เพียงไม่นานก็มีหญิงชราผู้หนึ่งสวมชุดกระโปรงสีฟ้าสภาพค่อนข้างใหม่ ใบหน้าชมพูระเรื่อดูเปล่งปลั่งเดินเข้ามา นางสอบถามอยู่หลายประโยค หลังจากลองชิมแป้งย่างต้นหอมไปชิ้นหนึ่ง ก็ควักเงินสามทองแดงออกมาซื้อกลับไปสามชิ้น
คนละแวกนั้นเพิ่งกินเกี๊ยวน้ำเสร็จ เช็ดปากเรียบร้อยแล้วจึงไปจ่ายเงิน เมื่อเห็นหญิงชราเดินไปพลางกินแป้งย่างต้นหอมอย่างเอร็ดอร่อยไปพลาง จึงเข้าไปถามว่า “สะใภ้หลิว เหตุใดวันนี้จึงไม่กินเกี๊ยวน้ำเล่า?”
สะใภ้หลิวหันมามองชายชราเ้าของแผงขายเกี๊ยวน้ำที่กำลังยุ่งอยู่กับเกี๊ยวน้ำร้อนๆ ในหม้อ จากนั้นจึงกระซิบกระซาบด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ “เกี๊ยวน้ำหนึ่งชามสองทองแดง ข้ากับตาเฒ่ากินทุกวันก็ต้องจ่ายสี่ทองแดง แต่วันนี้ซื้อแป้งย่างต้นหอมสามชิ้น เพิ่งจะสามทองแดงเท่านั้น ประหยัดไปได้หนึ่งทองแดงเชียว”
คนผู้นั้นได้กลิ่นหอมของต้นหอม จึงจ้องมองไปที่แป้งย่างที่อยู่ในมือของนาง พลางถามว่า “แป้งย่างนี่อร่อยหรือ?”
“อร่อย อร่อยกว่าที่ข้าทำมากเชียว ไม่เช่นนั้นข้าจะซื้อกลับมาสามชิ้นทำไมเล่า” สะใภ้หลิวมองไปที่คนผู้นั้นมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มอยู่บนหน้าผากของเขา จึงกล่าวด้วยท่าทีที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นว่า “ดูเ้าสิ กินจนเหงื่อออกเต็มหน้าเชียว”
อากาศร้อนขนาดนี้ กินเกี๊ยวน้ำร้อนๆ ที่เพิ่งออกจากเตา เหงื่อไม่ออกสิถึงจะแปลก
เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วถามว่า “พรุ่งนี้ร้านที่ขายแป้งย่างต้นหอมยังจะมาขายอีกหรือไม่?”
“ข้าไม่ได้ถาม เ้าลองไปถามดูสิ” สะใภ้หลิวกำลังรีบ อยากจะนำแป้งย่างไปให้คนที่บ้านได้กินเร็วๆ จึงรีบเดินจากไปทันที
คนที่คุยกับสะใภ้หลิวชื่อเฮ่อตงเฟิง ไม่มียายแก่ที่บ้านสักคน ที่นาของบ้านขนาดสามสิบกว่าหมู่ก็ปล่อยเช่าไปหมดแล้ว บุตรชายทั้งสองล้วนเอาการเอางาน ต่างก็มีชีวิตที่ดี ในทุกๆ เดือนแต่ละคนจะแสดงความกตัญญูด้วยการให้เงินเขาคนละห้าร้อยทองแดง ส่วนบุตรสาวสองคนก็มอบเงินให้เขาทุกเทศกาล
เฮ่อตงเฟิงเป็พวกมีเงินติดตัวทั้งยังมีเวลามาก เขาว่างจนไม่มีอะไรจะทำ จึงเดินไปที่ประตูเมืองในตำบล เมื่อเห็นผู้เยาว์ทั้งสองถูกคนที่มาซื้อแป้งย่างห้อมล้อมอยู่ก็ไม่ได้รีบร้อน รอจนคนน้อยค่อยเดินเข้าไปถาม “พ่อหนุ่มน้อย พรุ่งนี้พวกเ้ายังจะมาขายแป้งย่างอีกหรือไม่?”
หลี่เจี้ยนอันเห็นเฮ่อตงเฟิงสวมชุดผ้าไหมสภาพใหม่ ก็รู้ทันทีว่าเป็คนมีเงิน จึงยิ้มตอบไปว่า “ท่านปู่ขอรับ หากพรุ่งนี้อากาศดี พวกเราสองพี่น้องต้องมาขายแน่นอน”
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนที่กำลังจ่ายเงินพูดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจว่า “ลุงเฮ่อ ข้าลองชิมแป้งย่างนี้แล้ว อร่อยกว่าที่เมียข้าทำอีก ท่านไม่ลองชิมสักแผ่นหรือ?”
“เช่นนั้นเอามาให้ข้าสักแผ่นแล้วกัน” เฮ่อตงเฟิงจ่ายเงินหนึ่งทองแดงซื้อแป้งย่างมาลองชิมหนึ่งแผ่น พอกินเข้าไปก็หยุดปากไม่ได้ เมื่อกินหมดก็พยักหน้าแล้วกล่าวเสียงดังว่า “พรุ่งนี้ลูกสาวคนโตของข้าจะมาเยี่ยมข้าทั้งครอบครัว ข้าขอจองแป้งย่างต้นหอมสักสิบแผ่น ถ้าฝนตกพวกเ้าไปส่งให้ข้าที่บ้านได้หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนกล่าวพึมพำ “บ้านของพวกเขาอยู่ที่หมู่บ้านหลี่ เดินทางไปกลับก็สิบกว่าลี้แล้ว”
หลี่ฝูคังรีบส่งสายตาให้หลี่เจี้ยนอันรับ่ต่อ
หลี่เจี้ยนอันย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสการค้านี้หลุดมือไปแน่นอน จึงรีบพูดขึ้นว่า “บ้านของท่านปู่อยู่ที่ใดหรือ พวกเราพี่น้องต้องรู้ก่อนขอรับ”
เฮ่อตงเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าดีใจ “ข้าแซ่เฮ่อ บ้านของข้าอยู่ข้างร้านแลกเงิน มีรูปวาดเทพติดอยู่ที่ประตูใหญ่”
หลี่เจี้ยนอันถามต่ออีกว่า “พรุ่งนี้ให้ไปส่งแป้งย่างเวลาใดขอรับ?”
“ไปส่งให้ข้าสายกว่าเวลานี้สักครึ่งชั่วยามแล้วกัน” เฮ่อตงเฟิงเห็นสองพี่น้องไม่เรียกเงินมัดจำจึงไม่ได้เสนอไปก่อน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็วันแรกที่พวกเขามาขายแป้งย่าง คนในตำบลยังไม่รู้จักพวกเขา
สองพี่น้องยืนขายอีกครู่หนึ่ง แป้งย่างต้นหอมในตะกร้าก็หมดแล้ว
ชายชราเ้าของร้านเกี๊ยวผู้มีไฝเม็ดโตบนหน้าผากก็เริ่มสังเกตพวกเขา
ชายชราที่มีไฝดำบนใบหน้าเปิดร้านเกี๊ยวที่ตำบลจินจีมายี่สิบกว่าปีแล้ว หลายปีมานี้เขาเจอคู่แข่งมาไม่น้อย ทั้งขายแป้งดำย่าง แป้งข้าวโพดย่าง หรือซาลาเปาไส้พุทราจีนล้วนมีทั้งสิ้น แต่อาหารของคู่แข่งเ่าั้รสชาติธรรมดา สู้เขาไม่ได้ เมื่อพวกเขาขายของไม่ได้จึงไม่มาอีก
เมื่อครู่ชายชราไฝดำได้ยินคนในตำบลพูดกันว่า แป้งย่างต้นหอมที่เด็กหนุ่มทั้งสองเอามาขายอร่อยมาก จึงคิดว่าจะซื้อมาลองชิมสักชิ้นดีหรือไม่ ดูว่ามันจะอร่อยเพียงใด
ความจริงแล้วในตัวตำบลมีคนอาศัยอยู่มาก คนมีเงินก็ไม่น้อย อีกทั้งตลาดอาหารเช้าก็ไม่เล็ก ชายชราไฝดำไม่จำเป็ต้องกังวลเลย
แต่ชายชราไฝดำมีนิสัยชอบเอาชนะ อยากข่มคู่แข่งที่มีฝีมือครัวให้จมไปทั้งหมด
หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังกำลังดื่มด่ำอยู่กับความยินดีที่ได้เงินจากการขายแป้งย่างต้นหอมหมดเกลี้ยง ทั้งสองไม่รู้เลยว่ากำลังถูกชายชราไฝดำที่เป็เพื่อนร่วมอาชีพจับจ้องเข้าแล้ว
พวกเขายกตะกร้าไผ่สานที่ว่างเปล่าขึ้นมา เดินไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อสมุนไพรที่น้องสาว้า จากนั้นจึงไปยังร้านขายธัญพืชและร้านขายของชำเพื่อซื้อของต่างๆ เช่น แป้งขาว เหล้าเหลือง น้ำตาล เกลือ น้ำส้มสายชู และน้ำมัน เป็ต้น หนุ่มน้อยทั้งสองกลับไปพร้อมข้าวของเต็มมือ
ระหว่างทางกลับบ้านยังนำบัญชีมาคำนวณไปหลายสิบรอบ
แป้งย่างต้นหอมหนึ่งร้อยชิ้นของเช้านี้ ต้องใช้แป้งขาวเก้าชั่งและน้ำมันสองชั่ง ซึ่งมีอยู่แล้วในบ้าน ส่วนต้นหอมเป็ผักในที่ดินของตนเอง รวมทั้งหมดเป็ทุนประมาณสามสิบห้าทองแดง ขายได้หนึ่งร้อยทองแดง เป็กำไรสุทธิหกสิบห้าเหรียญทองแดง ได้เงินดีกว่าขายไส้ทอดเมื่อวานเสียอีก
เมื่อครู่พวกเขาซื้อของต่างๆ เช่น สมุนไพรและแป้งขาว จ่ายเงินไปทั้งสิ้นแปดสิบห้าเหรียญทองแดง ยังเหลืออีกสิบห้าทองแดง
สองพี่น้องมองไปยังพวกแป้งขาว เหล้าเหลือง และของต่างๆ นานาในตะกร้าไผ่สานใบใหญ่ ทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
เมื่อมาถึงตัวหมู่บ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต่างพากันเข้ามาสอบถามสองพี่น้อง สองพี่น้องก็ไม่ได้ปิดบัง บอกว่าไปขายแป้งย่างที่ตำบล จินจี
หญิงชราผมขาวร่างผอมคนหนึ่งเข้ามาถามว่า “แป้งย่างบ้านเ้าขายหมดเลยหรือ?”
“ขายหมดเลยขอรับ”
หญิงชราร่างผอมกล่าวอย่างฉงน “์ ก่อนหน้านี้บ้านของข้าก็ไปขายแป้งย่างที่ตัวตำบลเช่นกัน แป้งย่างสามสิบชิ้น ขายทั้งวันยังขายไม่หมดเลย บ้านเ้าโชคดีจริงๆ”
หญิงชราผิวดำอีกคนหนึ่งมองไปยังหญิงชราร่างผอมด้วยสายตาไม่พอใจ กล่าวเสียงแหลมว่า “ที่บ้านหลี่ขายคือแป้งย่างต้นหอมที่ทำจากแป้งขาว บ้านเ้าขายแป้งย่างจากแป้งดำ คนในตำบลเป็คนมีเงินทั้งนั้น จะมีกี่คนที่อยากกินแป้งดำของเ้าเล่า?”
หญิงชราร่างผอมไม่ได้โกรธเคือง แต่กะพริบตาเล็กๆ ของนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ว่า “นั่นไม่ใช่เป็เพราะคนในบ้านเสียดายไม่อยากใช้แป้งขาวหรอกหรือ”
หญิงชราผิวดำพูดต่อ “บ้านหลี่ไม่เสียดาย กล้าใช้น่ะสิ”
หญิงชราอีกคนหนึ่ง คิ้วของนางเฉียงลง ในปากเหลือฟันอยู่ไม่กี่ซี่ มองไปยังแผ่นหลังของสองพี่น้องบ้านหลี่ กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความนับถือ “จ้าวซื่อรู้อักษร คิดเลขเป็แล้วยังเห็นโลกมามาก ทำอาหารครั้งแรกก็กล้าใช้แป้งขาวแล้ว”
หญิงชราร่างผอมหัวเราะ “บ้านข้าไม่กล้าใช้แป้งขาวทำแป้งย่างไปขายอย่างไรเล่า”
ระหว่างทางั้แ่ทางเข้าหมู่บ้านจนถึงบ้านหลี่ สองพี่น้องหลี่ถูกคนเข้ามาสอบถามและพูดคุยด้วยมากมาย ไม่ว่าจะด้วยความอิจฉาริษยา หรือรู้สึกเหลือเชื่อล้วนมีทั้งสิ้น
สรุปแล้วเื่ที่บ้านหลี่ไปขายแป้งย่างต้นหอมที่ในตัวตำบลก็แพร่สะพัดออกไปราวกับสายลม
จ้าวซื่อ หลี่หรูอี้ หลี่อิงฮว๋า และหลี่ิ่หาน นั่งฟังหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังเล่าขั้นตอนการขายในวันนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ ทุกคนส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขออกมาเป็ระยะ
จ้าวซื่อเอ่ยปาก “แป้งย่างต้นหอมขายดีในตัวตำบลจริงๆ ต่อไปหากฝนไม่ตกก็ทำไปขายทุกเช้าแล้วกัน”
หลี่อิงฮว๋ามองไปยังพี่ชายทั้งสองอย่างแฝงความนัย “น้องสาว พรุ่งนี้เ้าให้ข้ากับพี่สี่ของเ้าไปขายแป้งย่างที่ตำบลเถิด”
หลี่ิ่หานรีบพูดตาม “พี่ใหญ่กับพี่รองไปขายอาหารมาสองครั้งแล้ว แต่ข้ากับพี่สามยังไม่ได้ไปขายเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
หลี่ฝูคังรีบพูดทันที “น้องสาว มีท่านปู่คนหนึ่งจองแป้งย่างสิบชิ้น พรุ่งนี้ข้ากับพี่ใหญ่ต้องไปส่งแป้งย่างให้เขา”
หลี่หรูอี้กวาดตามองพี่ชายทั้งสี่ที่มีความคาดหวังอยู่เต็มใบหน้า ทุกคนต่างก็อยากเดินทางไปกลับหลายสิบลี้เพื่อจะขายแป้งย่างเพื่อหาเงิน ในใจรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก “ข้าคิดว่า ไม่ว่าจะไปขายอาหารที่ตัวตำบลก็ดี หรือจะทำงานอยู่ที่บ้านก็ดี ล้วนแต่เป็การสร้างประโยชน์ให้กับบ้านของเราทั้งนั้น”
ตลอด่เช้า หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานต้องหั่นผัก ไปหาบน้ำจากริมแม่น้ำ ซักเสื้อผ้า ตระเวนไปดูแปลงเกษตรหลังบ้านและในเขา พวกเขาไม่ได้หยุดทำงานเลย
หลี่ฝูคังกล่าวเสียงดัง “น้องสาว เ้าพูดถูกแล้ว พรุ่งนี้เ้าจะให้ใครในพวกเราไปขายแป้งย่างที่ตำบลดี?”
หลี่อิงฮว๋าเห็นสายตาคมกริบแล้วรู้สึกเกรงใจหลี่เจี้ยนอันผู้เป็พี่ชายคนโตขึ้นมาทันที จึงได้แต่ก้มหน้าหลบตา พูดเพียงเบาๆ ว่า “น้องสาว เช่นนั้นเ้าก็ให้ข้ากับพี่สี่ไปขายแป้งย่างที่ในอำเภอบ้างเถิด”
จ้าวซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่พูดอะไร ทำเพียงรอดูว่าบุตรีสุดที่รักจะจัดการกับพี่ชายทั้งสี่อย่างไร
.......................................