะลึงมองสิ่งใดอีก?”
ความน้อยใจพลันเอ่อล้นขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ อารมณ์ที่เมื่อครู่ยังควบคุมได้อย่างดีก็ะเิออกในเสี้ยววินาที
หลันเชี่ยนหยิ่งคุกเข่าลงเบื้องหน้าบิดาทันที “ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านต้องทวงความเป็ธรรมให้หยิ่งเอ๋อร์นะเ้าคะ”
หยาดน้ำตาพรั่งพรูร่วงหล่น ราวน้ำตกจากเขื่อนที่แตกออก มือข้างหนึ่งของหลันเชี่ยนหยิ่งกุมหน้าอก ความเ็ปในหัวใจนั้นทำให้นางราวอยู่มิสู้ตาย
อีกครั้ง เขาก็ได้แต่ส่ายหัว “เ้าทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใดกัน? จวิ้นอ๋องน้อยผู้นั้นอุปนิสัยไร้ไมตรี ข้าได้บอกกับเ้านานแล้ว แต่เ้ายังคงยืนกรานเช่นนี้ เฮ้อ”
“ข้าไม่สน ข้าชอบพี่เช่อ!” หลันเชี่ยนหยิ่งยืนอยู่กับที่กระทืบเท้าไม่หยุด “ยามนี้เขาเพียงถูกหลิงมู่เอ๋อร์ หญิงสารเลวนางนั้นมอมเมาจิตใจเท่านั้น เขาสืบพบว่าเื่ร้านอาหารเป็เพราะข้า ดังนั้นจึงได้มาตักเตือนข้า แก้แค้นข้า แต่ว่าท่านพ่อ ท่านเคยรับปากข้าไว้ ท่านเคยพูดว่าจะให้ข้าแต่งกับพี่เช่อ”
มีที่ใดที่ผู้เป็บิดาจะทนต่อการออดอ้อนของบุตรสาวได้? ทั้งยังเป็บุตรสาวอันเป็ที่รักที่ประคองไว้ในฝ่ามือั้แ่ยังเด็กอีก
“หยิ่งเอ๋อร์ เหตุใดเ้าจึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้? ซูเช่อปฏิเสธการแต่งงานต่อหน้าทุกคน เ้ารู้หรือไม่ว่าทำให้พ่อเสียหน้ามากเพียงใด เขาไม่เพียงรังแกเ้า ยังรังแกพวกเราทั้งจวนอัครเสนาบดี”
หลันเชี่ยนหยิ่งไม่พูดจา เพียงแต่ใช้ดวงตาที่มีน้ำตาคลอจ้องมองเขาอย่างเหม่อลอย
อัครเสนาบดีทั้งก่ายหน้าผาก ทั้งทอดถอนใจ กับบุตรสาวนั้นทั้งอยากตำหนิแต่ก็ตัดใจลงโทษไม่ลง
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ในเมื่อนี่เป็บุพเพที่เลวร้ายของเ้า พ่อก็ไม่อาจมองเ้าตกต่ำลงไปโดยไม่ทำสิ่งใดได้ จวิ้นอ๋องน้อยตอนนี้ยังไม่อาจแตะต้อง แต่หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นพวกเราสามารถแตะต้องได้ ”
เมื่อหยางซื่อเห็นหลิงต้าจื้อกลับมาอย่างปลอดภัย อีกทั้งบนร่างยังไม่มีาแแม้แต่น้อยและหลังจากได้ฟังหลิงจือเซวียนเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมด ในใจก็รู้สึกขอบคุณซูเช่อเป็อย่างมาก ในยามที่ฟ้าใกล้มืดนั้น ก็ยืนกรานให้หลิงจือเซวียนไปเชิญเขามาทานข้าวที่บ้าน
“ขอบพระคุณจวิ้นอ๋องน้อยมากที่ได้ช่วยชีวิต”
ซูเช่อรีบประคองนางขึ้นมา “ท่านป้าเกรงใจแล้ว แม่นางหลิงเคยช่วยข้าถึงสามครั้ง ลำบากเพียงยกมือเท่านั้น นี่เป็เื่ที่ข้าควรทำ ”
เขามอบป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งลงในมือของหยางซื่อ “ท่านป้าเก็บสิ่งนี้ไว้ ภายหน้าหากมีความลำบากใดในเมืองหลวง สามารถมาหาข้าที่จวนจวิ้นอ๋องได้ทุกเมื่อ”
มองป้ายคำสั่งหนักๆ ในฝ่ามือ ในอนาคต พวกนางก็มีผู้หนุนหลัง มีการรับประกันความปลอดภัยแล้ว?
หยางซื่อสบตากับถังซื่อทีหนึ่ง ตื่นเต้นจนร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณจวิ้นอ๋องน้อยมาก วันนี้หากมิใช่เพราะท่าน สกุลหลิงของพวกเราก็ไม่รู้จะทำเช่นใดดีจริงๆ ขอบคุณเหลือเกินเ้าค่ะ”
หลิงจือเซวียนมองทุกสิ่งเบื้องหน้าอย่างเงียบงัน มิได้กล่าวแม้แต่ครึ่งคำก็ถอยออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ซูเช่อถูกความกระตือรือร้นของคนเหล่านี้ทำให้ใแล้ว พูดอย่างเกรงใจสองสามคำแล้ว้าจะจากไป แต่หยางซื่อขวางไว้ อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยคน
“ท่านเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของพวกเราทั้งครอบครัว อย่างไรก็ต้องกินอาหารสักมื้อค่อยไป อีกทั้งลองนับดูเวลา มู่เอ๋อร์ก็ควรจะกลับมาแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะกลับมา ซูเช่อก็เกิดความสนใจขึ้นมา “เช่นนั้นก็เคารพไม่สู้เชื่อฟังแล้ว”
หยางซื่อกับถังซื่อไปทำอาหาร หลิงต้าจื้อและหยางต้าโหย่วอยู่คุยเล่นเป็เพื่อนจวิ้นอ๋องน้อย เพียงพริบตาเดียวฟ้าก็มืดแล้ว
ซูเช่อดูเวลา “ท่านป้า ท่านทราบหรือไม่ว่าสถานที่ที่แม่นางหลิงออกไปตรวจรักษานั้นเป็ที่ใด เหตุใดดึกถึงเพียงนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก?”
หากซูเช่อไม่เตือนขึ้นมา หยางซื่อก็ลืมไปแล้ว ตอนนี้เป็ยามซวี[1]แล้ว หรือว่าบุตรสาวถูกเื่ใดทำให้ล่าช้าแล้ว?
“นั่นสิ เมื่อก่อนในยามที่มู่เอ๋อร์ออกไปตรวจรักษานอกสถานที่ล้วนกลับมาก่อนยามโหยว่[2] คงมิได้พบเื่ใดระหว่างทางกระมัง” หลิงต้าจื้อยืนขึ้นมาอย่างกังวล
ทันทีที่ซูเช่อได้ยิน ในใจก็พลันเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้นมา
เื่ในวันนี้แม้จะมีจื่อซีเป็หัวโจก แต่ก็เพื่อออกหน้าให้หลันเชี่ยนหยิ่ง วัตถุประสงค์เพื่อให้หลิงมู่เอ๋อร์ขายหน้า แต่หลันเชี่ยนหยิ่งหากมีใจคิดแก้แค้น จะปล่อยโอกาสที่ยอดเยี่ยมในครั้งนี้ไปได้อย่างไร
“ข้าจะส่งคนไปลองดูที่โรงหมอ”
ซูเช่อสั่งการลูกน้องสองสามคำ ทุกคนก็ไม่มีอารมณ์เหลือไปทำอาหารแล้ว ต่างรอคอยอยู่ในห้องโถงใหญ่
มีคนเดินไปเดินมา มีคนหัวคิ้วขมวดแน่น มีคนกังวลใจหนักหน่วง ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง ลูกน้องมารายงาน ที่โรงหมอนอกจากซางจือและเจี้ยวเซียงแล้ว ไม่มีผู้อื่นอีก
หยางซื่อใจนแย่แล้ว “คงมิได้เกิดเื่อะไรขึ้นจริงๆ กระมัง? มู่เอ๋อร์จะอย่างไรก็เป็หญิงสาว ด้านนอกนั่นฟ้ามืดถนนลื่น…”
ความเป็ห่วงของหยางซื่อชักจูงอารมณ์ของทุกคนในสกุลหลิงไปด้วย ถังซื่อรีบสวมเสื้อคลุมชั้นนอกจะออกไปหา
“ท่านแม่ จะหาก็ควรเป็พวกเราไป ท่านอายุมากถึงเพียงนี้แล้ว รั้งรออยู่ที่บ้านเถิด” หยางต้าโหย่วรีบกดมารดาลงบนที่นั่ง
“ทุกคนต่างก็อยู่ที่นี่เถอะ พวกท่านไม่มีวรยุทธ์ความเร็วไม่ไวเท่าข้า เมื่อครู่ท่านป้าเพิ่งบอกว่าเป็เมืองเฟิ่งใช่หรือไม่ ข้าไปหาเอง”
จะรบกวนจวิ้นอ๋องน้อยถึงสองครั้งได้อย่างไร หลิงต้าจื้อรีบปฏิเสธ “ทำเช่นนั้นไม่ได้ วันนี้จวิ้นอ๋องน้อยได้ช่วยมามากพอแล้ว บุตรสาวของครอบครัวเรา พวกเราไปหาเองก็พอแล้ว”
“แม่นางหลิงไม่เพียงเป็เพื่อนของข้า ยังเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของข้าด้วย หากนางพบกับอันตรายใดจริงๆ ในใจของข้าก็ไม่สบายใจ” ซูเช่อเห็นหยางซื่อจะร้องไห้อีกแล้ว ก็ยิ้มให้นาง “แม่นางหลิงเป็ผู้มีวาสนา บางทีอาจเป็เพราะการตรวจรักษาทำให้เวลาล่าช้าก็เป็ได้ ทุกท่านไม่ต้องกังวลมากเกินไป ”
ไม่รอให้ทุกคนได้ตอบสนอง ซูเช่อะโขึ้นลงสองสามที ใช้วิชาตัวเบาออกจากสกุลหลิงไป
รอบด้านเป็ความมืดมิดและกลิ่นอับชื้น จากที่ไกลๆ ยังมีอีกสามคนกำลังกินเหล้าเล่นไพ่ หลิงมู่เอ๋อร์ลองขยับดู เป็ดั่งที่คาดคิด ถูกมัดไว้บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง ทั่วทั้งร่างขยับไม่ได้
โค้งริมฝีปาก นางยิ้มอย่างหนาวเหน็บครั้งหนึ่ง วิธีการแบบนี้ก็คิดว่าจะกักตัวนางไว้ได้?
ที่จริง่เวลาหนึ่งก้านธูปก่อนหน้านี้นางก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ยามนั้นด้านในยังมีคนคอยเฝ้านางอยู่สองสามคน บางทีอาจเพราะพบว่านางกำลังหมดสติหรือเป็เพราะเชื่อมั่นในยาสลบของพวกเขามากเกินไป ดังนั้นทุกคนจงได้ใส่กุญแจประตูออกไปเล่นไพ่
นางเป็ถึงแพทย์ผู้หนึ่ง ยาสลบชั้นต่ำสุดประเภทนั้น สำหรับนางแล้วออกฤทธิ์ยาได้ไม่นานนัก นางลองบิดขยับอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าปมเชือกบนข้อมือนั้นแก้ออกได้ง่ายมาก
อย่างคล่องแคล่วว่องไว นางหลบหนีออกจากการมัดได้สำเร็จ จากนั้นก็รีบหยิบลูกกลอนแก้พิษเม็ดหนึ่งออกมาจากมิติ ดื่มน้ำพุิญญาไปสองสามอึก เป็ดังคาด หลังจากนั้นไม่นาน ร่างกายของนางก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างสมบูรณ์ และยังมีกำลังมากกว่าก่อนหน้าอีกมาก
เบามือเบาเท้าเดินไปที่หน้าประตู ผ่านรอยแยกนางแอบมองไปด้านนอก ห่างออกไปห้าหมี่ รอบโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวหนึ่งมีบุรุษสามคนล้อมอยู่ ดื่มสุรา เล่นไพ่ นางรีบย้ายไปที่หน้าต่างที่อยู่ด้านข้างทันที ไม่ไกลจากนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังปรึกษาบางสิ่งกันอยู่ ราวยี่สิบถึงสามสิบคน แต่ละคนดุร้ายเหี้ยมโหด และล้วนแต่เป็ผู้ฝึกฝนวิชาต่อสู้
ทางประตูและหน้าต่างไม่ได้ นางรีบเคลื่อนไปทางประตูหลัง ไม่ดูยังดี แค่เพียงเหลือบมองก็ทำให้นางตะลึงในก้นลึกของจิตใจ
ที่ด้านหน้า บุรุษที่แต่งกายแปลกประหลาดผู้หนึ่งก็คือผู้ที่พึ่งจะลักพาตัวนางมาที่นี่ ส่วนบุรุษเบื้องหน้าของนางแม้จะสวมชุดราตรีทั้งชุด แต่รองเท้าบนเท้าคู่นั้นกลับเป็แพรพรรณชั้นดี ดูท่าผู้ที่เสนอให้ลักพาตัวนางจะเป็ผู้สูงศักดิ์มีอำนาจ
หลิงมู่เอ๋อร์รีบแนบหูเข้ากับแผ่นประตูไม้ทันที ปิดกั้นลมหายใจตั้งใจฟังพวกเขาคุยกัน
“นายท่าน พวกเราตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า หลังจับคนได้แล้วจะจ่ายค่าจ้างที่เหลืออีกหนึ่งหมื่นตำลึง แหะๆ เงินนั้นยามนี้ใช่ควรจะจ่ายให้หมดแล้วหรือไม่?” หัวหน้าโจรด้านหนึ่งเขย่งเท้า ด้านหนึ่งคาบบุหรี่ มือที่ยื่นออกมายังโบกไม่หยุด ท่าทางเฉกเช่นอันธพาลที่เกเร
“เรียกพวกเ้ามาทำงาน มีครั้งใดที่ทำให้เสียเปรียบบ้าง?” ชายชุดดำกล่าว โยนตั๋วเงินใบหนึ่งไปอย่างเหยียดหยาม จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ ซ้ายขวา เมื่อมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดแอบฟัง ก็ส่งเสียงขู่เตือนว่า “ครั้งนี้นายท่านผู้เฒ่าสั่งการมาแล้วว่า เื่นี้เมื่อทำเรียบร้อยแล้ว ยังมีรางวัลให้อีกสามพันตำลึง”
หัวหน้าโจรเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ยินดีอย่างมาก “จริงหรือขอรับ? ยังคงเป็ท่านผู้เฒ่าสงสารพวกเรา วางใจเถิด แม่นางในห้องผู้นั้นถูกยาสลบของข้า ่เวลาสั้นๆ ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้ รอนางตื่นขึ้นมา ก็กลายเป็ฮูหยินในรังโจรของข้าไปแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า”
“แม่นางผู้นั้นรูปโฉมงดงามล่มเมือง ตกมาสู่มือเ้าทำให้เ้าได้กำไรแล้ว พอแล้ว รีบทำเวลาจัดการให้เสร็จ” ชายชุดดำทิ้งคำพูดไว้แล้วก็จากไปในทิศตรงข้าม หลิงมู่เอ๋อร์ที่แอบลอบฟัง ใบหน้าเผยไอสังหารออกมา ในดวงตาแผ่ประกายที่หนาวเหน็บรุนแรง
ทั้งสี่ทิศของห้องนี้ล้วนมีคนเฝ้า การหนีดูจะเป็ไปไม่ค่อยได้ หลิงมู่เอ๋อร์วางแผน หากนางใช้ไม้แข็งรับมือกับพวกเขา นางจะสามารถต่อกรกับคนทั้งหมดได้หรือไม่ ขณะที่กำลังคิดคำนวณนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้แล้ว นางรีบเตรียมพร้อมทั่วร่างทันที
คิดจะจัดการนาง? ก็ไม่ดูก่อนว่าตนเองมีความสามารถนั้นหรือไม่
หลิงมู่เอ๋อร์ใคร่ครวญครู่หนึ่ง คนทั้งตัวก็หายไปจากห้อง วินาทีถัดมา ประตูไม้ที่ปิดสนิทก็ถูกคนเปิดออก มือทั้งสองของหัวหน้าโจรจับเชือกกางเกง บนใบหน้าแขวนรอยยิ้มชั่วร้ายไว้ “แหะ สาวงามของข้า บิดา…คนละ คนหายไปไหนแล้ว!”
[1] ยามซวี คือ ่เวลาั้แ่ 19:00 – 20.59 น.
[2] ยามโหย่ว คือ ่เวลา 17:00 – 18:59 น.