หลี่เจี้ยนอันวางถุงเงินหนักๆ ลงในมือของหลี่หรูอี้ พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “น้องสาว เงินในนี้ได้มาด้วยวิธีการของเ้า พวกเราให้เ้าเอาไว้ใช้เป็เงินทุนขายแป้งย่างต้นหอม”
หลี่หรูอี้ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจและความเข้าอกเข้าใจจากคนในครอบครัว ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจมาก จึงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ในหม้อมีน้ำร้อนที่ข้าต้มไว้แล้ว ท่านกับพี่รองไปเช็ดตัวเสียหน่อยค่อยนอนเถิด”
ยามค่ำคืนอันสงบเงียบ
หลี่ฝูคังรู้สึกตื่นเต้นจนยากที่จะข่มตาหลับ จึงพูดกับหลี่เจี้ยนอันที่นอนอยู่ข้างๆ ว่า “พวกเราสี่พี่น้องไปขายฟืนที่ตลาด ขายครั้งหนึ่งเหนื่อยแทบตายได้เงินแค่หกทองแดง น้องสาวนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ คิดวิธีหาเงินมากขนาดนี้ได้ด้วย”
หลี่เจี้ยนอันรู้สึกตื่นเต้นจนยากที่จะสงบใจเช่นกัน เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่กล่าวว่า น้องสาวเหมือนท่านยายตอนเด็กๆ มีความคิดและความเฉลียวฉลาดกว่าผู้ใหญ่เสียอีก”
เดิมทีบิดามารดาของจ้าวซื่อก็ปลูกผักและทำนาในหมู่บ้านเกษตรกร ฐานะยากจนมาก
เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนทั้งครอบครัว มารดาของจ้าวซื่อจึงให้บิดาของนางทำธุรกิจซื้อมาขายไปกับกลุ่มพ่อค้า เพื่อหาเงินไปเรียนที่สำนักศึกษา ภายหลังบิดาของจ้าวซื่อสอบได้ซิ่วไฉ สร้างเกียรติภูมิให้บรรพบุรุษ สามารถเปลี่ยนแปลงฐานะได้สำเร็จ ทั้งครอบครัวจึงย้ายไปอยู่ที่ในตำบล จากนั้นมารดาของ จ้าวซื่อก็เปิดร้านขายของชำอยู่ในตำบลนั้น ปล่อยเช่าที่นาในหมู่บ้าน เงินทั้งหมดที่หามาได้ใช้เพื่อการเรียนของลูกๆ ทำให้จ้าวซื่อได้รู้หนังสือบ้าง
ตอนที่เกิดโรคระบาด พี่ชายทั้งสามของจ้าวซื่อสอบได้ถงเซิง[1]กันหมดแล้ว หากมีชีวิตรอด เป็ไปได้มากกว่าจะสอบได้ซิ่วไฉ
หลี่ฝูคังเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ อีกไม่กี่วันพวกเรายังจะไปขายฟืนที่ตลาดอยู่หรือไม่?” เมื่อครู่น้องชายทั้งสองขอให้เขาถามคำถามนี้กับพี่ใหญ่
“ดูก่อนว่าพรุ่งนี้ขายของเป็อย่างไร” หลี่เจี้ยนอันบอกถึงความคิดที่อยู่ภายในใจของตนออกไปอย่างเนิบช้า “หากขายไม่ดีพวกเราก็ไปขายฟืน อีกไม่นานท่านแม่จะคลอดน้องแล้ว ในบ้านยังขาดของหลายอย่าง จะเชิญหมอตำแยก็ต้องใช้เงิน ฤดูหนาวปีนี้จะปล่อยให้น้องสาวสวมเสื้อผ้าต่อจากพวกเราไม่ได้แล้ว…”
หลี่ฝูคังกล่าวเสียงอ่อย “ท่านคิดรอบด้านกว่าข้าจริงๆ”
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานที่อยู่ห้องข้างๆ ก็นอนไม่หลับเช่นกัน ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น แต่เป็เพราะปวดไปทั้งตัว
หลี่ิ่หานร้องครางด้วยความปวดเมื่อย “เจ็บจัง”
หลี่อิงฮว๋ากล่าวปลอบใจ “ข้าถามต้าหู่กับซื่อโก่วจื่อมาแล้ว พวกเขาบอกว่า คืนแรกจะปวดมาก หลังจากนั้นจะดีขึ้น หากร่างกายและกระดูกปรับตัวได้ก็จะไม่เจ็บอีก พวกเราต้องอดทนหน่อย พรุ่งนี้ก็ดีขึ้นแล้ว”
ทั้งสองพยายามอดทนไม่ให้มีเสียงร้องออกมา เป็เช่นนี้ไปครึ่งค่อนคืน กระทั่งรู้สึกง่วงจึงหลับไป
เช้าวันต่อมา เมื่อพวกเขาตื่นขึ้น พบว่าเป็เวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงเท่ากับไม้ไผ่สามต้นแล้ว[2] สองพี่น้องยังรู้สึกปวดกระดูกและกล้ามเนื้อไปทั้งตัว แต่ดีกว่าเมื่อคืนมาก พวกเขาจำได้ว่าตอนเช้าครอบครัวต้องไปขายแป้งย่างที่ในตำบล หากไปตอนนี้คงสายแล้ว คิดได้ดังนั้นจึงมีสีหน้ารู้สึกผิด รีบลุกจากเตียงโดยพลัน
ในห้องครัวมีกลิ่นหอมของน้ำมันหมูและต้นหอมโชยมา ในจานกระเบื้องหยาบสีดำที่อยู่บนเตามีแป้งย่างต้นหอมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งฉื่ออยู่สองชิ้น
หลี่หรูอี้ที่กำลังหั่นแตงกวา แครอท และถั่วฝักยาวอยู่ในครัวเงยหน้าขึ้นยิ้ม แล้วพูดว่า “ครึ่งชั่วยามก่อนพี่ใหญ่และพี่รองไปขายแป้งย่างต้นหอมที่ตัวตำบลแล้ว สองชิ้นนี้เก็บไว้เป็อาหารเช้าให้พวกท่าน รีบกินเถิด”
พี่ชายทั้งสองกินแป้งย่างต้นหอมอย่างตะกละตะกรามจนหมด จากนั้นจึงแย่งกันช่วยหลี่หรูอี้หั่นผัก ทั้งยังถามขึ้นว่า “เ้าหั่นผักมากขนาดนี้ไปทำอะไรหรือ?”
“ข้าจะทำกิมจิ”
บ้านหลี่มีไหกระเบื้องใบใหญ่สูงเท่ากับครึ่งตัวคนอยู่สองใบ จ้าวซื่อเอาไว้ใช้ทำผักดองในฤดูใบไม้ผลิ เพื่อเก็บไว้กินในฤดูหนาว แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูใบไม้ผลิ ไหเปล่าเหล่านี้จึงวางอยู่ในห้องเก็บของ
หลี่หรูอี้คิดมาตลอดว่า อยากจะนำไหทั้งสองมาใช้งานโดยเอาไปดองกิมจิที่ทั้งอร่อยและประหยัด แต่กลับถูกหลี่ซานปฏิเสธ
ผักในแปลงของบ้านหลี่เป็ส่วนหนึ่งของรายได้ หลี่ซานไม่เคยได้ยินชื่อกิมจิมาก่อน กลัวว่าบุตรสาวอายุน้อยจะทำกิมจิล้มเหลวจนทำให้ผักเสียหายไปเปล่าๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงไม่ยอมให้นางได้ลองทำ
คราวนี้หลี่ซานไม่อยู่ หลี่หรูอี้จึงรีบลองทำดูทันที
เมื่อครู่จ้าวซื่อก็เดินมาถามแล้วรอบหนึ่ง พอได้ยินหลี่หรูอี้อธิบายก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ปล่อยให้นางทำไป
เดิมทีหลี่หรูอี้คิดจะทำกิมจิเพียงไหเดียว แต่เมื่อเห็นว่าจ้าวซื่อไม่สนใจจึงคิดจะทำให้เต็มทั้งสองไห
หลี่ิ่หานถามว่า “กิมจิคืออะไร ใช้น้ำแช่ผักหรือ?”
มีดในมือของหลี่หรูอี้ถูกหลี่อิงฮว๋าแย่งไปแล้ว นางจึงเดินไปยืนอยู่ข้างๆ และพูดยิ้มๆ ว่า “ใช้น้ำแช่เ้าค่ะ”
ผู้เยาว์ทั้งสองถามพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “เช่นนั้นไม่เหม็นหรือ?”
คิ้วงามของหลี่หรูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายแวววาว พูดเจือรอยยิ้มว่า “ไม่เหม็นแน่นอน ข้าจะใส่เครื่องปรุงลงไปในน้ำ ข้าบอกให้พี่ใหญ่พี่รองไปซื้อเครื่องปรุงที่ตำบลจินจีแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะสอนพวกท่านทำเอง”
หลี่อิงฮว๋าเงยหน้าขึ้นจ้องมองหลี่หรูอี้ ถามเสียงอ่อยว่า “น้องสาว เ้าก็เรียนรู้วิธีทำกิมจิมาจากในฝันกระมัง?”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ พวกท่านเรียนแล้วก็อย่าเอาไปพูดเล่า ข้าคิดจะนำไปขายหาเงินในฤดูหนาว” ได้ยินว่าฤดูหนาวของที่นี่หนาวมาก ่นั้นในพื้นที่จะไม่มีผักสดเลย ต่อให้เป็คนรวยตระกูลสูงก็ต้องกินผักดอง แต่กิมจิอร่อยกว่าผักดองมากนัก เมื่อถึงฤดูหนาวจะต้องขายได้เงินมากมายแน่นอน
เมื่อหลี่ิ่หานได้ยินคำว่า เงิน ก็พูดอย่างตื่นเต้น “เ้าคิดว่าพี่ชายอย่างข้าโง่เพียงนั้นเชียวหรือ? ข้าไม่พูดแน่!”
บนใบหน้าของหลี่อิงฮว๋าปรากฏรอยยิ้มกว้าง พูดอย่างสนใจใคร่รู้ว่า “ข้าว่านะน้องสาว ทำไมเ้าไม่นำวิธีทำกิมจิติดตัวไปบ้านสามีด้วยเล่า เอามาสอนพวกเราทำไม?”
“หึ!” หลี่หรูอี้ทุบไหล่หลี่อิงฮว๋าด้วยความเขินอายไปครั้งหนึ่ง “ข้าเพิ่งจะอายุเท่านี้ ท่านก็จะรีบผลักไสไล่ข้าไปบ้านสามีแล้วกระนั้นหรือ บ้านสามีนี่คลอดข้าหรือเลี้ยงดูข้าเล่า อาศัยอะไรที่แต่งงานไปแล้วข้าต้องดูแลบ้านสามีให้ดีปานนั้น!”
หลี่อิงฮว๋าไม่ได้หลบ ปล่อยให้น้องสาวทุบอยู่เช่นนั้น จะอย่างไรก็ไม่เจ็บอยู่แล้ว ออกจะน่าสนุกด้วยซ้ำ “ไม่ใช่ๆ ความหมายของข้าคือ วิธีทำกิมจิของเ้าขายเป็เงินได้ นำติดตัวไปด้วยได้ แล้วยังนำไปสอนบุตรสาวเ้าหรือหลานสาวของข้าได้อีกด้วย”
หลี่ิ่หานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดเสริมว่า “ใช่แล้วน้องสาว เ้าเก็บวิธีทำกิมจิไว้เป็ความรู้ติดตัวเถิด พวกเราไม่เรียนทำกิมจิแล้ว”
“พวกท่านสองคนนี่นะ วันนี้ทำให้ข้าเวียนหัวแทบตายจริงๆ ข้าจะลงโทษพวกท่านด้วยการให้พวกท่านหั่นผักทั้งหมด” ในโลกก่อนหลี่หรูอี้ไม่มีลูกสาวจึงเขินจนหน้าแดง เตะพี่ชายทั้งสองไปคนละครั้ง แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น จากนั้นจึงพูดตำหนิไปว่า “วิธีการของข้ามีมาก พวกท่านอย่าได้คิดหลีกเลี่ยงเกียจคร้านไม่ยอมเรียนทำกิมจิกับข้าเชียว”
ทางไปตำบลจินจีเป็ทางเดียวกับทางไปอำเภอฉางผิง หมู่บ้านหลี่อยู่ระหว่างหนึ่งตำบลกับหนึ่งอำเภอพอดี ห่างจากตำบลจินจีสิบลี้
ตำบลจินจี เป็สถานที่ที่ต้องผ่านหากคิดจะเดินทางจากเมืองใหญ่ๆ ทางเหนือไปยังเมืองเยี่ยนหรือเมืองทางใต้ แต่ที่นี่ไม่มีศาลาพักม้าของทางการ จึงมักมี ผู้สูงศักดิ์มาพักค้างคืนที่ตำบล นานไปนานไปก็กลายเป็ตำบลใหญ่ มีประชากรเกือบสองร้อยครัวเรือน มีถนนหลักสองสายและถนนย่อยอีกสามสาย
บนถนนสายหลัก มีร้านขายผ้า ร้านขายธัญพืช ร้านตีเหล็ก ร้านขายของชำ ร้านขายเครื่องประดับ โรงเตี๊ยม โรงน้ำชา โรงรับจํานํา และร้านยา เป็ต้น ส่วนถนนสายย่อย กว่าเก้าส่วนเป็บ้านเรือน อีกหนึ่งส่วนเป็สำนักศึกษา ร้านตำรา และร้านแลกเงิน
สภาพความเป็อยู่ของคนในตำบลดีกว่าชาวบ้านในหมู่บ้านมาก ส่วนใหญ่กินอาหารวันละสามมื้อ
คนส่วนใหญ่ในตำบลจินจีตื่นกันั้แ่เช้าตรู่ ที่ขยันหน่อยก็ทำอาหารกินเอง ที่เกียจคร้านก็ไปซื้ออาหารจากโรงเตี๊ยมหรือร้านแผงลอย
หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังนำแป้งย่างต้นหอมหนึ่งตะกร้าใหญ่เดินทางมาจนถึงในตัวตำบล แล้วจึงหยุดเรียกลูกค้าอยู่ที่หน้าประตูเมือง
“แป้งย่างต้นหอม กลิ่นหอมๆ ขอรับ หนึ่งแผ่นใหญ่ หนึ่งทองแดงเท่านั้นขอรับ”
“แป้งย่างต้นหอม ทั้งอร่อยและถูก หนึ่งทองแดงซื้อได้หนึ่งแผ่น ซื้อเก้าแถมหนึ่งขอรับ”
.......................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ถงเซิง คือ บัณฑิตที่สอบผ่านระดับท้องถิ่น
[2] อาทิตย์ขึ้นสูงเท่าไม้ไผ่สามต้น คือ เวลาประมาณ 9-11 นาฬิกา