ไม่ผิด หลิงมู่เอ๋อร์ในยามนี้กำลังหลบอยู่ในมิติเทพ มองดวงตาทั้งคู่เบิกโพลงด้วยความโกรธ นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ลูกน้องที่อยู่ด้านนอกเมื่อได้ยินเสียงก็รีบพุ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน “พี่ใหญ่ เป็อะไรไปขอรับพี่ใหญ่?”
กำปั้นของหัวหน้าโจรทุบลงบนหัวของลูกน้อง “ยังถามข้าว่าเป็อะไรอีก เบิกตาสุนัขของเ้าดูให้ดี แม่นางผู้นั้น คนเล่า!”
ผู้ที่รับผิดชอบเฝ้าคุมทั้งสองคนเมื่อได้ยินเสียงก็พุ่งเข้ามาเช่นกัน ทุกคนมองภายในห้อง จากนั้นมองไปรอบๆ กะพริบตา “นั่นสิ คนละ?”
“พี่ใหญ่ พวกเราเฝ้าอยู่ตลอด นางไม่มีทางออกไปได้” หนึ่งในนั้นที่มีรูปร่างสูงผอมคิดจะผลักความรับผิดชอบ
“ไม่ใช่ว่าผีหลอกแล้วหรอกนะพี่ใหญ่?” อีกคนที่อ้วนเตี้ยอึกอักสั่นสะท้าน ฝีเท้าก็ถอยไปเื้ัอย่างไม่รู้ตัว
“ผีหลอกมารดาเ้าน่าสิ!” กำปั้นทุบลงไปที่หัวของเขาอีกครั้ง หัวหน้าโจรโมโหจนควันโชยจากกระหม่อม “ยังจะยืนตะลึงหามารดาทำไมอีก ไล่ตามไป!”
เขาจงใจขังหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ที่นี่ ก็เพราะทั้งสี่ด้านของห้องนี้ล้วนมีคนเฝ้าอยู่ ไม่มีทางหนีออกไปได้ หรือว่าถูกค้นพบแล้ว มีคนมาช่วย?
นึกถึงว่ายังมีอีกสามพันตำลึงยังไม่ถึงมือ หัวหน้าโจรก็มีเพลิงโทสะอยู่เต็มท้อง หยิบอาวุธแล้วนำเหล่าพี่น้องออกไล่ล่าทันที
รอจนคนทั้งหมดจากไปแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์จึงออกมาจากมิติ ในตอนนี้นางได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในมิติเทพ แต่กลับไม่สามารถความคุมความเคลื่อนไหวของนางอย่างอิสระได้ ดังนั้น นางจะต้องหาอีกเส้นทางเพื่อลงจากเขา
ที่นี่น่าจะเป็จุดที่กันของเมืองเฟิ่งและเมืองหลวง ูเาลูกนี้หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยมาเยือนมาก่อน และยังเป็ยามดึกดื่นค่ำคืนอีก ทำให้นางเดินทางลำบากอยู่บ้าง
ไม่รู้ว่าท่านพ่อท่านแม่อยู่ที่บ้านจะกังวลจนเป็เช่นใดแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์เมื่อคิดเช่นนั้นก็อดเพิ่มความเร็วของฝีเท้าไม่ได้ แต่เบื้องหน้าไม่ไกลเหมือนจะมีแสงไฟส่องมา “พี่ใหญ่ คนของพวกเราลงจากูเามาหมดแล้วล้วนหาคนไม่พบ ที่นี่ภูมิทัศน์ซับซ้อน แม่นางคนนั้นน่าจะหนีไปได้ไม่ไกล”
หัวหน้าโจรเดินวนอยู่ที่เดินอย่างเกรี้ยวกราด “ทางที่ลงเขาไม่มี ก็ไปหาทางอื่น” ก็ไม่รู้ว่ารับรู้ได้หรือไม่ แขนยาวของเขาชี้มาทางทิศที่หลิงมู่เอ๋อร์อยู่ “ทางนั้น ค้นอย่างละเอียดให้ข้า ”
ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ตื่นตระหนก คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าโจรผู้นี้จะพอมีฝีมืออยู่บ้าง ขณะที่ตัดสินใจจะใช้พลังจิตเข้าไปในมิติ ที่หัวไหล่ก็มีมือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ทั่วทั้งร่างของหลิงมู่เอ๋อร์แข็งเกร็ง ขณะกำลังคิดจะขัดขืน ผู้ที่มาก็ชิงหมุนร่างของนางก่อน ในยามที่นางหวาดกลัวจนจะส่งเสียงร้องออกไปนั่นเอง ผู้ที่มาก็รีบอุดปากนางไว้อย่างรวดเร็ว “ชู่ว์ เป็ข้า”
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ใจนตะลึงก็โค้งริมฝีปากอย่างยินดี ในยามที่มือของเขาปล่อยออกก็ร้องเสียงเบา “เหตุใดจึงเป็ท่านได้?”
“ไปจากที่นี่ก่อนค่อยพูด”
แขนยาวของซูเช่อสะบัดออกโอบเอวบางอรชรของนางไว้ ในตอนที่เหล่าโจรยังมิได้เข้ามาใกล้ ก็ใช้วิชาตัวเบาพานางจากไปอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่อยู่ห่างจากค่ายโจรมาก คิดว่าพวกมันคงจะไล่ตามมาไม่ทันแล้ว เ้าเป็อะไรหรือไม่?”
เมื่อมั่นใจว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ซูเช่อรีบมองสำรวจนางซ้ายขวาทันที พบว่าบนร่างของนางไม่มีาแใด จึงได้ถอนใจออกมา
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาอย่างชมเชย “มองไม่ออกว่าท่านยังร้ายกาจเช่นนี้ด้วย ที่นี่ล้อมรอบด้วยป่า กลับสามารถหาทางออกได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ ท่านเคยมาที่นี่มาก่อน? ”
เมื่อครู่ในยามที่หนีออกมา นางหาอยู่สองรอบยังหาทางออกไม่เจอเลย
ซูเช่อโค้งริมฝีปากอย่างได้ใจ รอยยิ้มที่เย่อหยิ่งเกเรราวกับสามารถเกี่ยวิญญาของหญิงสาวไปได้ “เปิ่นหวางไม่ใช่หมอนปักลายดอกไม้[1] ก่อนนั้นในยามที่ข้าฝึกฝนอยู่ในค่ายทหาร ไม่รู้ว่าเ้าไปแอบร้องไห้อยู่ที่มุมไหนของูเาด้วยซ้ำ”
ที่แท้เป็เช่นนี้
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกว่านางควรจะทำความรู้จักซูเช่อใหม่เสียแล้ว
จวิ้นอ๋องน้อยที่ฝีมือไม่ธรรมดา และสติปัญญาสูงส่งเหนือผู้คนผู้นี้ ดูไปแล้วไม่ธรรมดาเช่นที่เห็นภายนอก
“เหตุใดท่านจึงรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ได้?”
แม้จะไม่จำเป็ต้องให้เขามา นางก็สามารถถอนตัวจากไปอย่างปลอดภัย แต่ยังคงรู้สึกขอบคุณมากต่อการปรากฏตัวอย่างทันเวลาของซูเช่อ ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ก็ไม่หวาดกลัวขนาดนั้นแล้ว
“นี่หากจะเล่าก็ต้องพูดกันยาวแล้ว…” ซูเช่อเล่าเื่ทั้งหมดที่เกิดกับร้านอาหารในตอนกลางวันให้นางฟัง แต่จงใจเว้นเื่ที่เกี่ยวกับหลันเชี่ยนหยิ่งไว้ มิใช่เพราะเขา้าปกป้องหลันเชี่ยนหยิ่ง เขาเพียงไม่้าให้หลิงมู่เอ๋อร์ต้องาเ็เพราะการแก้แค้น “ท่านพ่อท่านแม่ของเ้าเป็ห่วงเ้าอย่างมาก แต่หาคนไม่พบ เลยได้แต่ส่งข้ามา”
กล่าวจบ เขาก็หยิบพลุสัญญาณลูกหนึ่งออกมาจากในอก เสียงฟิ้วดังขึ้น พลุสัญญาณสีทองเบ่งบานราวกับดอกไม้ไฟ
“นี่ท่านกำลังทำอะไร?”
“ก่อนออกมาได้นัดกับท่านป้าไว้เรียบร้อยแล้วว่า ขอเพียงเห็นพลุสัญญาณลูกนี้แปลว่าหาเ้าพบแล้ว และเ้าปลอดภัย ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ข่าวของเ้า คิดว่าคืนนี้พวกเขาคงยากจะข่มตาลงได้ คราวนี้ก็สามารถวางใจนอนหลับได้แล้ว”
มองใบหน้าด้านข้างที่เชิดขึ้นของเขา อวัยวะทั้งห้าหล่อเหลา ทั้งสง่างามและยังอ่อนโยน ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์มีเสี้ยววินาทีที่สั่นไหว จวิ้นอ๋องน้อยแห่งตระกูลซูใส่ใจแล้วจริงๆ
น้ำใจในครั้งนี้ นางจดจำไว้แล้ว
“ครั้งนี้เปลี่ยนเป็ข้าช่วยชีวิตเ้าครั้งหนึ่ง เ้าลองพูดมาดูว่า จะขอบคุณข้าอย่างไร?” น้ำเสียงสูงต่ำของซูเช่อราวกับโน้ตดนตรีที่ไพเราะ เขาพลันหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน ดวงตายิ้มหยี
ไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์ตอบ ซูเช่อก็หมุนกายไปกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “หากเ้าไม่มีวิธีการอะไรแล้วจริงๆ ข้ากลับสามารถช่วยออกความคิดให้เ้าได้อย่างหนึ่ง ใช้ร่างกายตอบแทนก็ไม่เลว”
พูดจบ แก้มของเขาก็แดงระเรื่อ ที่แท้จวิ้นอ๋องน้อยที่หน้าหนาไร้ยางอายก็มียามที่เขินอายกับเขาด้วย
“ท่านฝันไปเถอะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ค้อนเขาคำหนึ่ง ไม่สนใจใบหน้าที่ผิดหวังในเสี้ยววินาทีของซูเช่อ เดินมุ่งตรงไปข้างหน้า
มองแสงจันทร์ “ตอนนี้เป็ยามจื่อ[2]แล้ว คิดว่าประตูเมืองคงจะปิดแล้ว ต่อให้พวกเรากลับไปก็เข้าเมืองไม่ได้” หลิงมู่เอ๋อร์ถอนใจอย่างจนใจ นางยังไม่อยากค้างคืนในป่านะ
“ไม่ผิด ดังนั้นคืนนี้ เ้าถูกกำหนดให้ต้องผ่านค่ำคืนร่วมกันกับข้าสองต่อสอง ในูเาลึกและป่าดึกดำบรรพ์แห่งนี้แน่นอนแล้ว!” ซูเช่อเดินมาเบื้องหน้าของนาง ค้อมกายลง ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นมองนางอย่างชั่วร้ายและน่าถูกฟาด “ชายหญิงอยู่ร่วมกันตามลำพัง มีเพียงแค่ข้ากับเ้า”
“โอ้ ดูไปแล้วจวิ้นอ๋องน้อยมีความสุขมากเหลือเกิน” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เพียงไม่หลบร่างกายที่ยิ่งมายิ่งเข้าใกล้ของเขา แต่กลับเชิดใบหน้าที่งดงามขึ้น การกระทำที่กะทันหันนั้นทำให้ซูเช่อไม่ทันได้ระวังตัว ในยามที่ในใจกำลังมีความสุขนั้นเอง ก็เห็นนางออกแรงที่ฝ่าเท้า ในป่าพลันมีเสียงร้องโหยหวนทะลุฟ้าดังขึ้นมาทันที
“อ๊าก!”
ซูเช่อกอดเท้าไว้ข้างหนึ่ง เจ็บจนได้แต่ะโอยู่กับที่ “หลิงมู่เอ๋อร์ ถึงอย่างไรคืนนี้ข้าก็ได้ช่วยชีวิตเ้าไว้ครั้งหนึ่งนะ”
สาวน้อยเดินส่ายอาดๆ อยู่เบื้องหน้า ในยามที่หันกลับมามองนั้น รอยยิ้มหยาดเยิ้ม “หากเ้าไม่อยากอยู่เป็อาหารหมาป่าที่นี่แล้วละก็ ยังไม่รีบตามมาอีก”
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้เดินไปทางเมืองหลวง แต่กลับไปที่เมืองเฟิ่งในทิศตรงข้าม นางคิดว่า แทนที่จะค้างคืนในป่าลึก ไม่สู้หาที่พักค้างคืนสักแห่ง
“ไม่รู้ว่าท่านป้าหลับไปแล้วหรือยัง” หลิงมู่เอ๋อร์บ่นพึมพำกับตนเอง แต่ก็ยังคงเคาะประตู ทว่า เป็ครึ่งวันก็ไม่มีความเคลื่อนไหว
ในยามที่คนทั้งสองคิดจะยอมแพ้นั่นเอง ด้านในคล้ายจะมีเสียงฝีเท้าดังมาอย่างแ่เบา ตามมาด้วยเสียงไต่ถามอย่างอ่อนแรง “ผู้ใดกัน?”
“ท่านป้ามั่ว เป็ข้าเ้าค่ะ ระหว่างทางพบเื่ยุ่งยาก ไม่อาจกลับเมืองหลวงได้ชั่วคราว คิดอยากจะขอค้างคืนที่ท่านสักคืน ไม่ทราบว่าจะสะดวกหรือไม่?”
ผู้ชราที่อยู่ด้านในตะลึงไปก่อน แต่อย่างรวดเร็วก็สามารถแยกแยะเสียงได้ นางรีบเปิดประตู ด้านนอกมืดมิดไปหมด นางก็เป็ผู้ที่ดวงตาบอดไปครึ่งหนึ่ง มือทั้งคู่ลูบคลำไปทั่ว “ใช่แม่นางหลิงหรือไม่?”
“ท่านป้า เป็ข้าเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์รีบจับมือของนาง “หลังกลับออกจากที่ของท่านไป ก็รับตรวจผู้ป่วยคนอื่นอีก เป็ผลให้เวลาที่จะกลับไปล่าช้า จึงได้แต่มาขอรบกวนที่นี่ หวังว่าท่านป้าจะไม่รังเกียจ”
“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจ ท่านช่วยข้ารักษาโรค ไม่เก็บเงินแม้แต่อีแปะเดียว อย่าพูดถึงว่าเป็การค้างคืน ต่อให้มาอาศัยอยู่ที่นี่ หญิงชราผู้นี้ก็ยินดีเป็อย่างมาก” ััได้ว่ายังมีลมหายใจอีกสายหนึ่ง ผู้ชรามองไปทางซูเช่อ “หรือชายในดวงใจของท่านก็มากับท่านด้วย? พวกท่านทั้งสองรีบเข้ามาเร็วเข้า ด้านนอกหนาว”
รู้ว่าหากซูเช่อเอ่ยปากจะต้องปากไม่มีหูรูด หลิงมู่เอ๋อร์รีบอธิบาย “เป็เพื่อนคนหนึ่งเ้าค่ะ รู้ว่าดึกเพียงนี้แล้วข้ายังไม่กลับไป จึงออกมาหาข้าแทนคนที่บ้าน ท่านป้าไม่ต้องลำบากแล้ว”
เห็นนางจะไปจุดไฟ หลิงมู่เอ๋อร์รีบห้ามการกระทำของนาง
บ้านสกุลมั่วยากไร้จนไม่เหลือสิ่งใด น้ำมันตะเกียงใช้หมดไปนานแล้ว อีกทั้งดวงตาของนางก็ใกล้จะบอด จึงไม่มีความจำเป็ต้องใช้ พวกเขาสองคนมาที่นี่ก็เพื่อขอค้างเพียงคืนเดียวเท่านั้น จะสิ้นเปลืองไปทำไม
“ที่แห่งนี้ของข้าชำรุดทรุดโทรม พวกท่านอย่าได้รังเกียจก็พอ” ป้ามั่วมีความลำบากใจอยู่บ้าง “ไม่ทราบว่าดึกขนาดนี้ พวกท่านสองคนรับประทานอาหารมาแล้วหรือไม่ ข้าจะไปลวกบะหมี่มาให้พวกท่านสักเล็กน้อย”
ต่อให้ยังมิได้กิน ก็ทนให้มั่วต้าเหนียงต้องลำบากเพื่อพวกเขาในยามดึกเช่นนี้ไม่ได้ หลิงมู่เอ๋อร์ทำใจไม่ได้ “พวกเรากินแล้วเ้าค่ะ ท่านป้า หากสะดวกแล้วละก็ รบกวนหาผ้าห่มให้พวกเราสักสองผืน ส่วนที่เหลือให้พวกเราจัดการเองก็พอ”
ห้องของป้ามั่วเดิมก็ทรุดโทรม มีเตียงเพียงตัวเดียวเท่านั้น หลิงมู่เอ๋อร์กับซูเช่อจึงได้แต่ปูพื้นนอนอยู่ด้านนอก มองดูท่านป้ายกผ้านวมผืนใหม่มา นางประหลาดใจเป็อย่างมาก “ท่านป้า นี่เกรงว่าจะเป็ของที่ท่านทำใจใช้ไม่ลงมาตลอดกระมัง ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้”
“แม่นางหลิง ท่านช่วยชีวิตข้า จิตใจก็มีเมตตา ราวกับเป็พระโพธิสัตว์อวตาร เพียงแค่ผ้าห่มเพียงผืนเดียวเท่านั้น ท่านก็อย่าได้ถือสากับหญิงชราผู้นี้เลย”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่า หากนางยืนการไม่ยินยอม ป้ามั่วมีแต่จะไม่สบายใจ ดังนั้นจึงรับผ้าห่มไว้ กล่าวขอบคุณอย่างปากหวาน “ขอบคุณท่านป้ามากเ้าค่ะ ท่านก็พักผ่อนเร็วหน่อย”
ห้องด้านนอกไม่ใหญ่นัก หลิงมู่เอ๋อร์นอนอยู่ด้านซ้าย ซูเช่ออยู่ทางขวาสุด แต่ละคนพิงกำแพง
เป็เวลานาน ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของมั่วต้าเหนียงดังมา ซูเช่อหันศีรษะ ในความมืดมิดนั้นหาตำแหน่งของหลิงมู่เอ๋อร์ได้อย่างแม่นยำ “ชู่ว์ ชู่ว์ พระโพธิสัตว์หลิงของพวกเรา นอนไม่หลับก็อย่าได้ฝืน เปิ่นหวางสามารถคุยเล่นเป็เพื่อนเ้าได้ ขอเพียงเมื่อเ้ากลับถึงเมืองหลวงแล้วดื่มสุราเป็เพื่อนกับข้าสักครั้งก็พอ ”
พูดถึงเื่ดื่มสุรา นางยังติดค้างอยู่จอกนึงนะ กลับไปเขาจะต้องเอาสมุดเล็กๆ มาจดไว้ให้ดีแล้ว
“ข้าเพียงกำลังคิดว่า ที่แท้เป็ผู้ใดที่จิตใจโเี้ถึงเพียงนี้ ส่งโจรมาลักพาตัวข้า” เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่สูงไม่ต่ำ แต่นุ่มนวลอย่างมาก ทำให้คนฟังแล้วราวกับย่ำอยู่บนสำลี
ตลอดคืน ซูเช่อมิได้ถามนางเลยว่าเหตุใดจึงถูกคนลักพาตัว เกรงว่าเขาคงคิดจะใช้วิธีของตนเองไปกำจัดคนพวกนั้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เป็ดั่งที่คาด เขายกมุมปากขึ้นหัวเราะเสียงเย็น “กล้าทำเื่เช่นนี้ในเมืองหลวง ภายใต้เปลือกตาของเปิ่นหวางเช่นนี้ น่าเสียดาย ผู้ที่พวกเขาล่วงเกินคือข้า ซูเช่อ”
หลิงมู่เอ๋อร์หันหัวมา ยืมแสงจันทร์มองเห็นความมั่นใจที่ฉายอยู่บนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน อย่างไม่รู้ตัว ได้มองจนเหม่อลอยไปแล้ว
“วันนี้ที่ข้ามาเมืองเฟิ่ง ก็เพื่อมารักษาอาการให้ป้ามั่ว ระหว่างทางกลับ เจอชายผู้หนึ่งแสร้งทำเป็เจ็บป่วย ผลคือเขาถือโอกาสที่ข้าไม่ทันระวัง ตีข้าสลบจากทางด้านหลัง ในตอนที่ตื่นมาอีกครั้งก็อยู่บนูเานั่นแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์บรรยายอย่างง่ายๆ “แต่ว่า ในตอนนั้น คนผู้นั้นกำลังพบปะกับชายชุดดำอีกคนหนึ่ง การแต่งกายของชายผู้นั้นดูสูงศักดิ์เป็พิเศษ คนที่ข้าล่วงเกินในเมืองหลวงมีไม่มาก ยิ่งที่มีชื่อเสียงแทบจะไม่มี ดังนั้น เกรงว่าจวิ้นอ๋องน้อยคงจะรู้ว่านี่เป็เื่ใดกระมัง?”
[1] หมอนปักลายดอกไม่ เป็การเปรียบเปรยว่า ดูดีแต่ไร้ประโยชน์
[2] ยามจื่อ คือ ่เวลา 23:00 – 24:59 น.