“ข้าคิดไว้เช่นนี้ วันนี้ตอนบ่ายให้พี่ใหญ่กับพี่สามไปที่ในตัวอำเภอ ส่วนพรุ่งนี้เช้า พี่รองและพี่สี่ไปที่ตำบล" หลี่หรูอี้เห็นคนทั้งสี่มีสีหน้าแปลกใจจึงรู้สึกขบขัน กล่าวต่อไปว่า “เมื่อวานและวันนี้ ลูกค้าในตัวอำเภอและในตำบลเคยเห็นพี่ใหญ่และพี่รองแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นพี่สามและพี่สี่ ข้า้าให้พี่ใหญ่และพี่รองพาพี่สามและพี่สี่ไปรู้จักกับลูกค้าก่อนเ้าค่ะ”
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานพี่น้องคู่แฝดสบตากัน ทั้งสองกินนอนร่วมกันมาั้แ่อยู่ในท้องแม่ ตอนนี้เมื่อทำการค้าย่อมอยากอยู่ด้วยกันมากกว่า
หลี่ฝูคังก็มีความคิดเช่นเดียวกับน้องชายทั้งสอง
หลี่เจี้ยนอันปรายตามองหลี่อิงฮว๋าครู่หนึ่ง หลายวันมานี้หลี่อิงฮว๋ามักจะของานทำจากน้องสาวโดยข้ามหน้าข้ามตาพี่ใหญ่คนนี้ไป ทำให้เขาเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองอย่างไม่เคยเป็มาก่อน จึงถามขึ้นว่า “หลังจากนั้นเล่า?”
หลี่หรูอี้ตอบเสียงเรียบว่า “หลังจากพรุ่งนี้ วันคี่ให้พี่ใหญ่และพี่รองไปที่อำเภอและตำบล ส่วนวันคู่ให้พี่สามและที่สี่ไปที่อำเภอและตำบล เมื่อเป็เช่นนี้ ทุกวันพวกท่านจะต้องไปขายอาหารกันสองคน อีกสองคนอยู่บ้านคอยดูแลข้ากับท่านแม่”
ใบหน้าของหลี่เจี้ยนอันเจือไปด้วยรอยยิ้ม “ดี”
ผู้เยาว์อีกสองคนได้ยินว่า ไม่ต้องแยกกับฝาแฝดตนแล้วก็รู้สึกยินดี รีบพยักหน้าตอบรับโดยพลัน
จ้าวซื่อเห็นบุตรีสั่งการบุตรชายทั้งสี่ได้รอบด้าน ก็รู้สึกทั้งแปลกใจและยินดี
หลี่หรูอี้เดินเข้าไปในครัว นำน้ำเย็นมาให้หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังดื่ม จากนั้นจึงพูดกับทุกคนอย่างยิ้มแย้ม “เมื่อครู่ข้านึ่งหมั่นโถวแป้งดำไว้แล้ว ประเดี๋ยวจะไปทำกับข้าว พวกเรากินกันก่อนค่อยไปนอนพักกลางวันนะเ้าคะ”
จ้าวซื่อคิดว่าเมื่อครู่บุตรสาวนึ่งหมั่นโถวเอาไว้กินตอนเย็น ไม่มีใครรู้ว่านางจะเอามากินตอนกลางวัน นี่ไม่ใช่วันสำคัญหรือเทศกาลจะกินสามมื้อไปทำไมกัน จึงรีบพูดขึ้นว่า “อาหารเช้าก็กินดีเพียงนั้นแล้ว คงไม่หิวจนกว่าจะมืด ต้องกินอาหารมื้อกลางวันที่ไหนกัน”
“ท่านตั้งท้องน้องชายของข้าอยู่ พี่ชายทั้งหลายก็ทำงานกันตลอดั้แ่เช้าจนถึงตอนนี้ บ่ายยังต้องออกไปเดินไกลถึงสามสิบลี้ ส่วนข้าก็อยู่ในวัยเติบโต อย่างไรก็ต้องกินอาหารกลางวันกันทุกคน” หลี่หรูอี้เห็นจ้าวซื่ออยากพูดอะไรบางอย่างจึงรีบโบกมือพูดยิ้มๆ “ท่านแม่ แป้งขาวสิบชั่งที่ข้ายืมท่านมาข้าคืนให้หมดแล้ว ทั้งยังหาเงินได้อีกด้วย ท่านก็ดูแลตนเองดีๆ เถิด เื่ในบ้านมอบให้ข้ากับพี่ชายทั้งสี่จัดการเอง”
“น้องสาวพูดถูกแล้ว ท่านแม่ขอรับ ท่านดูแลน้องชายให้ดีก็พอ”
“ท่านแม่ขอรับ วันนี้น้องสาวจะทำกิมจิอีกแล้ว นางบอกว่า จะเก็บไว้ขายหาเงินตอนฤดูหนาว ต่อไปนี้ครอบครัวของพวกเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ผู้เยาว์ทั้งสี่ผลัดกันโน้มน้าวจ้าวซื่อ
“พวกเ้านี่ล่ะก็” จ้าวซื่อทอดถอนใจ สามีเพิ่งไปได้ไม่กี่วัน ที่บ้านก็มีการเปลี่ยนแปลงมากขนาดนี้แล้ว ถึงกับกินอย่างหรูหราวันละสามมื้อเชียว
หลี่หรูอี้พูดต่อไปว่า “กินอาหารดีๆ สวมเสื้อผ้าดีๆ ไม่ได้ทำให้พวกเราจนไปชั่วชีวิต ข้ากำลังคิดเื่การค้าในฤดูหนาวของพวกเราอยู่ ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด”
กระนั้นจ้าวซื่อก็เห็นกับตาแล้วว่า บุตรสาวหาเงินได้ มิเช่นนั้นคงไม่ยอมปล่อยให้ทำในสิ่งต่างๆ นางจึงพยักหน้ารับ แต่ในใจยังคงกังวลจึงกล่าวกำชับเป็พิเศษ “พวกเ้าต้องรับปากกับข้าก่อนว่า จะไม่ให้ใครยืมเงิน และจะไม่ทำเื่เสียหายใดๆ”
หลี่อิงฮว๋าตอบยิ้มๆ “ผู้ใดมายืมเงินข้า ข้าจะไปร้องทุกข์ ทำให้เขาเอ่ยปากไม่ได้อีกเลย”
หลี่ฝูคังและหลี่ิ่หานไม่เคยคิดเลยว่า จะมีวันที่พวกเขากลายเป็เป้าหมายที่จะถูกผู้อื่นยืมเงินด้วย ต่างพากันหัวเราะอย่างมีความสุข
หลี่เจี้ยนอันกระแอมเบาๆ จนกระทั่งสามพี่น้องเงียบเสียงลง จึงค่อยกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด พวกเราไม่ใช้เงินมั่วซั่วแน่นอน และจะไม่ทำเื่เสียหายด้วยขอรับ”
จากที่หลี่หรูอี้สังเกตการณ์มาตลอดสามเดือน นางคิดว่าพี่ชายทั้งสี่ล้วนเป็คนซื่อสัตย์ ขยันขันแข็ง และเอาการเอางาน นางจึงวางใจให้พวกเขาออกไปทำการค้า มิเช่นนั้นคงไม่ให้พวกเขาร่วมงานด้วยแน่
“พวกเ้าเติบโตรู้ความกันหมดแล้ว ทั้งหาเงินให้ครอบครัวได้ ทั้งแบ่งงานกันลงตัว ข้าดีใจจริงๆ” จ้าวซื่อออกปากชมลูกๆ รู้สึกร้อนที่ดวงตาคล้ายน้ำตาคลอเบ้า หากตอนนี้สามีอยู่ที่บ้านก็คงดี จะได้กินอาหารวันละสามมื้อด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
หลี่หรูอี้เข้าไปทำอาหารในครัว หลี่อิงฮว๋าตามไปช่วยจุดไฟให้ ส่วนหลี่ิ่หานนำน้ำร้อนไปเทใส่กะละมังไม้ จากนั้นจึงยกไปให้พี่ชายทั้งสองที่อยู่บริเวณแปลงผักตรงลานด้านหน้าเพื่อเช็ดตัว
ไม่นานนักอาหารหอมกรุ่นก็ถูกยกขึ้นโต๊ะแปดเซียน ทั้งครอบครัวนั่งลงกินข้าวร่วมกัน
อาหารมีทั้งจานร้อนและจานเย็น ประกอบไปด้วย มะเขือผัดกระเทียม และผัดผักกวางตุ้ง อาหารหลักคือ หมั่นโถวแป้งดำ ทั้งยังมีต้มแตงกวาซอยด้วย
มะเขือที่อยู่ในผัดกระเทียมถูกนึ่งจนนุ่ม ส่วนกระเทียมก็แทบจะละลายในปาก มะเขือม่วงช่วยบำรุงร่างกาย ส่วนกระเทียมดิบช่วยฆ่าเชื้อ
ผัดผักกวางตุ้งใช้น้ำมันหมูที่ได้จากการทอดไส้หมูเมื่อวานแล้วนำมาผัด ทำให้มีรสชาติอร่อยกว่าเมื่อก่อนที่ผัดโดยไม่ใส่น้ำมันมาก
แป้งดำหนึ่งชั่งราคาหนึ่งเหรียญทองแดง ราคาถูกกว่าแป้งขาวมาก
ส่วนหมั่นโถวแป้งดำ หลี่หรูอี้ก็หมักแป้งได้ดี หนึ่งลูกใหญ่เท่ากับกำปั้นผู้ใหญ่ แต่ละลูกปริออกจนเหมือนดอกไม้ผลิบาน แค่ดูก็รู้สึกเป็มงคลแล้ว
ส่วนต้มแตงกวาซอย ทำจากแตงกวาสองลูกที่นำมาหั่นเป็เส้นๆ ่ฤดูร้อนคนเราจะเหงื่อออกมาก ต้องกินน้ำแกงใส่เกลือให้มากหน่อย
ตอนบ่าย เมื่อหลี่หรูอี้ตื่นจากการนอนกลางวันแล้ว ก็ไปที่ห้องครัว เห็นหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานนวดแป้ง และหั่นต้นหอมไว้เรียบร้อยแล้ว จึงม้วนแขนเสื้อขึ้นเตรียมทำแป้งย่างต้นหอม
แป้งย่างต้นหอมต้องใส่เกลือ ซึ่งเกลือนี้ไม่ได้ใส่ลงไปในแป้ง แต่ผสมไปในต้นหอม
การทำแป้งย่างต้นหอมใช้น้ำมันน้อยมาก แต่หากไม่ใส่น้ำมันเลยก็จะไม่หอม ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใส่เล็กน้อย
น้ำมันแบ่งออกเป็น้ำมันจากพืชและน้ำมันจากสัตว์
น้ำมันจากพืชคือ น้ำมันที่ได้มาจากการคั้นพืชชนิดต่างๆ เช่น ผักกาดก้านขาว (คาโนล่า) เมล็ดงา ชา เมล็ดปอป่าน (แฟลกซ์ซีด) เป็ต้น ส่วนน้ำมันจากสัตว์คือ น้ำมันที่ได้จากสัตว์ต่างๆ เช่น หมู แพะ วัว เป็ต้น
ทั้งน้ำมันจากพืชและน้ำมันจากสัตว์ต่างก็มีราคาแพงมาก
ก่อนหน้านี้บ้านหลี่มีน้ำมันจากผักกาดก้านขาวอยู่เพียงหนึ่งชั่งซึ่งหลี่หรูอี้นำไปใช้ทำแป้งย่างแล้วเล็กน้อย วันนี้จึงให้หลี่เจี้ยนอันใช้เงินสิบแปดทองแดงซื้อน้ำมันผักกาดก้านขาวกลับมาหกชั่ง
เมื่อเทน้ำมันผักกาดก้านขาวลงไปในกระทะที่ถูกเผาจนแดงก็เกิดเสียงดังฉ่าๆ พอได้กลิ่นหอมของน้ำมันโชยออกมาก็ใส่แป้งขาวและต้นหอมที่สับละเอียดลงไปในกระทะ ไม่นานกลิ่นแป้งย่างต้นหอมอันหอมกรุ่นก็ลอยออกมาจากในครัว
หลี่หรูอี้พลิกแผ่นแป้งย่างต้นหอมอย่างรวดเร็วเพื่อให้อีกด้านหนึ่งได้รับความร้อนด้วย กระทั่งแป้งทั้งสองด้านถูกย่างจนเป็สีเหลืองทอง
ตัวแป้งที่นางนวดออกมาค่อนข้างบาง ทุกแผ่นเป็ทรงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณเจ็ดชุ่น ไม่ว่าจะทำออกมากี่ชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน หนึ่งนาทีทำได้หนึ่งแผ่น หนึ่งชั่วยามกว่าจึงย่างแป้งได้มากมาย
หลี่ฝูคังเดินเข้ามาช่วย เหลือบมองแป้งในกระจาดครู่หนึ่ง อดพูดไม่ได้ว่า “น้องสาว แป้งพวกนี้เหมือนจะเล็กกว่าแป้งที่นำไปขายในตอนเข้าที่ในตำบล”
หลี่หรูอี้อธิบายว่า “ราคาของที่ตัวอำเภอแพงกว่าในตำบล ข้าย่างแป้งเล็กหน่อยก็ยังมีคนซื้อ”
ยืนอยู่หน้าเตาที่มีอุณหภูมิสูงในฤดูร้อนเช่นนี้ทำให้รู้สึกร้อนมาก หลี่ิ่หานและหลี่หรูอี้ที่อยู่หน้าเตาไฟต่างก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
หลี่ฝูคังนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดเหงื่อให้น้องชายและน้องสาว กล่าวอาสาไปว่า “น้องสาว เดี๋ยวข้าย่างแป้งเอง เ้าไปพักเถิด”
“ตอนนี้ให้ข้าทำก่อน ต่อไปค่อยให้พวกท่านหัดทำ” ฝีมือครัวของหลี่หรูอี้ได้มาจากโลกก่อนหน้านี้ นางฝึกมาจากโรงเรียนเด็กกำพร้า ห้องครัวในมหาวิทยาลัยที่ฝึกงานและที่โรงแรม
ตอนนี้ครอบครัวยากจนมาก แป้งขาวก็ราคาแพง ทุกครั้งที่ย่างแป้งจะต้องสำเร็จเท่านั้นห้ามล้มเหลว ไม่ให้เกิดความผิดพลาดเด็ดขาด
ต่อไปหากหาเงินได้มากแล้ว นางจะให้พี่ชายทั้งสี่เรียนทำแป้งย่างต้นหอมที่อร่อยและใช้น้ำมันน้อย
ในที่สุดงานก็สำเร็จ แป้งขาวสิบห้าชั่งย่างแป้งได้ทั้งหมดสามร้อยแผ่น
หลี่หรูอี้เพิ่งจะอายุเก้าขวบ ยังไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก นางทำแป้งย่างออกมามากขนาดนี้ก็ใช้แรงไปมากแล้ว ตอนนี้เหนื่อยจนไม่อยากจะพูดอะไร จึงรีบกลับไปเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องนอน
หลี่เจี้ยนอันและหลี่อิงฮว๋านำแป้งย่างต้นหอมสามร้อยแผ่นออกเดินทางไปขายยังตัวอำเภอ
วันนี้พวกเขาออกจากบ้านเร็วหน่อย เมื่อมาถึงประตูเมืองในอำเภอฉางผิง ตลาดเพิ่งจะเริ่มเปิด คนยังไม่มากเท่าเมื่อวาน
หลี่เจี้ยนอันขายอาหารมาสองครั้งแล้วจึงไม่อาย เขาทำลำคอให้โล่งโปร่งแล้วเริ่มะโเรียกลูกค้า ะโไปครั้งแรกถึงกับทำให้หลี่อิงฮว๋าใเลยทีเดียว
หลี่เจี้ยนอันปรายตามองน้องชายที่ระยะนี้คิดจะยึดหน้าที่ของตนอย่างลำพองใจ เสียงะโเรียกลูกค้าดังยิ่งขึ้น “แป้งย่างต้นหอมขอรับ ทำจากน้ำมันผักกาดก้านขาวและแป้งขาว หนึ่งแผ่นหนึ่งทองแดง ซื้อเก้าแถมหนึ่ง อร่อยจนห้ามพลาดเชียวนะขอรับ”
หลี่อิงฮว๋าลองะโดูบ้าง เมื่อเห็นว่ามีสายตามากมายจับจ้องมองมา ก็พลันเขินอายจนหน้าแดง
สตรีที่ซื้อไส้ทอดเมื่อวานมาอีกแล้ว เมื่อเห็นแป้งย่างที่ถูกหยิบออกมาจากตะกร้าไผ่สาน ก็ถามอย่างผิดหวัง “เหตุใดวันนี้พวกเ้าไม่ขายไส้ทอดอีกเล่า? วันนี้ข้าอุตส่าห์นำถ้วยมาใส่ไส้ย่างแล้วเชียว”
.......................................