โจวเสียงถึงหันไปมองอวี๋เจียวพบว่าดูจากท่าทางของนางยังเป็แค่เด็กน่าเอ็นดู เป็แค่เด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้นเขาเอ่ยถามอย่างนึกสงสัยว่า "เ้ารู้ได้อย่างไรว่าวันนี้ฝนจะตก?"
อวี๋เจียวชี้นิ้วขึ้นเหนือศีรษะของนาง เอ่ยทีเล่นทีจริงว่า"์บอกข้า"
ประโยคนี้ทำเอาทุกคนหัวเราะไม่ออก ไม่มีผู้ใดเชื่อแม้แต่นิดถือเป็เพียงหนึ่งประโยคล้อเล่นเท่านั้น
โจวเสียงขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาหลายปีมีประสบการณ์เื่สภาพอาการที่แปรปรวนบนูเา เมื่อวานเขาตั้งใจเดินวนรอบตีนเขาบนพื้นไม่มีมดย้ายรัง ริมแม่น้ำไม่มีไส้เดือนออกจากรูในทุ่งหญ้าก็ไม่มีแมลงปอบินต่ำ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าหลายวันมานี้อากาศดีฝนไม่ตกแน่นอน
ฝนด้านนอกยังไม่หยุด โจวเสียงเขี่ยหาหม้อเหล็กใบเล็กในกองหญ้ายืนอยู่ตรงปากถ้ำเพื่อใช้น้ำฝนล้างหม้อ รองน้ำฝนจำนวนหนึ่งแล้วเอามาวางไว้บนกองไฟ
บุตรชายสกุลโจวหยิบอาหารแห้งออกมาจากห่อผ้าสองพ่อลูกแบ่งกันครู่หนึ่ง โจวเสียงเอ่ยว่า "กินอะไรก่อนเถิดข้าดูแล้วฝนตกในครั้งนี้คงจะไม่หยุดลงเร็วๆ นี้"
อวี๋เฉียวซานหยิบขนมเปี๊ยะที่สตรีแซ่ซ่งทำออกมาจากห่อผ้าแบ่งให้อวี๋เจียว อวี๋ฝูหลิงและอวี๋จือหางคนละหนึ่งแผ่นอวี๋เจียวกัดขนมเปี๊ยะไปครึ่งแผ่นแล้วยัดส่วนที่เหลือลงในห่อผ้าหลังจากต้มน้ำฝนจนเดือด ทุกคนจึงใช้กระเป๋าใส่น้ำแบ่งกันดื่ม
หลังจากกินดื่มเสร็จเรียบร้อย ฝนที่ตกอยู่นอกถ้ำยังคงไม่ยอมหยุดอวี๋เจียวหยิบร่มกระดาษน้ำมันที่เอาใส่ตะกร้ามาด้วยออกมา นางลุกขึ้นยืน"ข้าจะเดินวนอยู่แถวๆ นี้ มีสมุนไพรชนิดหนึ่งเกิดพร้อมกับสายฝนข้าจะไปตามหาสักหน่อยเ้าค่ะ"
อวี๋ฝูหลิงก็รีบยัดขนมเปี๊ยะเข้าปากแล้วลุกขึ้นยืนเอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “ข้าจะไปกับเ้าด้วย”
อวี๋เจียวส่ายหน้า “ข้าจะไปเอง พี่ฝูหลิงอยู่ที่นี่เถิด”
อวี๋เฉียวซานห้ามปราม “ข้างนอกฝนตกหนักถึงเพียงนี้ แม่หนูเมิ่งเ้ารอให้ฝนหยุดแล้วค่อยไปเถิด”
อวี๋เจียวตัดสินใจแน่วแน่แล้ว นางอธิบายว่า “เมื่อฝนหยุดสมุนไพรนั้นก็จะเหี่ยวเฉาแล้วเ้าค่ะ ข้าจะอยู่ละแวกนี้ จะไม่ไปไกลหากหาแถวนี้แล้วไม่พบข้าจะกลับมาเ้าค่ะ”
อวี๋เฉียวซานยังคงไม่วางใจอย่างมาก “ไม่เช่นนั้นให้จือหางตามไปด้วยเ้าเป็เด็กผู้หญิง ออกไปตากฝนคนเดียวอันตรายเกินไป”
สองพ่อลูกสกุลโจวไม่เอ่ยสิ่งใด เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็คนนอกอวี๋เจียวคือหลานสะใภ้สกุลอวี๋ ต่างจากแม่นางทั่วไปถึงแม้พวกเขาจะมีประสบการณ์บนูเามากมายแต่กลับไม่อาจเอ่ยปากบอกจะว่าออกไปกับอวี๋เจียวได้
อวี๋จือหางลังเลเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้อวี๋เจียวเคยยั่วยวนครอบครัวสามถึงแม้ระยะหลังมานี้นางจะเปลี่ยนไปมาก แต่หากเกิดอะไรขึ้นต่อให้ทั่วทั้งกายเขามีปากก็ไม่อาจอธิบายได้ชัดเจน
เมื่อดูออกว่าอวี๋จือหางไม่เต็มใจอวี๋เจียวเอ่ยทั้งรอยยิ้มเอ้อระเหย “ร่มคันนี้ไม่พอสำหรับสองคนเ้าค่ะพี่ใหญ่ไม่รู้จักสมุนไพรชนิดนั้น ตามไปก็มีแค่เปียกฝนเพิ่มอีกคนเท่านั้นเ้าค่ะข้าแค่เดินหาแถวปากถ้ำ ท่านลุงใหญ่ไม่ต้องกังวลเ้าค่ะ”
กล่าวจบนางก็เดินตรงไปยังปากถ้ำ อวี๋ฝูหลิงคิดจะตามไปทว่าอวี๋เจียวรีบกางร่มออกจากปากถ้ำ เดินเข้าไปท่ามกลางม่านฝนเสียแล้ว
อวี๋ฝูหลิงกระทืบเท้าอย่างจนใจ นางได้แต่นั่งลงหน้ากองไฟอีกครั้ง
โจวเสียงเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย "ลูกสะใภ้หลานห้าของเ้าเพิ่งเข้าจวนมาได้ไม่นานนึกไม่ถึงว่าจะรู้จักสมุนไพรด้วย?"
อวี๋เฉียวซานไร้ความคิดคด คิดไม่ซื่อภายในใจเช่นอวี๋หรูไห่จึงอธิบายว่า "เมื่อตอนเด็กแม่หนูเมิ่งเคยร่ำเรียนวิชาหมอจากผู้อื่นมาก่อนนางมีวิชาหมอที่ล้ำเลิศทีเดียว"
โจวเสียงจิ๊ปากอย่างประหลาดใจ"นึกไม่ถึงว่าจะมีสตรีเรียนวิชาหมอจริงๆหากไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกันคงไม่ได้เข้ามาอยู่บ้านเดียวกันจริงๆผู้เฒ่าในจวนของพวกเ้าช่างคิดคำนวณเก่งจริงๆกระทั่งหลานสะใภ้ยังหาผู้ที่รู้วิชาหมอ"
อวี๋เฉียวซานแย้มยิ้มลอบคิดในใจว่าตอนนั้นที่ผู้เฒ่าเสริมมงคลให้หลานห้าก็ไม่รู้สักนิดว่าแม่หนูเมิ่งผู้นี้มีวิชาหมอ
อวี๋เจียวเดินออกจากปากถ้ำไม่ไกลมากรองเท้าและถุงเท้าของนางเปียกโชก ทว่านางไม่แม้แต่จะสนใจ กวาดสายตามองไปรอบๆอย่างละเอียด ถือร่มเดินมุ่งหน้าไปทางส่วนอับแสงของูเาที่มีต้นไม้หายาก
ทางใต้ของูเาเป็เนินเขารับแสงอาทิตย์ ต้นไม้เขียวชอุ่มทางตอนเหนือของูเาคือมุมอับ แสงอาทิตย์สอดส่องน้อยส่วนใหญ่เป็พืชที่ชอบความเปียกชื้น อีกทั้งต้นเหยาเฉ่าชอบเติบโตในรอยแยกแน่นสนิทของหน้าผามีลักษณะแข็งแกร่งและเผด็จการขอเพียงเป็สถานที่ที่ต้นเหยาเฉ่าเกิดก็คล้ายรอบข้างจะไม่มีต้นพืชชนิดอื่นอยู่ด้วยกระทั่งวัชพืชที่แข็งแรงยังต้องหลบหลีกและไม่กล้าหยั่งรากเติบโต
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้